บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 636: ความกลัวฝังลึก

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 636: ความกลัวฝังลึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 636: ความกลัวฝังลึก

ตอนที่ 636: ความกลัวฝังลึก

วายุพัดโชยทั่วทิวเขาและแดนดิน ทว่าไม่อาจปัดเป่าบรรยากาศกดดันที่นี่ได้

“คุกเข่าไปก่อน หากยังกล้าพูดอันใดอีกเพียงครึ่งคำ ข้าจะฆ่าเจ้า” ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม

โหรวอวิ้นละทิ้งความคิดดิ้นรน ก้มหน้าลงอย่างอับอายและตื่นกลัว

สีหน้าของพวกชายหนุ่มในอาภรณ์สีหยก หยวนซั่วก็เปลี่ยนแปร

หยวนเหิงยืนจ้องเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักเบญจอัสนีอย่างเย็นชาอยู่ไม่ไกล

ต่างจากซูอี้ ในช่วงสองเดือนมานี้ เขาได้ยินชื่อของสำนักเบญจอัสนีมามากกว่าหนึ่งหน

นี่คือขุมอำนาจผู้ฝึกตนจากต่างโลก ผู้ยึดครองพื้นที่อยู่ในต้าฉิน มรดกและพลังไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสำนักอนธการสยบนภามากนัก

ทว่า หยวนเหิงยังทราบด้วยว่าต่อให้นายท่านของเขาทราบเรื่องนี้ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางสนใจ

“แม่นางหลานซัว ว่ามาเถิด” ซูอี้กล่าวเบา ๆ

หลานซัวพยักหน้าและแถลงเหตุผลทันที

เรื่องราวนั้นเรียบง่าย

ไม่นานเท่าไรนัก อาจารย์อวิ๋นหลางได้เข้าไปในซากโบราณสถานในทะเลวิญญาณโกลาหล และพบโอสถวิญญาณนาม ‘หญ้าวิญญาณห่วงหยก’

ทว่าในยามที่เขากำลังเก็บโอสถวิญญาณนี้ เขาได้พบคู่แข่งจากสำนักเบญจอัสนีผู้หนึ่ง

ท้ายที่สุด อาจารย์อวิ๋นหลางนั้นฝีมือล้ำเลิศกว่า เขาทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัสและได้รับโอสถวิญญาณไป

ทว่าเพราะเหตุนี้ อาจารย์อวิ๋นหลางจึงถูกหมายหัวโดยสำนักเบญจอัสนี

เมื่ออาจารย์อวิ๋นหลางกลับจากทะเลวิญญาณโกลาหล เขาก็ถูกยอดฝีมือจากสำนักเบญจอัสนีตามไล่ล่า เขาจึงทำได้เพียงหลบซ่อนอย่างสิ้นหวัง

หลานซัวไปงานชุมนุมล่องเมฆาครั้งนี้ก็เพื่อหวังจะขอความเป็นธรรมจากสำนักอนธการสยบนภา และขอให้ช่วยอาจารย์ของนางคลายวิกฤต

ฟังจบ ซูอี้ก็ไม่แปลกใจ

ในยุทธภพ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้หาได้ยากนัก

“แม่นางหลานซัว เจ้ากล่าวบางอย่างผิดพลาด”

หยวนซั่ว ชายหนุ่มในอาภรณ์สีหยกกล่าวอย่างเย็นชา “หญ้าวิญญาณห่วงหยกนั่นแต่เดิมถูกค้นพบโดยสำนักเบญจอัสนีของเราก่อน และอาจารย์เจ้าอวิ๋นหลางก็เข้ามาทำร้ายศิษย์สำนักเบญจอัสนีของข้าและชิงสมบัตินี้ไป! หาไม่ เหตุใดสำนักเบญจอัสนีของข้าจึงต้องรบเพื่อโอสถวิญญาณชิ้นเดียวด้วยเล่า?”

หลานซัวขมวดคิ้ว นางกำลังจะโต้เถียง

ซูอี้ยกมือขึ้นหยุดนางไว้ กล่าวว่า “การต่อสู้แย่งชิงสมบัติเช่นนี้ ผิดหรือถูกไม่สำคัญ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องโต้เถียง”

กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ยิ้ม “อีกอย่าง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตัดสินถูกผิด ไฉนต้องเปลืองวาจา?”

หลานซัวตะลึง

สีหน้าของพวกหยวนซั่วก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ทั้งทัศนคติและความนัยในวาจาของซูอี้ไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้!

“สหายเต๋า หากเจ้าต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ ก็รังแต่จะหาเรื่องใส่ตนเองเท่านั้น”

ชายร่างสูงในชุดหนังสัตว์นามหงเหอกล่าวอย่างเย็นชา “ยามนั้น ไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถช่วยเหลืออวิ๋นหลาง พวกเจ้าและเขาจะต้องทุกข์ทนเพราะเรื่องนี้อีก มันคุ้มแล้วหรือ?”

“รนหาที่ตาย!”

หยวนเหิงหน้าเสีย เขากำลังจะกวาดล้างเจ้าคนผู้นี้

ซูอี้โบกมือกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าฆ่าเขาไป สถานการณ์ของอาจารย์อวิ๋นหลางจะไม่เปลี่ยนแปลงหรอก”

หยวนเหิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง และพลันเข้าใจ

จริงอยู่ที่พวกเขาช่วยหลานซัวฆ่าคนเหล่านี้ได้ และรับประกันได้ว่าพวกตนจะไม่ปล่อยข่าวลือใด ๆ

ทว่า หากสำนักเบญจอัสนีทราบข่าว พวกเขาจะนำเรื่องนี้ไปถือโทษหลานซัวและอาจารย์อวิ๋นหลางแน่!

“เห็นได้เลยว่าสหายเต๋าเป็นคนมีเหตุผล”

หยวนซั่วโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ “ผู้ใดผูกกระพรวนที่คอเสือ ต้องเป็นผู้แก้มัน ในความเห็นข้า สหายเต๋าควรเกลี้ยกล่อมให้แม่นางหลานซัวบอกที่อยู่ของอาจารย์นางอวิ๋นหลางออกมา แล้วเราก็จะจบกันด้วยดี กล่าวได้ว่าทั้งสองต่างเป็นสุข”

หัวใจของหลานซัวดิ่งวูบ

ทว่าซูอี้กลับถามว่า “งานชุมนุมล่องเมฆานี่ พวกคนใหญ่คนโตของสำนักเบญจอัสนีพวกเจ้าก็เข้าร่วมด้วยหรือไม่?”

“ถูกต้อง”

หยวนซั่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากแม่นางหลานซัวไปเข้าร่วมงานประชุมล่องเมฆาเพื่อขอความช่วยเหลือ ผู้ใดเล่าจะสนใจนาง?”

หลานซัวกัดริมฝีปากสีชาดของนางเบา ๆ สีหน้ามืดหมอง ในใจตื่นกลัว

นางไม่ได้โง่ จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าถึงวาจาของหยวนซั่วจะแข็งกระด้าง แต่ไม่ใช่ความเท็จ?

ในอดีต อาจารย์ของนางคือผู้เฒ่าสูงสุดแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ย่อมมีน้อยคนนักในต้าฉินที่กล้ายุ่งกับเขา

ทว่ายามนี้ เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว!

กระทั่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนยังยอมสยบต่อสำนักอนธการสยบนภาราวข้ารับใช้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำนักอนธการสยบนภาจะเข้าข้างอาจารย์ของนางโดยเมินความเสี่ยงการแตกหักกับสำนักเบญจอัสนีได้เช่นไร?

เห็นเช่นนั้น ซูอี้ก็กล่าวอย่างลอยชาย “พอดีว่าข้าก็กำลังจะไปงานชุมนุมล่องเมฆา หากสำนักอนธการสยบนภาไม่สนใจเรื่องนี้ งั้นข้าจะจัดการเอง”

“เจ้า?”

หยวนซั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง หากซูอี้ไม่ได้ปราบโฉมงามโหรวอวิ้นด้วยมือเดียวไปเมื่อครู่ พวกเขาคงเยาะเย้ยถากถางเป็นแน่

“เช่นนั้น สหายเต๋าแน่ใจแล้วหรือว่าจะเข้ามาพัวพัน?”

หยวนซั่วถามพลางสูดหายใจลึก

ซูอี้พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับไปบอกสำนักเจ้าให้รามือเสีย หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่หากยังไม่หยุดมือ อย่าโทษข้าว่าสามหาวยามไปถึงงานชุมนุมล่องเมฆาแล้วกัน”

วาจาของเขาเฉยเมยเรียบง่าย

ทว่ามันทำให้หยวนซั่วและพรรคพวกตะลึงงัน

ทั่วต้าฉินทุกวันนี้ ใครเล่าจะกล้าข่มขู่สำนักเบญจอัสนีของพวกเขาเช่นนี้?

“แม่นางหลานซัว ไปกันเถิด”

ซูอี้คร้านจะสนใจคนเหล่านี้ และเดินจากไปไกล

หลานซัวรีบร้อนตามไป

หยวนเหิงเดินตามปิดท้าย

เมื่อเห็นซูอี้และกลุ่มของเขาจากไป ยอดฝีมือจากสำนักเบญจอัสนีก็ยังอดมองหยวนซั่วอย่างไม่เต็มใจไม่ได้

หยวนซั่วรีบส่งกระแสเสียงออกไป “อย่าทำตัวโง่เง่า ไม่เห็นหรือว่าโหรวอวิ้นแพ้พ่ายเยี่ยงไร? หากอีกฝ่ายคิดฆ่าเรา เขาก็ทำได้ไม่ยากเลย!”

ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหลือบมองโหรวอวิ้นที่ยังคุกเข่าที่เดิมเงียบ ๆ

“ขอบังอาจถามชื่อสหายเต๋าได้หรือไม่?”

จู่ ๆ หยวนซั่วก็กล่าวออกมา

“ซูอี้”

ไกลออกไป เสียงเฉยเมยของซูอี้ดังตอบ

“ซูอี้? ในต้าฉินมียอดคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”

หยวนซั่วครุ่นคิด

“ข้ารู้แล้ว!”

จู่ ๆ หงเหอก็กล่าวอย่างตกใจ “เขาคืออัครมหาเสนาบดีซูอี้แห่งต้าโจว ตำนานรุ่นเยาว์ผู้ครั้งหนึ่งเคยกวาดล้างผู้ฝึกตนชั่วช้าทั้งหมดในตำหนักมารเทียนอวี้ด้วยตัวคนเดียว!”

ว่าถึงตอนนี้ เขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ

เมื่อย้อนคิดว่าก่อนหน้านี้ตนข่มขู่ซูอี้อย่างแสนโอหังมาก่อน หัวใจของเขาก็รู้สึกกลัวอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกราวเพิ่งผ่านภัยพิบัติใหญ่หลวงมาได้

“นั่นเขาหรือ!?”

ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ จากสำนักเบญจอัสนีตกใจหน้าซีด

แม้ว่าพวกเขาจะมาจากต่างโลกต่างภพภูมิ แต่มีหรือพวกเขาจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับความหายนะของตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งปรากฏตัวในต้าโจว?

“ความพ่ายแพ้ครานี้ไม่ได้ผิดพลาด…”

โหรวอวิ้นลุกขึ้นจากพื้นเงียบ ๆ ทว่าใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความโล่งใจ

ก่อนหน้านี้ การที่นางถูกฝ่ามือของซูอี้กดให้คุกเข่ากับพื้นได้สร้างความกรุ่นโกรธอับอายแก่นาง และรู้สึกว่าคงยากที่นางจะเชิดหน้าชูคอในสำนักได้อีกชั่วชีวิต

ทว่ายามนี้ หลังจากรู้ตัวตนของซูอี้ นางก็รู้สึกว่าการพ่ายแพ้ให้เขาไม่ได้น่าอายมากนัก

เพราะถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นตัวตนที่สามารถสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้!

“เขานี่เอง…”

หยวนซั่วลอบกำหมัดเงียบ ๆ ด้วยหัวใจแปรปรวน

เขาแน่ใจว่าเมื่อครู่ หากตนเองไม่ระวัง เกรงว่ายามนี้คงเป็นศพไปแล้ว!

“ศิษย์น้องหยวน เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นไรต่อ?”

หงเหอกล่าว “ก่อนหน้านี้ ซูอี้กล่าวไว้ว่าเขาจะไปงานชุมนุมล่องเมฆา ในเมื่อคนเช่นเขากล่าวว่าจะเข้าพัวพัน เขาจะไม่กลับคำเป็นแน่ ทว่าสำหรับสำนักเบญจอัสนีเรา นี่นับเป็นข่าวร้าย”

ทุกสายตาหันไปมองหยวนซั่ว

ใจของหยวนซั่วกระวนกระวาย ตระหนักได้ว่าปัญหาครานี้หนักหนา และกล่าวทันที “ส่งข่าวให้สำนัก อธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก่อนซูอี้จะไปถึงหุบเขาวิญญาณล่องเมฆา ให้เจ้าสำนักประกาศเรื่องแก่พวกเขาให้รู้ถ้วนทั่วก่อน!”

ทุกคนพยักหน้า

จริงของเขา เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ มันก็ขึ้นกับบรรดาระดับสูงในสำนักแล้วว่าจะตัดสินใจเช่นไร!

“พวกนั้นไม่ได้ตามมาจริง ๆ ด้วย”

ระหว่างทาง หลานซัวกระซิบด้วยสีหน้าที่ดูโล่งใจ

“หากตามมา ก็ไม่ต่างกับเดินสู่ความตายนักหรอก”

หยวนเหิงยิ้มอย่างเรียบง่ายจริงใจ “แต่ก็อีกนั่นล่ะ ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่นายท่านหยุดไว้ ข้าคงฆ่าพวกนั้นหมดแล้ว”

ซูอี้อดตะลึงไปและส่ายหน้าไม่ได้ “ศิษย์สำนักเบญจอัสนีเหล่านั้นมีท่าทีเป็นระบบระเบียบดี ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ลงมือโจมตีหลานซัวก่อน ข้าก็จะไม่รังแกพวกเขา”

หยวนเหิงกล่าวอย่างเชื่อมั่นลึกล้ำ “ในหมู่แม่ทัพ อย่าฟันลูกสมุน ในเมื่อเราอยากช่วยอาจารย์ของหลานซัวจากวิกฤต เราควรเริ่มจากคนใหญ่คนโตของสำนักเบญจอัสนีก่อน หากนายท่านไปจัดการด้วยฐานะในยามนี้ คนพวกนั้นจะยอมสยบโดยง่ายแน่”

หลานซัวตะลึงนิ่ง

นางไม่รู้จักหยวนเหิง แต่นางก็เห็นได้ว่าชายผู้นี้เลื่อมใสยำเกรงซูอี้อย่างหน้ามืดตามัว

เขากระทั่งกล้าไม่เห็นสำนักเบญจอัสนีในสายตา!

“คุณชายซูู หากเจ้าเข้าร่วมความขัดแย้งนี้เพราะข้า สุดท้ายจะเป็นข้าเองที่เดือดเนื้อร้อนใจนิดหน่อยนะ…”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลานซัวก็กล่าวเบา ๆ

ทว่า ก่อนจะทันพูดจบ ซูอี้ก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เรื่องเล็กน้อย ต้องกังวลอันใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอย่างไรเสีย ข้าก็จะไปงานชุมนุมล่องเมฆาครานี้อยู่ดี”

หลานซัวอึ้ง “เหตุใดคุณชายซููจึงเข้าร่วมด้วยล่ะ?”

หยวนเหิงอธิบาย “สำนักอนธการสยบนภาส่งเทียบเชิญแก่นายท่านของข้า และพอดีนายท่านก็ว่างอยู่ เขาจึงวางแผนไปดูสักหน่อย”

หลานซัวพลันกระจ่างแจ้ง แววตาอดส่องประกายไม่ได้ “ในเมื่อสำนักอนธการสยบนภาให้คุณค่าคุณชายซููนัก หากพวกเขารู้เกี่ยวกับอาจารย์ พวกเขาย่อมเข้ามาไกล่เกลี่ยเป็นแน่”

หยวนเหิงกล่าวด้วยสีหน้าพิลึก “แม่นางหลานซัวไม่รู้อันใด ด้วยฐานะและความสามารถของนายท่าน ไม่จำเป็นต้องยืมมือสำนักอนธการสยบนภาหรอก วิกฤตของอาจารย์อวิ๋นหลางจะแก้ได้ง่าย ๆ เลย”

หลานซัวนิ่งอึ้งไม่อยากเชื่อ

หยวนเหิงถาม “เจ้าไม่รู้หรือ ว่าเมื่อสองเดือนก่อนเกิดสิ่งใดขึ้นในต้าโจว?”

หลานซัวส่ายหน้า “ช่วงนี้ข้าเก็บตัว พยายามท้าทายขอบเขตไร้เบญจธัญอยู่และเพิ่งออกมา ข้าจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกหล้าเลย”

หยวนเหิงพลันอึ้ง

ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “เอาล่ะ คุยเรื่องพวกนี้ไปก็มีแต่จะเบื่อเสียเปล่า ๆ”

แค่เรื่องทั่วไป มีค่าอันใดให้หารือกันซ้ำ ๆ?

นั่งลงร่ำสุรา ทัศนาบรรพตและธารายังดีเสียกว่า

ต่อมา ซูอี้ก็สั่งให้หยวนเหิงเปลี่ยนร่างเป็นเต่าทะเล

จากนั้น เขาและหลานซัวก็นั่งบนหลังเต่ายักษ์ หยิบน้ำเต้าและจอกสุราออกมาสังสรรค์ ชมทัศนียภาพทิวเขาระหว่างเดินทางไปยังหุบเขาวิญญาณล่องเมฆา

ในชั่วขณะนั้น ซูอี้เองก็อารมณ์แจ่มใส

ขุนเขาลำธารดั่งภาพวาด งดงามเยี่ยงปั้นแต่ง ทุกสิ่งล้วนเจริญตา

หลานซัวเห็นได้ชัดเจนว่าซูอี้ไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องที่ตนมองว่าไร้ค่า ดังนั้นจึงไม่กล่าวถึงมันอีก

ทว่าลึก ๆ ในใจ นางยังคงเป็นกังวล และกระวนกระวายใจอยู่เล็ก ๆ

การไปงานชุมนุมล่องเมฆาครานี้จะแก้ปัญหาให้อาจารย์ได้ง่ายเช่นที่คุณชายซููพูดจริง ๆ หรือ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด