บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 668: เมืองผีหลิงหลง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 668: เมืองผีหลิงหลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 668: เมืองผีหลิงหลง

ตอนที่ 668: เมืองผีหลิงหลง

“ไปเถิด ไปดูกัน”

ซูอี้ก้าวสู่อากาศ เดินลึกเข้าไปในสันเขาอวิ๋นซัง

เย่ซุ่นเดินตาม

รอบสารทิศปรากฏแสงสว่างแปลบปลาบทะยานเป็นระยะ มีทั้งชายหญิงทุกช่วงวัย

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสามหรือห้าคน เห็นได้ชัดว่ามาจากขุมอำนาจต่าง ๆ

ยังมีผู้ฝึกตนบางผู้ที่ลงมือลำพัง ทว่าก็มีแสนน้อย

ผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นเหมือนกับพวกซูอี้ ทุกคนต่างทะยานสู่สันเขาอวิ๋นซัง

สีหน้าของเย่ซุ่นอดแสดงความกังวลไม่ได้ หรือจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเมืองผีหลิงหลง?

หาไม่ เหตุใดมันจึงดึงดูดผู้ฝึกตนมากเพียงนี้?

ครู่ถัดมา

หุบเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

มันดูราวกับเป็นทางผ่านธรรมชาติเพื่อขึ้นสู่สรวงสวรรค์

ที่ทางเข้าหุบเขามีหมอกควันหนาทึบ และมีคลื่นกระเพื่อมจากมิติอันมองไม่เห็นด้วยตา

และลึกเข้าไปในหุบเขามีหมอกหนาสีเทาปกคลุมจรดนภา บดบังดวงตะวัน

“พี่เขย นั่นคือทางเข้าสู่เมืองผีหลิงหลง มีอำนาจมิติพิสดารบางอย่างกางอยู่ในนั้น สามหมื่นปีก่อนไร้กลุ่มเต๋าในขอบเขตจักรพรรดิ ดังนั้นการเข้าไปในนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย”

เย่ซุ่นรีบกล่าว “ทว่ายามนี้ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างทำให้พลังมิติที่ทางเข้านี้เบาบางลงอย่างมาก”

ซูอี้พยักหน้า

เมืองผีหลิงหลงนี้ เมื่อรวมกับเกาะเซียนพระสุเมรุและแดนเซียนมิคสัญญีก็จะครบสามพื้นที่ต้องห้ามแห่งต้าเซี่ย

เท่าที่เขารู้ ในอดีตมียอดฝีมือน้อยคนจะกล้ารับความเสี่ยง

ทว่ายามนี้ ผู้ฝึกตนมากมายกำลังฝ่าเข้าไปในทางเข้าซึ่งนำสู่เมืองผีหลิงหลง!

“สหายเต๋าโปรดช้าก่อน”

ซูอี้ก้าวสู่อากาศ และปรากฏขึ้นข้างกายชายวัยกลางคนชุดดำผู้หนึ่งซึ่งอยู่ลำพัง

ชายวัยกลางคนในชุดดำขมวดคิ้ว “มีอันใดหรือ?”

ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้าอยากถามว่า เกิดอันใดขึ้นกับเมืองผีหลิงหลงนี่หรือ และเหตุใดมันจึงชักนำยอดฝีมือมามากเพียงนี้?”

ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาถึงนี่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นหรือ?”

เย่ซุ่นกล่าวอย่างใจร้อน “หากอยากตอบก็แค่ตอบมา ไฉนต้องถามมากความด้วย?”

ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ซูอี้ก็โบกมือกล่าวว่า “สหายเต๋าโปรดอย่าถือสา เขาเป็นคนปากร้าย ทว่าไม่ตั้งใจล่วงเกินผู้ใด”

สีหน้าของชายวัยกลางคนชุดดำอ่อนลงมาก ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ง่ายมาก เมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลขึ้นที่เมืองผีหลิงหลง และผู้ฝึกตนมากมายซึ่งบุกเข้าไปในนั้นก็กลับมาพร้อมด้วยโอกาสสัมพันธ์น้อยใหญ่ ทำให้ผู้ฝึกตนถูกดึงดูดมาหาโอกาสกันมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ซูอี้กล่าวขึ้น “เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณที่ชี้แนะ”

ชายวัยกลางคนชุดดำดูจะชอบนิสัยใจคอซูอี้พอสมควร จึงกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม แม้ว่าเมืองผีหลิงหลงจะมีโอกาสมากมาย แต่มันก็แฝงอันตรายเต็มไปหมดเช่นกัน โดยเฉพาะสิ่งชั่วร้ายเช่นการเข่นฆ่าแย่งสมบัติก็มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เจ้าต้องระวังตนด้วย”

หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม พลางกล่าวว่า “แน่นอน หากเจ้าพบปะผู้ใดยามสำรวจเมืองผีหลิงหลงและเผชิญปัญหา เจ้าขานนามของข้าได้ แม้ว่าข้ากวนเถี่ยซานจะไม่ใช่ยอดคน แต่ในแคว้นซาเหอ ข้ายังพอมีหน้ามีตาอยู่ จึงพอจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้บ้าง”

พูดจบ มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย

แววตาของเย่ซุ่นดูพิกล เจ้าเด็กโข่งนี่อยู่แค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้น แต่ประพฤติตนใหญ่โตไม่น้อยเลย!

ซูอี้ยิ้ม และหันจากไปโดยไม่พูดจา

เย่ซุ่นรีบร้อนตามไป

ชายวัยกลางคนชุดดำผู้เรียกตนเองว่ากวนเถี่ยซานดูจะนึกบางสิ่งออก และรีบกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าได้ใช้นามข้าทำเรื่องชั่วร้ายเชียว หาไม่ ข้าจะเป็นผู้แรกที่ไม่ให้อภัยเจ้า!”

เย่ซุ่น “…”

เมื่อมาถึงทางเขาหุบเขา เขาก็อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ “ให้ตายเถอะ เจ้าหมอนั่นเสแสร้งเก่งเกินไปแล้ว!”

ซูอี้อดยิ้มไม่ได้ เขาส่ายหน้ากล่าว “ดีแล้วที่เขาไม่ใช่คนเลว”

ระหว่างการสนทนา ทั้งสองก็เข้าไปยังหุบเขา

วูบ!

ด้วยคลื่นกระเพื่อมแห่งมิติ ร่างของทั้งสองพลันหายวับไปกลางอากาศ

กวนเถี่ยซานยืนนิ่งและไม่ลงมือ

เขากำลังรอ

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

จู่ ๆ ก็มีเสียงท้องฟ้าสะเทือนดังมาลิบ ๆ และกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งก็เหินร่างบนดาบพร้อมด้วยเสียงคำรามก้อง พุ่งทะยานบุกเข้าใส่แสงสว่างราวห่าฝน ดูรุนแรงเสียจนน่าตกใจ

ทันทีที่พวกเขามาถึง รอบข้างก็เกิดเสียงฮือฮา

“เหล่าศิษย์จากคีรีดาบเมฆาเร้น!”

“สวรรค์ กระทั่งขุมอำนาจสำนักเต๋าโบราณยักษ์ใหญ่เช่นนี้ยังจะมาร่วมวงหรือ?”

“เงียบซะ อย่าไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตพวกนั้น!”

…ผู้ฝึกตนบางคนที่อยู่โดยรอบปรากฏสีหน้าหวาดกลัวเกรงขาม

คีรีดาบเมฆาเร้น

หนึ่งในเจ็ดมหาอำนาจโบราณในทุกวันนี้!

ในมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน มันเป็นที่รู้จักในนามขุมอำนาจนักดาบอันดับหนึ่งของโลก ภูมิหลังช่างน่าตกตะลึง!

กลุ่มนั้นมีนักดาบอยู่หกคน สามชายสองหญิง และชายชราผมขาวผู้หนึ่ง

ผู้นำกลุ่มเป็นชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนก สวมเกี้ยวหยก และผูกแถบผ้าสีทองที่เอว

เขาดูหล่อเหลว สีหน้าเย็นชาเฉยเมย เมื่อดวงตากะพริบเปิดปิดก็เกิดเงาแสงคมกริบสีม่วงอ่อนราวคมดาบ

ลมหายใจอันหนาแน่นชวนให้โลกาสั่นสะเทือนยิ่งขึ้นอีก

เหล่าชายหญิงถัดจากชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนกต่างมีรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา มองปราดแรกก็เข้าใจได้ว่าเป็นบุคคลพิเศษ

ทว่า เมื่อเทียบกับชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนก เขาก็ดูกลบรัศมีคนอื่นนิดหน่อย

“ผู้ใดคือกวนเถี่ยซาน?”

ชายชราผมขาวที่ยืนถัดจากชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนกเอ่ยขึ้น เสียงลึกล้ำของเขาสะท้อนไปทั่วหล้าอย่างเนิบ ๆ

กวนเถี่ยซานกระตือรือร้นขึ้นมาในพลัน และรีบร้อนก้าวเข้ามาโค้งตัวต่ำ ๆ “ผู้น้อยกวนเถี่ยซาน รอพวกท่านที่นี่นานแล้วขอรับ!”

ชายชราผมขาวกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าได้ยินว่าเจ้าค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์ของเมืองผีหลิงหลงนี้ ข้าจะให้เจ้ารับหน้าที่นำทาง หลังเราออกจากเมืองผีหลิงหลงนี้ ผลประโยชน์ที่เจ้าจะได้จะเหนือคณานับ”

กวนเถี่ยซานแสนยำเกรง กล่าวอย่างจริงจังว่า “การได้รับใช้ใต้เท้าทั้งหลายคือวาสนาใหญ่ของกวนผู้นี้ ผู้น้อยจะบิดพลิ้ว กล้าคิดถึงผลประโยชน์ได้เช่นไร?”

ชายชราผมขาวพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะชี้ไปทางชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนกข้างกายเขา และกล่าวว่า “นี่คือศิษย์สายตรงคนปัจจุบันของข้าในคีรีดาบเมฆาเร้น ‘ฉู่อวิ๋นเคอ’ อย่าได้ละเลยเขา”

ฉู่อวิ๋นเคอ!

เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนในละแวกได้ยินชื่อนั้น พวกเขาต่างสูดหายใจเฮือก

ในทำเนียบดาราที่หอเมฆาเขียวประกาศเมื่อไม่นานนี้ มีนามนี้รวมอยู่ในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณทั้งเจ็ดสิบเก้าคน

ในขณะเดียวกัน ฉู่อวิ๋นเคอก็ยังเป็นผู้นำของเหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งลืมตาตื่นเป็นกลุ่มที่สองด้วย!

จากคำบอกเล่า เขามีความสามารถที่ชื่อว่า ‘ฤทัยเหล็กกล้า’ และมีวิชาดาบล้ำเลิศยิ่งนัก

แม้จะเยาว์วัย แต่อำนาจในการต่อสู้ของเขาก็สามารถที่จะทำให้ผู้ที่อาวุโสกว่าในขอบเขตวิถีวิญญาณส่วนใหญ่รู้สึกละอายได้!

หัวใจของกวนเถี่ยซานตะลึง และเขาก็กล่าวอย่างนอบน้อม “คารวะใต้เท้าฉู่ หลังจากเข้าสู่เมืองผีหลิงหลง หากใต้เท้าฉู่มีสิ่งใดให้รับใช้ โปรดบอกคนแซ่กวนผู้นี้”

ฉู่อวิ๋นเคอพยักหน้าอย่างจริงจัง และกล่าวว่า “นำทาง”

“ขอรับ!”

กวนเถี่ยซานไม่กล้าอารัมภบทไร้สาระ และหันหลังลงมือทันที

กลุ่มคนเหล่านี้หายลับทางเข้าหุบเขาซึ่งนำไปยังเมืองผีหลิงหลงในทันใด

เมื่อพวกเขาหายลับ เหล่าผู้ฝึกตนในละแวกรอบข้างพลันแตกฮือ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

“ศิษย์คีรีดาบเมฆาเร้นก็มากับเขาด้วย เช่นนี้โถงวิญญาณหยินทมิฬจะสนใจในสมบัติที่ฝังอยู่ลึก ๆ ในเขามารทมิฬแห่งเมืองผีหลิงหลงด้วยหรือไม่?”

“น่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ สามวันก่อน ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากโถงวิญญาณหยินทมิฬก็เข้าไปในเมืองผีหลิงหลง และผนึกบริเวณใกล้ ๆ กับเขามารทมิฬไว้ ว่ากันว่ามีสมบัติล้ำค่าฝังอยู่ที่นั่นด้วย”

“น่าสนใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นคีรีดาบเมฆาเร้นหรือโถงวิญญาณหยินทมิฬต่างก็เป็นหนึ่งในเจ็ดมหาอำนาจโบราณทั้งสิ้น หากเกิดการพิพาทเพราะการแย่งโอกาสขึ้นมา มันจะเป็นศึกสะท้านปฐพีเป็นแน่!”

เมืองผีหลิงหลง

ท้องนภาแดงฉานเยี่ยงโลหิต ชวนหดหู่หงอยเหงาพิกล

ทั่วหล้าเต็มไปด้วยภาพอันหม่นหมองซอมซ่อ ทั้งหุบเขาและลำธารต่างถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเลือดจาง ๆ

“สามหมื่นปีก่อน ที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในความโหดร้าย ยามแรกลือกันว่ามันเป็นซากสนามรบระหว่างเทพและปีศาจ ทว่าข้าไม่รู้นะขอรับว่าจริงหรือไม่”

ซูอี้และเย่ซุ่นเดินเคียงข้างกันบนพื้นที่รกร้างสีเลือด

“เมืองผีแห่งนี้เทียบได้กับโลกขนาดเล็ก ชายขอบของมันเป็นเขตแดนมิติแตก ๆ ที่เต็มไปด้วยคลื่นความผันผวนของมิติและเวลา มีเพียงเขตแดนทางตะวันออกเท่านั้นที่นำไปสู่ส่วนลึกของทะเลทุกข์ในภูมิมืดมิด”

เย่ซุ่นทอดถอนใจรำลึก “ในคราแรก ยามเมื่อข้าออกมาจากภูมิมืดมิด ข้าไม่เคยคิดเลยว่าโลกที่ปลายเส้นทางนำมาจะเป็นมหาทวีปคังชิง”

“น่าเสียดายที่เมื่อสามหมื่นปีก่อน ทางเชื่อมเขตแดนก็ถูกทำลายลง ยามนั้นข้าก็อยู่ด้วย ทุกสิ่งถูกทำลายลงโดยเจ้าคนที่เรียกตนเองว่าพัสดี…”

เขาทอดถอนใจอย่างเปี่ยมอารมณ์

ยามมาเยือนสถานที่ในความทรงจำอีกครา ทุกความทรงจำจากอดีตก็หลั่งไหลสู่สมอง ทำให้เย่ซุ่นมีหลากอารมณ์อยู่ในใจ

ทว่าทันใดนั้น เขาก็กล่าวพลางยิ้มว่า “แน่นอน ประสบการณ์ของข้ายังห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับพี่เขยนัก”

ซูอี้มองเขา ก่อนกล่าวว่า “ข้าสงสัยนักว่า เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่ดี ๆ ในภูมิมืดมิด เหตุใดเจ้าต้องออกมาด้วย?”

เย่ซุ่นเกาหัว แล้วก็ยิ้มขมขื่น “พี่เขยจะล้อข้าก็ได้ แต่สมัยข้าอยู่ในภูมิมืดมิด ข้าก่อเรื่องมากมาย โดยเฉพาะนับแต่ท่านจากภูมิมืดมิดไป พี่เขย ตาแก่มากมายข่มขู่ว่าจะออกมาจัดการข้า ด้วยไร้หนทาง ข้าจึงทำได้เพียงจากภูมิมืดมิดออกมาก่อนเพื่อกบดาน”

“ไม่เคยคิดเลยว่า หมื่น ๆ ปีถัดมา ข้าก็ยังไร้หนทางกลับไป…”

ซูอี้ไร้วาจาอยู่ครู่หนึ่ง ที่แท้เจ้าเด็กนี่ก็หนีบาทาชาวบ้านมา!

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า “ในช่วงที่ข้าจากไป ไม่มีผู้ใดไปรบกวนพี่สาวเจ้า ใช่หรือไม่?”

เย่ซุ่นกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “พี่เขย ในภูมิมืดมิด ตาแก่ผู้ใดจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวข้ากับท่านบ้าง? แม้พวกเขาจะไปกินหัวใจหมีดีเสือที่ไหนมา ก็ไม่กล้ามาหาเรื่องพี่สาวข้าหรอก”

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างลังเล “ทว่ามันก็ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ข้าไม่อาจประกันได้ว่าในช่วงเวลาแสนนานนี้ พี่สาวข้าจะถูกรังแกบ้างหรือไม่?”

ซูอี้กล่าว “อย่าห่วงเลย จะมีโอกาสได้กลับไปในภายหน้าแน่”

ขณะกำลังสนทนา พลันปรากฏสายรุ้งทิพย์เจิดจ้าพุ่งออกมาไกล ๆ ดูราวอสนีบาตสีเงินพร่างพราว ทะยานเข้ามาสู่พวกซูอี้

ซูอี้สะดุ้ง ใบหน้าประหลาดใจ

ด้วยสายรุ้งทิพย์ประดุจดั่งอสนีบาตสีเงินนี้ไม่ใช่แสงจากการทะยานของยอดฝีมือ แต่เป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด