บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 799: ร่มแคล้วคลาด

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 799: ร่มแคล้วคลาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 799: ร่มแคล้วคลาด

ตอนที่ 799: ร่มแคล้วคลาด

เนิ่นนานมาแล้ว ในซากดินแดนปรภพแห่งภูมิมืดมิด ครั้งหนึ่งเคยปรากฏหงส์เพลิงไร้ที่มา อาบย้อมด้วยเพลิงพระกาฬดุร้ายรุนแรง

ไม่รู้ว่ามีตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิมากมายเพียงไรที่พยายามปราบมัน ทว่าพวกเขาต่างล้มเหลวโดยไร้ข้อยกเว้น

เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนไปทั่วภูมิมืดมิด

ทว่าในกาลต่อมา หงส์เพลิงลึกลับก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ราวระเหยหายไปจากโลกหล้า

ลือกันว่าวิหคเพลิงได้บินออกจากซากดินแดนปรภพลึกสู่ทะเลทุกข์เพื่อค้นหาเต๋า

ทว่าไม่มีผู้ใดแน่ใจว่าข่าวลือนี้เป็นจริงหรือไม่

และครั้งหนึ่ง อาจารย์ของชายชราตาบอดเคยบอกเขาว่าวิหคเพลิงนั้นได้ล่วงเกินปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเข้า และถูกเขาปราบด้วยอำนาจอหังการ!

ส่วนชุยจิ๋งเหยี่ยนก็เคยได้ยินปู่ของนาง ยมราชพิพากษาชุยหลงเซี่ยงกล่าวถึงมันในลักษณะเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง

ชุยหลงเซี่ยงเคยกล่าวว่าหงส์เพลิงถูกปราบลงเนื่องจากมันไปล่วงเกินจักรพรรดินีหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจงู เย่อวี๋!

ดังนั้นมันจึงถูกปราบลงโดยปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน

เมื่อพวกเขาได้เห็นวิหคร้ายอันดุดันน่ากลัวอาบหมอกสีเลือดตรงหน้า ชุยจิ๋งเหยี่ยนและชายชราตาบอดจึงเชื่อสนิทใจในที่สุดว่าหงส์เพลิงถูกปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินปราบลง!

หลังจากเขมือบปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์ทั้งสามเสร็จสิ้น ร่างวิญญาณของหงส์เพลิงที่หน้าแท่นเต๋าจึงเตรียมจากไป ทว่าซูอี้กลับโพล่งกล่าวขึ้นว่า “เจ้ารักษาสัญญา ไม่เคยบิดพลิ้วเลย”

นั่นทำให้ร่างของหงส์เพลิงสะท้านสั่น เนตรแดงดุจเพลิงหันมองซูอี้และกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ”เจ้า… เจ้าเป็นอันใดกับมารเฒ่าซูผู้นั้น?”

เสียงของมันแหบต่ำ ดูดึงดูดเป็นเอกลักษณ์ และวาจาของเขายังปนเปไปด้วยวจีวิถีคลุมเครือ ไม่ต่างจากเสียงที่ซูอี้ใช้เลย

นี่คือภาษาอสูรและวิญญาณแท้อันเก่าแก่บรรพกาลอย่างแท้จริง

เมื่อใช้ภาษานี้ ผู้คนจะสามารถติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณแท้และสัตว์ร้ายได้ทั่วโลกหล้า!

สิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของหงส์เพลิงแปลกใจนั้นก็คือ ชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าดูเหมือนจะรู้ความลับบางอย่างเบื้องหลังการถูกผนึกที่นี่ของมันเมื่อกาลก่อน!

ซูอี้กล่าวด้วยแววตาล้ำลึก “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่ขอถามหน่อยเถิด ผู้ใดหรือที่ทำลายผนึกและค่ายกลที่นี่?”

วิญญาณหงส์เพลิงถามกลับ “หากไม่ยอมบอกที่มาที่ไป ไฉนข้าผู้นี้ต้องบอกเจ้าด้วย?”

เสียงของมันเจือความไม่พอใจ

บางทีอาจเป็นเพราะปลาหมอเพลิงหยางบริสุทธิ์สามตัวนั้น หรืออาจเป็นเพราะซูอี้เชี่ยวชาญภาษาของอสูรและวิญญาณแท้ ทว่าท้ายที่สุดวิญญาณหงส์เพลิงซึ่งถูกผนึกที่นี่มาหลายหมื่นปีก็ไม่กล้าประเมินซูอี้ต่ำเกินไป

หาไม่ ด้วยนิสัยและวิถีเต๋าของมัน หากเป็นผู้อื่นกล้ามาพูดกับมันเช่นนี้ พวกเขาคงได้ตายใต้กรงเล็บมันไปแล้ว

ซูอี้ยิ้ม ก่อนจะมองไปทางร่มสีดำเหนือแท่นเต๋า และกล่าวว่า “วันนี้ข้ามารับสิ่งนี้ไป เจ้าคงรู้ว่าหมายความเช่นไร”

ดวงตาของหงส์เพลิงเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น “จริงหรือ?”

เสียงของมันดูรีบร้อนเล็กน้อย

ซูอี้กล่าว “แต่หากเจ้าไม่ตอบคำถามข้า เช่นนั้นข้าก็คงต้องเปลี่ยนใจ”

วิญญาณหงส์เพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ผู้ทำลายผนึกที่นี่เป็นคนลึกลับมาก ข้าไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา บอกไม่ได้กระทั่งว่าเป็นหญิงหรือชาย หน้าตาและการฝึกฝนเป็นเช่นไร”

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องนี้เกิดขึ้นแต่ยามใด?”

หงส์เพลิงตอบเสียงดุดัน “ราวสามร้อยสามสิบปีก่อน”

ซูอี้แปลกใจ และจึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าปรากฏการณ์อันตระการตาเพิ่งปรากฏ ดึงความสนใจไปทั่วโลกหล้าเมื่อไม่กี่วันนี้เองหรือ?”

วิญญาณหงส์เพลิงอธิบาย “คนผู้นั้นไม่ได้ทำลายผนึกหรือค่ายกลของที่นี่ แต่แค่หาทางเข้าที่นี่เท่านั้น”

“ส่วนนิมิตเมื่อไม่กี่วันก่อน… อ้อ นั่นคือการกระทำของตระกูลเว่ย เจ้าควรถามคนตระกูลเว่ยนะ”

ดวงตาของซูอี้วูบไหว พอจะเข้าใจแล้ว จึงกล่าวว่า “คนตระกูลเว่ยจงใจสร้างนิมิตนั่นขึ้นมา พยายามใช้มันเป็นกับดักเพื่อล่อเหล่ามารร้ายมาฆ่าที่นี่สินะ?”

หงส์เพลิงกล่าวอย่างดุดัน “ถูกต้อง แม้ว่าวิธีนี้จะชั่วช้าน่ารังเกียจ ทว่าพวกเจ้าหนูตระกูลเว่ยเหล่านั้นก็ทำเช่นนี้ไปเพื่อขจัดปีศาจปราบมารให้โลกหล้า เจตนารมณ์ของพวกเขานับว่าไม่เลว”

กล่าวถึงยามนี้ มันก็ถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวต่อ “น่าเสียดายที่ข้าสัญญากับมารเฒ่าซูไว้เมื่อกาลก่อน ว่าข้าจะไม่ลงมือโจมตีผู้ใดก่อน หาไม่ ข้าคงไม่คิดมากหากจะช่วยพวกคนตระกูลเว่ยสักหน่อย”

ซูอี้ลูบคางครุ่นคิด

ในอดีตชาติ เขาเคยให้หงส์เพลิงสาบานว่าจะรักษาสัญญานี้จริง ๆ

ยิ่งกว่านั้น วิญญาณหงส์เพลิงนี้ยังรักษาสัญญาจริงแท้ และกระทั่งเมื่อมันเห็นเว่ยอวิ้นใกล้ตายจากการบาดเจ็บ มันยังไม่ออกตัวจัดการกับปีศาจเฒ่าเหล่านั้นเลย

ซูอี้ถามอีกครั้ง “สามร้อยสามสิบปีก่อน คนที่เจ้ากล่าวถึงได้เคยเหยียบย่างมาที่นี่หรือไม่?”

หงส์เพลิงตอบ “เคย คนผู้นั้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเต๋านี้และจ้อง ‘ร่มแคล้วคลาด’ นี้อยู่ตั้งนานสองนาน แล้วก็… ดูเหมือนคนผู้นั้นจะสังเกตเห็นการมีอยู่ของข้า ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่ได้กล่าวคำใด ไม่ได้ทำสิ่งใด และหันกลับไปทั้งเช่นนั้น”

“กลับไป?”

ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้ “งั้นก็คือ คนผู้นั้นไม่ได้มาเพื่อขโมยร่มแคล้วคลาดนี้หรือ?”

ร่มสีดำนามแคล้วคลาดนี้คือหนึ่งในสิ่งของที่เขาในอดีตชาติทิ้งไว้ในภูมิมืดมิด

สมบัติชิ้นนี้ก็เป็นสมบัติวิเศษระดับจักรพรรดิซึ่งเขาสร้างขึ้นด้วยตนเองในอดีตกาลเหมือน ‘กระสวยเปลี่ยนตะวัน’ แม้ว่ามันจะด้อยชั้นห่างไกลจาก ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ของเขาก็ตาม แต่พวกมันแต่ละชิ้นก็มีอำนาจวิเศษเกินคาดเดาของตัวเอง

เหมือนร่มแคล้วคลาดนี้ ขอเพียงมันถูกกางออก มันจะสามารถเข้าแทรกแซงพลังมหาวิถีทั่วโลกหล้า และยังสามารถฉวยพลังแห่งกฎเกณฑ์ทั่วฟ้าดินส่วนหนึ่งมาใช้เองอีกด้วย

คำว่า ‘สวรรค์’ ในคำว่า ‘แคล้วคลาด’*[1] นั้นหมายถึงพลังของกฎเกณฑ์ทั่วฟ้าดิน

นอกจากนั้น ร่มแคล้วคลาดยังมีการใช้งานพิเศษเช่นการปราบวิญญาณ ชำระล้างและแผดเผาอีกด้วย

ทว่า สิ่งที่สมบัติชิ้นนี้ชอบที่สุด แท้จริงแล้วคือการกินสิ่งชั่วร้าย!

ทันทีที่มันสัมผัสถึงตัวตนหรือวัตถุอันชั่วร้ายได้ มันจะไม่ต่างกับผีโหยจับจ้องอาหารเลิศรสทั่วหล้าตรงหน้า

เหตุผลนั้นเป็นเพราะยามที่ซูอี้ทำด้ามจับและโครงร่มแคล้วคลาดในอดีตชาติ เขาใช้กระดูกวิญญาณของสัตว์วิญญาณเทาเที่ย*[2] และใช้โลหิตทิพย์จากสัตว์วิญญาณปี้อัน*[3]…

เทาเที่ยรักการกินเป็นที่สุด

และปี้อันก็เกลียดความชั่วเป็นที่สุด

ดังนั้นจิตวิญญาณของร่มแคล้วคลาดจึงชอบกลืนกินสิ่งชั่วร้ายเช่นกัน…

“ข้าผู้นี้ไม่แน่ใจ”

หงส์เพลิงส่ายหน้า “กล่าวสั้น ๆ ก็คือ คนผู้นั้นลึกลับพิสดารมากจนข้าไม่อาจมองทะลุตัวตนของเขาได้เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงรักษาระยะห่างเท่านั้น”

ซูอี้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อราว ๆ สามร้อยสามสิบปีก่อนนั้นไม่ใช่ระยะเวลายาวนาน ทว่าใครบางคนกลับสามารถทำลายผนึกที่เขาทิ้งไว้และเข้ามายังที่นี่ได้ นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้

และจากสายตาของวิญญาณหงส์เพลิง ยังไม่อาจแยกแยะได้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายเป็นหญิง นี่ย่อมพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยว่าคนผู้นี้ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนยามลงมา

ทว่าท้ายที่สุด คนผู้นี้ก็จากไปโดยไม่ทำสิ่งใด ซึ่งผิดปกติมากยิ่งขึ้นอีก

“ในอดีตชาติ นอกจากข้าและเย่น้อย มีเพียงตาเฒ่าจากตระกูลเว่ยที่รู้เรื่องดินแดนปิดผนึกนี้ แต่มันก็ผ่านมาสามหมื่นปีแล้ว”

ซูอี้ครุ่นคิด “และบุคคลลึกลับผู้หนึ่งก็บุกเข้ามายังที่แห่งนี้เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน หรือจะมีความเกี่ยวพันอันใดกับเย่น้อย? หรือตระกูลเว่ยกันนะ?”

เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ปฏิเสธมันเสียเอง

หากคนลึกลับซึ่งบุกเข้ามาที่นี่มาจากตระกูลเว่ย เขาย่อมต้องซุกซ่อนตัวจากหงส์เพลิง

หากเป็นเย่น้อย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดตัวตนแม้แต่น้อย

ทว่า ในเมื่อบุคคลลึกลับหาที่นี่เจอ อีกฝ่ายต้องมีข้อมูลบางอย่างแน่แท้

และผู้เดียวที่สามารถมอบเบาะแสที่นี่ได้ก็มีเพียงตระกูลเว่ยและเย่น้อย!

‘ดูเหมือนว่าต้องใช้โอกาสนี้ไปเยือนตระกูลเว่ยเสียแล้ว!’

ซูอี้ลอบคิด

ในอดีตชาติ เขาและเย่น้อยเคยเดินทางลึกเข้ามาในมหาภูผาเพื่อไล่ล่าคนทรยศผู้หนึ่งจากเผ่าปีศาจงู

หลังจากสังหารคนทรยศได้ เขาและเย่น้อยก็บังเอิญได้พบหงส์เพลิงซึ่งแอบตามเขามาตลอดทาง และต้องการทำอันตรายต่อเย่น้อย

ผลคือหงส์เพลิงผู้ดุร้ายไร้รอบเขตก็ถูกซูอี้ปราบลงในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา และผนึกไว้ในพื้นที่ต้องห้ามนี้

เมื่อกล่าวถึงความแค้นระหว่างเย่น้อยและหงษ์ เรื่องนี้ซับซ้อน

กล่าวให้ง่ายก็คือ ครั้งหนึ่งเย่น้อยเคยเข้าไปค้นหาสมบัติในซากดินแดนปรภพ และกลายเป็นศัตรูกับหงส์เพลิงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

ทว่าไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความแค้นฝังลึก ดังนั้นซูอี้จึงไม่ได้สังหารหงส์เพลิงอย่างไร้เมตตา แต่ทำเพียงผนึกมันไว้ที่นี่

เขาสัญญากับหงส์เพลิงไว้ว่าเมื่อเขากลับมารับร่มแคล้วคลาดในภายหน้า เขาจะปล่อยมันไป

ขณะนั้น เว่ยเต้าเยวี่ยน จักรพรรดิแห่งตระกูลเว่ยก็เข้าร่วมในปฏิบัติการนี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อซูอี้และเย่น้อยจากภูเขานี้ไป พวกเขาก็บอกให้เว่ยเต้าเยวี่ยนอารักขาที่นี่ไว้

“เจ้า… จะเอาร่มแคล้วคลาดนี่ไปได้จริง ๆ หรือ?”

เมื่อเห็นซูอี้เงียบไป วิญญาณของหงส์เพลิงก็อดถามไม่ได้

ซูอี้ถามย้อน “ในความคิดเจ้า ไฉนคนลึกลับผู้นั้นจึงไม่นำร่มแคล้วคลาดไปเล่า?”

วิญญาณหงส์เพลิงกล่าวโดยไร้ลังเล “เขาต้องกลัวการล้างแค้นของมารเฒ่าซูเป็นแน่!”

“อย่างนั้นหรือ…”

ซูอี้ขมวดคิ้ว

เขาเวียนวัฏสงสารตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อน ทุกคนทั่วโลกาคิดว่าเขาตายไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดคนผู้นี้ต้องกลัวเรื่องนี้ด้วย?

หรือตัวตนลึกลับผู้นั้นจะคิดว่าเขาไม่ได้ตายจริง ๆ?

เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็มีลางสังหรณ์ในใจ

ในอดีตชาติ แม้ว่าเขาจะยืนยงผู้เดียวในเก้ามหาแดนดิน หนึ่งดาบปราบสวรรค์ยิ่งใหญ่อหังการ ทว่าเมื่อข่าวการตายของเขาแพร่ออก ใครเล่าจะมามัวใส่ใจเรื่องเหล่านี้?

และผู้ที่สนใจความเป็นความตายของเขาจริง ๆ นอกเหนือจากเหล่ามิตรสหายใกล้ชิดเมื่อกาลก่อน ก็มีเพียงศิษย์เหล่านั้น!

เขามองร่มแคล้วคลาดบนแท่นเต๋าและกล่าวในใจ ‘ไม่ว่าคนลึกลับผู้นั้นจะเป็นใคร เหตุที่เขาไม่นำร่มแคล้วคลาดไปด้วยก็คงเพราะอยากเห็นว่าจะมีผู้ใดมาหยิบสมบัตินี้ไปในสักวันหรือไม่ และตัดสินจากสิ่งนี้ ว่าข้า… ยังมีชีวิตหรือไม่…’

‘กล่าวอีกนัยคือ ขอเพียงข้าหยิบร่มแคล้วคลาดนี่ไปในวันนี้ บุคคลลึกลับก็แค่ต้องมาเยือนที่นี่ในภายหน้า ก็จะแน่ใจถึงฐานะของข้าได้ทันที!’

เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็กล่าวกับวิญญาณหงส์เพลิงว่า “ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง แล้วนอกจากข้าจะปล่อยเจ้าไปในภายหน้า ยังจะมอบของขวัญที่ทำให้เจ้ามีโอกาสบรรลุศาสตร์การเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่ด้วย!”

วิญญาณหงส์เพลิงกล่าวอย่างร้อนรน “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะมาเอาร่มแคล้วคลาดไป ทว่ายามนี้จะกลับคำหรือไร?”

วาจาของมันเปี่ยมโทสะ “อีกอย่าง เวียนวัฏสงสารเกิดใหม่บ้าบออันใด มันไม่ได้หายากในที่นี้แม้แต่น้อย!”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้ารู้จักสถานที่ฝัง ‘ไขกระดูกเทพพญาหงส์’ นะ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการมัน?”

วิญญาณหงส์เพลิงอึ้งไป ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนเสียงพิกล “อ้าว ไฉนเล่าจึงไม่บอกเสียแต่แรก! เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”

จิตวิญญาณแท้แห่งปักษาผู้เคยเขย่าโลกหล้าดูมีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด

[1] คำว่า ‘สวรรค์’ ในคำว่า ‘แคล้วคลาด’ นั้น ชื่อจีนคือ 偷天 ซึ่งมีความหมายว่าขโมยสวรรค์ แคล้วคลาดจากชะตา

[2] เทาเที่ยเป็นสัตว์ร้ายในตำนานจีน เป็นตัวแทนความตะกละตะกลาม

[3] ปี้อัน ตำนานจีนเล่าว่าเป็นบุตรที่เจ็ดแห่งมังกร รักความยุติธรรม สามารถแยกแยะความดีและความชั่วได้อย่างแม่นยำ และตัดสินสิ่งต่าง ๆ อย่างยุติธรรม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด