บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 626: ยอมหักไม่ยอมงอ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 626: ยอมหักไม่ยอมงอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 626: ยอมหักไม่ยอมงอ

ตอนที่ 626: ยอมหักไม่ยอมงอ

ทั่วทั้งบริเวณเงียบลงในทันที

เมื่อมองไปยังชิงลั่วซึ่งยังคงถือชิ้นร่างทั้งสองส่วนของอิงเชวียในมือและอาบเลือดอย่างสำราญใจ ฉู่ซิวและผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ของตำหนักมารเทียนอวี้ต่างรู้สึกหวาดกลัวจนหนังหัวชา ร่างกายของพวกเขาสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุม

พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนฝ่ายอธรรม บ่มเพาะฝึกฝนในวิถีชั่วช้า บูชาการเข่นฆ่ามาโดยตลอด

แต่ในขณะนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นความโหดเหี้ยมของชิงลั่ว พวกเขาพลันรู้สึกว่าความโหดเหี้ยมของตนเองนั้น… ด้อยลงไปถนัดตา!

ชายหนุ่มผู้นี้ฉีกกระชากมังกรเกล็ดดำขอบเขตสยายวิญญาณราวกับเทพมารตัวจริง!

ภายในหอเซียนดาบ

ใบหน้าของหนิงซือฮวาแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์สุดขีด นางตำหนิตนเองในใจ

เมื่อครู่นี้นางสามารถช่วยชีวิตอิงเชวียได้ด้วยการพึ่งพาพลังของค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์ แต่เนื่องจากฉู่ซิวนำตัวเหวินฉางไท่และภรรยาออกมาแสดงเป็นโล่มนุษย์ นางจึงหยุดอำนาจของค่ายกล

สุดท้ายจึงพลาดโอกาสที่จะช่วยชีวิตอิงเชวีย!

มือของฉาจิ่นกำแน่นด้วยความเศร้าโศกและความโกรธ

“เหตุใด… เหตุใด…”

ใบหน้างดงามของเหวินหลิงเสวี่ยแสดงความเจ็บปวด

อิงเชวียด้านหนึ่ง พ่อแม่ของนางอีกด้านหนึ่ง

แม้ว่าพ่อแม่ของนางจะรอด แต่การตายของอิงเชวียได้กระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาวอย่างลึกซึ้ง หัวใจของนางรวดร้าวประหนึ่งมีมีดทิ่มแทง แข้งขาอ่อนแรงแทบล้มทั้งยืน

“พี่หนิง หากฉู่ซิวนำบิดามารดาของข้าขึ้นมาขู่อีกครั้งท่านสามารถลงมือได้เลย!”

เหวินหลิงเสวี่ยขบฟันแน่น “ถ้าพวกเขาตาย ข้าจะล้างแค้นพวกเขาในอนาคต ข้าสาบานจะไม่มีวันยอมเลิกราตราบใดที่เหล่าคนชั่วช้าพวกนี้ไม่ตายลงทั้งหมด!”

ดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความเกลียดชังและความแน่วแน่

นางทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นต้องรับเคราะห์เพราะพ่อแม่ของนาง

ริมฝีปากของหนิงซือฮวาสั่น นางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดนางก็ทำได้แค่พยักหน้าด้วยความยากลำบาก

อิงเชวียตายเช่นนี้แล้ว… ศัตรูย่อมใช้ชีวิตของเหวินฉางไท่และภรรยาขึ้นมาขู่คุกคามอย่างแน่นอน หากนางยังลังเลดังเช่นก่อนหน้านี้อีก พวกนางทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตราย!

ในท้ายที่สุด ทั้งพวกนางและและคู่สามีภรรยาเหวินฉางไท่จะไม่มีใครรอดไปได้สักคน!

ฉาจิ่นถอนหายใจพลางกอดเหวินหลิงเสวี่ยไว้แน่นก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หลิงเสวี่ย หนี้แค้นครานี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่แท้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น พี่ซูอี้ของเจ้าย่อมไม่มีวันปล่อยคนพวกนี้ให้รอดได้แม้แต่หนึ่ง!”

“พี่ซูอี้…”

ดวงตาของเหวินหลิงเสวี่ยเริ่มมีหวัง แต่จากนั้นนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า “แต่ทว่า… นั่น…คืออนาคต…”

ทั้งหนิงซือฮวาและฉาจิ่นต่างพูดไม่ออก

ทว่าทันในนั้น ม่านพลังซึ่งฉายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก จู่ ๆ มีร่างหนึ่งปรากฏจากระยะไกลและกำลังบินพุ่งผ่านอากาศเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง

“นี่…”

หนิงซือฮวาเบิกตากว้าง

ฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยหันไปมองพร้อมกัน ร่างนั้นดูเหมือนจะเป็น…

ภายนอก

ชิงลั่วยืดตัวตรงอย่างองอาจ มุมริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยัน พลางมองไปยังชิ้นร่างทั้งสองส่วนของอิงเชวียในมือของเขา

ชิ้นร่างทั้งสองชิ้นนี้ได้กลับกลายไปเป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่แท้จริงแล้ว ซึ่งก็คือมังกรเกล็ดดำขนาดใหญ่ และแม้จะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ทว่าแต่ละครึ่งนั่นยาวกว่าสิบฉื่อและหนาราวกับเสาศิลา!

“ช่างเถิด เอาไว้ค่อยกินเจ้าหลังจากที่ข้าเข้าไปในหอเซียนดาบได้ก็แล้วกัน”

ชิงลั่วพึมพำ

หลังพูดจบ พลังในร่างของเขาก็ปะทุรุนแรงชำระล้างเส้นผม ร่างกายและเสื้อผ้าที่เปื้อนด้วยเลือดให้สะอาดเรียบร้อยอีกครั้ง

“พวกเจ้าจะให้ข้าทำลายค่ายกลนี้ให้ หรือพวกเจ้าจะลงมือทำด้วยตนเอง?”

ชิงลั่วกล่าวกับฉู่ซิว แต่ทว่าขณะที่เขากำลังจะเก็บชิ้นร่างทั้งสองส่วนของอิงเชวีย ทันใดนั้นร่างกายของเขาเยียบเย็นฉับพลันราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด ความรู้สึกถึงอันตรายยิ่งยวดปะทุขึ้นในหัวใจ จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองในระยะไกลอย่างรวดเร็ว

หืม?

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงลั่ว ฉู่ซิวและผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างมองตามทิศทางการมองของชิงลั่วโดยไม่รู้ตัว

ร่างหนึ่งกำลังบินมาจากฟากฟ้าไกล ๆ

เป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียว กำลังบินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน แต่ความเร็วของเขานั้นเร็วราวกับสายฟ้า เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาคนผู้นี้ก็บินมาถึงระยะใกล้และยืนลอยค้างอยู่กลางอากาศ

บุคคลที่มาใหม่นั้นหน้าตาหล่อเหลาบุคลิกท่าทางองอาจไม่หวั่นเกรงสิ่งใดในโลกหล้า

“เป็นสหายเต๋าซู!”

ในหอเซียนดาบ หนิงซือฮวาซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและคับแค้นใจ ขณะนี้ดวงตาเปล่งประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น!

“คุณชายอยู่ที่นี่แล้ว… คิดไม่ผิดเลยเขาย่อมไม่ทิ้งเราไว้ลำพัง…”

ฉาจิ่นพึมพำ

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วนางถวิลหาซูอี้มากเพียงใดนับตั้งแต่เขาออกจากต้าโจว

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ตัวเองเฝ้าคิดถึงทุกวี่วันปรากฏตัวในยามคับขันประหนึ่งเทพผู้พิทักษ์จากสรวงสวรรค์เช่นนี้แล้ว อารมณ์ยินดีและประหลาดใจทั้งหลายต่างพรั่งพรู ทำให้ดวงตาของนางแดงก่ำ ก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลรินด้วยความปีติ

“พี่เขย… เป็นพี่เขยจริง ๆ เหรอ…”

เหวินหลิงเสวี่ยอุทานอย่างเหม่อลอย ร่างกายที่บอบบางของหญิงสาวสั่นเทา นางสงสัยว่าตนเองกำลังฝันอยู่หรือไม่?

ในขณะเดียวกันที่ภายนอก

“ซูอี้!?”

สีหน้าของฉู่ซิวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยเข้ามาใกล้ เขาอุทานเสียงดังจนแทบจะเหมือนกรีดร้องว่า “จ… เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!?”

ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่ติดตามฉู่ซิวมา เคยได้ยินฉู่ซิวเล่าถึงซูอี้ว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ สามารถสังหารตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ง่ายราวกับเชือดไก่

แต่เท่าที่พวกเขารู้ตอนนี้ซูอี้ควรจะอยู่ในต้าเซี่ยไม่ใช่หรือ? เหตุใดวายร้ายผู้นี้จึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?

“สหายเต๋าเจ้าหรือคือซูอี้?”

เมื่อเห็นซูอี้ ชิงลั่วจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในภูเขามารดาภูตผี ขณะที่เขากำลังพยายามตกมัจฉาวิญญาณไท่หยิน เวลานั้นเขาได้พบกับซูอี้

ในขณะนั้นเขามีเจตนาฆ่าในใจเช่นกัน!

เหตุผลก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ เขารู้สึกถึงอันตรายจากสัญชาตญาณซึ่งทำให้ไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด

แม้ว่าในท้ายที่สุดจะล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ แต่เขาจะลืมตัวตนอย่างซูอี้ได้อย่างไร?

แต่ทว่าชิงลั่วไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้เขาจะได้พบกับซูอี้อีกที่นี่

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัวใจของข้าระส่ำระสายตั้งแต่เมื่อครู่ราวกับเป็นลางบอกเหตุภัยคุกคาม ปรากฏว่าเป็นสหายเต๋านี่เองที่เป็นเจ้าของที่แห่งนี้”

ชิงลั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทว่าซูอี้เพิกเฉยต่อคำกล่าวทั้งหลาย

เขาเหลือบมองไปโดยรอบ เห็นม่านพลังสีทองของค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์ซึ่งถูกยับยั้งไม่ไกลจากร่างของฉู่ซิวเช่นเดียวกับเหวินฉางไท่ และภรรยาที่ถูกฉู่ซิวจับไว้

และท้ายที่สุดดวงตาของเขาก็กวาดมาถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชิงลั่ว และหยุดอยู่ที่ชิ้นส่วนร่างทั้งสองของอิงเชวียซึ่งกลายร่างเป็นมังกรเกล็ดดำไปแล้ว ชิ้นร่างทั้งสองนั้นยังอยู่ในมือของชิงลั่ว…

เมื่อแลเห็นภาพนี้ ดวงตาอันลึกล้ำของซูอี้จึงหรี่ลง สีหน้าที่เคยเรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งและนิ่งเงียบไม่ไหวติง

หากศิษย์คนที่เจ็ดของเขาเสวียนหนิงอยู่ที่นี่ เสวียนหนิงจะรู้อย่างชัดเจนมากกว่าผู้ใดในที่นี่ ว่ายิ่งซูอี้เงียบสงบมากเท่าใดนั่นหมายถึงว่าซูอี้โกรธมากเท่านั้น!

“บัดซบ! ทารกศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักมารเทียนอวี้ของเราไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร!?”

ฉู่ซิวตะโกนขึ้นทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือด

ขณะนี้เขาแลเห็นว่าในอ้อมแขนซ้ายของซูอี้กำลังกอดทารกร่างสีชมพูผิวเรียบเนียนประหนึ่งหยกขัดเงาเอาไว้

นั่นคือทารกศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในถ้ำเก่าของหุบเขามารบุปผาโลหิตซึ่งถูกเฝ้าโดยตำหนักมารเทียนอวี้!

“สารเลว!!”

“ไม่นะ… หากเป็นเช่นนี้มันก็แปลว่าผู้อาวุโสถูไป๋เจิ้นและคนอื่น ๆ น่าจะ…”

“ไอ้บัดซบซู คืนทารกศักดิ์สิทธิ์มาให้เราเดี๋ยวนี้!” ผู้ฝึกตนแห่งตำหนักมารเทียนอวี้คนอื่น ๆ ทั้งตื่นตระหนกและบังเกิดโทสะ

เมื่อเห็นฉากนี้ ชิงลั่วกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกายสนุกสนาน “ปรากฏว่าศัตรูที่เจ้าต้องการฆ่าคือสหายเต๋าซู ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง แต่ทว่าเรื่องนี้ข้าขอไม่เกลือกกลั้วด้วย พวกเจ้าจัดการด้วยตัวเองเถิด”

ฉู่ซิวสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า “สหายเต๋า มังกรเกล็ดดำที่เจ้าเพิ่งสังหารถูกส่งมาปกป้องที่นี่โดยคำสั่งของซูอี้ ข้าเกรงว่าต่อให้เรื่องนี้เจ้าไม่อยากจะยุ่งซูอี้ก็คงไม่มีทางปล่อยเจ้าไป!”

ชิงลั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเอ่ยออกว่า “ปรากฏว่า ‘คุณชายซู’ ที่มังกรเกล็ดดำตนนี้เอ่ยออกมาก็คือสหายเต๋านี่เอง”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “สหายเต๋าช่างเลิศล้ำอย่างแท้จริงที่สามารถทำให้มังกรเกล็ดดำขอบเขตสยายวิญญาณยินดีทำภารกิจให้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายได้เช่นนี้”

น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความชื่นชม

เขายังคงถือศพของอิงเชวียอยู่ในมือ แต่ท่าทางของเขานั้นผ่อนคลายราวกับไม่กังวลเลยว่าจะถูกซูอี้มองเป็นศัตรู

ซูอี้เปิดปากออกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อตอนอยู่ในภูเขามารดาภูตผี ข้าวางแผนที่จะให้โอกาสเจ้าเติบโตขึ้น แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า… เจ้าไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…”

เปลือกตาของชิงลั่วกระตุก เขาถามกลับอย่างงุนงง “ข้าเข้าใจว่าสหายเต๋าคงมีโทสะบ้าง แต่สิ่งที่ข้าเพิ่งสังหารนั้นเป็นเพียงสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำตัวหนึ่ง แต่ถ้าหากสหายเต๋าติดใจจริง ๆ ข้าขอสัญญาว่าในอนาคตข้าจะหาสัตว์เลื้อยคลานตัวใหม่ที่มีอำนาจแกร่งกล้ากว่านี้สิบเท่ามาคืนให้สหายเต๋าแบบนี้ดีหรือไม่?”

จากนั้นเขายิ้มและกล่าวต่อ “แต่ทว่าสหายเต๋าอย่าได้เข้าใจผิดกับการกระทำนี้ของข้า ข้าไม่ได้แสดงความอ่อนแอแต่มันเป็นแค่เพียงความรู้สึกเห็นใจ… สหายเต๋าเอะอะใหญ่โตอยากจะต่อสู้กับข้าเพียงเพื่อสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กจ้อยนี้… มันไม่ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือ?”

ชิงลั่วเอ่ยอย่างสบาย ๆ เขาเปรียบอิงเชวียมังกรเกล็ดดำขอบเขตสยายวิญญาณเป็นเพียงสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำตัวหนึ่ง… นับว่าดูแคลนอย่างถึงที่สุด!

ท่าทางการแสดงออกเช่นนี้ของชิงลั่วทำให้ฉู่ซิวและคนอื่น ๆ รู้สึกโง่งมไปครู่หนึ่ง

“สัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำ?”

ซูอี้พึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเขาเริ่มสงบลง

จากนั้นเขาไม่สนใจชิงลั่วและมองไปที่ฉู่ซิวก่อนกล่าวว่า “ให้โอกาสเจ้ามอบตัวประกันในมือออกมา แล้วข้าจะมอบทารกศักดิ์สิทธิ์นี้คืนให้เจ้า”

ได้ยินประโยคนี้ดวงตาของฉู่ซิวก็ส่ายไปมาอย่างลังเล

“ไม่ได้! เจ้ามอบทารกศักดิ์สิทธิ์คืนมาก่อน!”

ผู้ฝึกตนชุดดำจากตำหนักมารเทียนอวี้ผู้หนึ่งตะโกนแทรกเสียงดัง

ทว่าทันใดนั้นซูอี้ก็ยกมือขึ้นและสับสันมือออกทันที

เคร้ง!

ปราณดาบยาวสามฉื่อพุ่งออกจากสันมือรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า มันคำรามดังก้องราวกับฟ้าคำรณ และพริบตาถัดมาร่างของชายชุดดำก็ระเบิดแหลกในทันใด

ผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราถูกกำจัดไปราวกับใบไม้ร่วงหล่น!

ฉากแห่งความตายนี้น่ากลัวมากเสียจนผู้ฝึกตนบางคนที่ยืนอยู่ข้างชายในชุดดำบินถอยห่างจากจุดที่เกิดเหตุ พวกเขารู้สึกหนาวไปทั้งกาย

ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่ชอบเรื่องไร้สาระ และยิ่งไม่ชอบฟังเรื่องไร้สาระของผู้อื่น”

ใบหน้าของฉู่ซิวมืดหม่นยิ่งกว่าถ่านไม้ เขาจ้องเขม็งที่ซูอี้และตวาดลั่น “ซูอี้! ถ้าเจ้ากล้าลงมืออีก ข้าจะฆ่าไอ้สองคนนี้ในมือทันที!”

“ข้าไม่เชื่อ”

ซูอี้เอ่ยออกพร้อมกับสับสันมือตนเองอีกครั้งซึ่งผลลัพธ์ก็เช่นเดิม ปราณดาบสีใสแพรวพราวบินทะลวงผ่านอากาศไปอย่างเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า!

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

ในระยะไกล ร่างของผู้ฝึกตนมากกว่าสิบคนของตำหนักมารเทียนอวี้ถูกตัดขาดพร้อม ๆ กัน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วบริเวณ เลือดสาดกระเซ็นย้อมท้องทะเลเบื้องล่างจนเป็นสีแดงฉาน!

ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้คนอื่น ๆ ต่างตื่นตระหนกสุดขีดจนอยากจะถอยหนีไปให้พ้นจากที่นี่ ทว่าพวกเขากลัวเหลือเกิน กลัวจนยังไม่กล้าที่จะขยับกายเพราะเกรงว่าซูอี้อาจไม่พอใจและสับฟันอีก

ซูอี้ไม่เพียงแต่แข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อน แต่ยังเลือดเย็นสังหารคนโดยไม่กะพริบตา!

เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตวิถีต้นกำเนิดไม่ว่าจะอยู่ในขอบเขตใดล้วนไม่ต่างกัน แค่เพียงดาบเดียวจากซูอี้พวกเขาล้วนตกตายอย่างง่ายดาย!

นี่มันน่ากลัวเกินไป!

ชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของซูอี้เช่นนี้

ใบหน้าของฉู่ซิวมืดมนและอัปลักษณ์สุดขีด มือของเขาจับคอของเหวินฉางไท่และภรรยาแน่น เขาอยากจะบีบคอคนทั้งสองนี้ให้เละคามืออยู่หลายครั้ง

แต่สุดท้ายทุกครั้งก็รั้งไว้…

เขาไม่กล้า!

ข้ากังวลว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการตัดหาทางรอดของทารกศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์!

หากเกิดเรื่องผิดพลาดขนาดนั้นขึ้น มันคือราคาที่เขาไม่สามารถจ่ายได้ไหว

“สามลมหายใจ ถ้าเจ้ายังไม่ตกลงข้าจะฆ่าไอ้ทารกนี่เสีย”

ซูอี้พูดอีกครั้ง

น้ำเสียงยังคงราบเรียบสงบ

แต่ในทางกลับกัน เหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างตกตะลึง

พวกเขาไม่มีใครคาดคิดเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่พวกเขาเผชิญหน้าจะเป็นคนที่เด็ดขาดอหังการได้เพียงนี้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด