บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 845: ถอย

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 845: ถอย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 845: ถอย

ตอนที่ 845: ถอย

โจมตีครั้งเดียว ปลิดชีพธิดามารอเวจีได้อย่างง่ายดาย!!

ชุยฉางอันใจสะท้าน

เขารู้แต่แรกว่าจ้าวมังกรนทีปรภพแข็งแกร่งมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งปานนี้

ทว่าซูอี้กลับไม่แปลกใจเท่าใด

สัตว์เลื้อยคลานเฒ่าเป็นพวกแปลกแยกแต่กำเนิด ตัวเขาแปลงมาจากวิญญาณโลหิตแห่งมังกรชั่วร้าย สมัยนั้น หลวงจีนผู้มากความสามารถแห่งกลุ่มเต๋าชั้นนำรวมพลังกัน ถึงสะกดเขาไว้ได้

แม้แต่ชุยหลงเซี่ยงยังเคยกล่าวว่าหากไม่ใช่ว่าสัตว์เลื้อยคลานเฒ่าถูกสะกด เขาคงมีโอกาสบรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิได้แน่นอน!

วิญญาณสยดสยองเช่นนี้ ต่อให้โดนสะกดอยู่ใต้ภูเขาเตาสวรรค์มาเก้าหมื่นปี ทว่าความดุดันเกรียงไกรของเขาหาใช่สิ่งที่ขอบเขตจักรพรรดิธรรมดาต้านทานได้ไหว

นอกเมือง

มู่อวิ๋นฉี่ จักรพรรดิปีศาจเทียนจี และเฟ่ยคงถงตะลึงเช่นกัน ต่างคนต่างล่าถอยออกไป ทิ้งสมรภูมิไว้ให้มังกรชรา

ความประหลาดคือ นักพรตมารชั่วร้ายและบุตรมารวิบากกรรมคล้ายว่ารับรู้ถึงความเก่งกาจของตาเฒ่าได้เช่นกัน จึงชะงักและถอยห่างไปไกล

ขณะเดียวกัน จุดที่ห่างออกไปไกล พิภพสะเทือน ขณะที่ราชาโฉดแห่งนรกทมิฬสูงพันจั้งกำลังบุกเข้ามา

ตู้ม!!!

ง้าวศึกในมือราชาโฉดแห่งนรกทมิฬตวัด แทงเข้ามาหาชายชราตรง ๆ จนเกิดแรงระเบิดกลางอากาศ รอยร้าวยาวปรากฏขึ้น

นัยน์ตาสีทองอ่อนของมังกรเฒ่าฉายแรงสังหาร

เขายื่นมือออกไป

กรงเล็บมังกรปกคลุมด้วยเกล็ดสีเลือดข้างหนึ่งพุ่งออกไป พริบตาเดียวได้ขยายออกไปหลายร้อยจั้ง เพียงฝ่ามือเดียว ง้าวศึกที่แทงเข้ามาก็เบี่ยงออกไปด้วยแรงกระเทือน

จากนั้น ร่างของชายชราวูบไหว ก่อนจะหายไปกลางอากาศ

อึดใจต่อมา…

ฟ้าดินผืนนั้นส่งเสียงกู่ร้อง สุญญะทลาย

มังกรคะนองน้ำสีเลือดยาวหลายพันจั้งปรากฏตัวกลางอากาศ ร่างมหึมาของมันคลับคล้ายขุนเขาที่เชื่อมต่อกัน เกล็ดสีเลือดปกคลุมอยู่ทั่วตัว

ตู้ม!

ทันทีที่มังกรคะนองน้ำสีเลือดปรากฏตัว ความดุดันไร้ใดเปรียบกดดันออกมาจนสะท้านไปสิบทิศ

และคล้อยตามการสะบัดกรงเล็บของมัน เพียงการโจมตีครั้งเดียว ก็ตบราชาโฉดแห่งนรกทมิฬจนร่างเซ ถอยออกไปหลายก้าว

ราชาโฉดแห่งนรกทมิฬแค่นเสียงเย็น ตวัดง้าวศึก และบุกออกไปอีกครั้ง เมื่อร่างสูงพันจั้งบุกไปข้างหน้า เสมือนขุมนรกที่เคลื่อนไหว พร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้ายดุดันอันบดบังฟ้าดิน

มังกรคะนองน้ำสีเลือดราวกับถูกยั่วโมโห กรงเล็มแหลมคมของมันพาดผ่านอากาศ เข้าต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด

ตู้ม!

ฟ้าดินผืนนั้นอลหม่าน คลื่นทำลายล้างที่แผ่กระจายออกไปนั้นดุดันขนาดที่จักรพรรดิปีศาจเทียนจีและพวกมู่อวิ๋นฉี่ยังตกใจจนเหงื่อเย็นซึมออกมาทั้งตัว

ราชาโฉดแห่งนรกทมิฬเป็นตัวตนแกร่งกล้าที่ทัดเทียมได้กับขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง ซ้ำยังควบคุมพลังแหล่งกำเนิดที่เกี่ยวพันกับนรก จิตสังหารนั้นสะท้านนภา

แต่ฝ่ายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคือมังกรคะนองน้ำสีเลือดที่แปลงจากจ้าวมังกรนทีปรภพ ทุกครั้งที่สะบัดกรงเล็บเปรียบดั่งมีดคมผ่าน่านฟ้า กรีดรอยแผลโชกเลือดบนตัวราชาโฉดแห่งนรกทมิฬ

ในไม่ช้า ร่างสูงพันจั้งของราชาโฉดแห่งนรกทมิฬก็อ่วมไปหมด

ท้ายที่สุด คล้อยตามเสียงคำรามของมังกรคะนองน้ำสีเลือด มันอ้าปากกลืนกินราชาโฉดแห่งนรกทมิฬที่บาดเจ็บยับเยินเข้าไป

ภาพนั้น กระทั่งชุยฉางอันเห็นแล้วยังอดสะเทือนใจมิได้ ปีศาจเฒ่านี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

มังกรคะนองน้ำสีเลือดไม่ได้พัวพันต่อกับการต่อสู้แต่อย่างใด ร่างของเขาหายวับไปกลางอากาศ

อึดใจต่อมา ชายชราปรากฏตัวบนกำแพงเมือง บ้วนเอาก้อนแสงสีเลือดก้อนหนึ่งออกมา ภายในก้อนแสงนั้นมีราชาโฉดแห่งนรกทมิฬสะกดอยู่

“โปรดรับไว้”

จ้าวมังกรชราเทิดก้อนแสงสีเลือดด้วยสองมือ

ก่อนหน้านี้ซูอี้เคยบอกว่าให้เขาสะกดราชาโฉดแห่งนรกทมิฬ เขาจึงย่อมไม่ปลิดชีพราชาโฉดแห่งนรกทมิฬ

ซูอี้เอื้อมมือรับก้อนแสงสีเลือดเข้ามา ถือเล่นไปพลาง เอ่ยไปพลาง “อีกาน้อยตัวนั้นคงบันดาลโทสะเสียแล้ว”

ทันทีที่สิ้นเสียง…

ฟ้าดินที่ห่างออกไปไกลโพ้น เสียงเย็นเยียบมุ่งร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้น

“มังกรเฒ่าชั่วร้าย เจ้าในวันวานพยศปานใด หาญกล้าสบประมาทเทพเทวาทั้งสวรรค์ แต่เจ้าในตอนนี้ กลับเหมือนสัตว์เลื้อยคลานไร้กระดูก ยอมรับใช้ตระกูลชุย ข้าผิดหวังเหลือเกิน!”

เสียงนั้นดังก้องในปฐพี

ห่างออกไปไกล นักพรตมารชั่วร้าย และบุตรมารวิบากกรรมยืนเงียบทั้งคู่ กองทัพที่มีวิญญาณชั่วร้ายมากมายนับไม่ถ้วนนิ่งไม่ไหวติง

ราวกับศิโรราบแด่เสียงนั้น!

สมรภูมิที่เคยวุ่นวายโกลาหล สงัดลงในอึดใจนี้ เหลือเพียงความมืดมิดและกลิ่นอายโลหิตที่อบอวล แผ่ขยายออกไปในผืนแผ่นดิน

ชายชราดูสับสนเล็กน้อย นัยน์ตาสีทองอ่อนทอดมองออกไปไกล “เจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากหนใด บังอาจว่าร้ายข้า?”

ซูอี้ที่ยังนอนอยู่ในเก้าอี้หวายเอ่ยราบเรียบ “เจ้าไม่รู้จักอีกาเก้ามืดมิดหรือ”

อีกาเก้ามืดมิด!

ม่านตาของมังกรเฒ่าหดลงทันควัน “ที่แท้ก็กาดำที่ควบคุมความโกลาหลและพลังภัยพิบัติ…”

เสียงนั้นเจือแววเคร่งเครียด

“เจ้ากลัวมันหรือ?” ซูอี้ถาม

ชายชราก้มหน้า “ในใต้หล้าภูมิมืดมิด ไม่มีผู้ใดไม่หวาดหวั่นนกอัปมงคลเช่นนี้”

ตู้ม!

เวลานั้น ฟ้าดินมืดมิดที่ห่างออกไปไกลสะเทือน

ขุนเขาสีเลือดโอ่อ่ามหึมาลูกหนึ่งพุ่งออกมากลางอากาศ ทุกที่ที่ผ่านมีวิญญาณร้ายมากมายคุกเข่าหมอบกับพื้น

นักพรตมารชั่วร้ายและบุตรมารวิบากกรรมต่างหลบไปอยู่อีกด้าน โค้งคำนับทำความเคารพ

ขุนเขาสีเลือดสูงเป็นพันจั้ง อักขระเต๋าพิลึกปกคลุมอยู่บนนั้น แสงสีเลือดสาดส่องลงมาดั่งน้ำตก กลิ่นอายบาปกรรมชั่วร้ายแผ่ซ่านออกมาท่วมท้นนภา

บนยอดเขาสีเลือด มีร่างชุดดำร่างหนึ่งยืนอยู่ แสงทมิฬดั่งรัตติกาลลึกลับห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ ดุจเทพแห่งความตายในตำนาน!

อึดใจนี้ ปีศาจเฒ่าทั้งสามตนอย่างจักรพรรดิปีศาจเทียนจี ชายในชุดผ้าหรู เฟ่ยคงถงปวดแสบปวดร้อนที่ผิว หัวใจสะท้านกันทั้งหมด ต่างรู้สึกถึงภัยร้ายถึงชีวิตที่โชยปะทะเข้ามา

แข็งแกร่งเหลือเกิน!!

ผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดกัน?

บนกำแพงเมือง สีหน้าชุยฉางอันก็เคร่งเครียดถึงขีดสุด

ตั้งแต่ตระกูลชุยถือกำเนิดจวบจนปัจจุบัน ผ่านภัยร้ายเทศกาลหมื่นโคมไฟมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอการดำรงอยู่เร้นลับชวนผวาปานนี้

เท้าเหยียบภูเขาโลหิต สรรพวิญญาณสวามิภักดิ์!

นัยน์ตาสีทองอ่อนของชายชราไหวระริก ราบกับตื่นตกใจเหมือนกัน “ทูตรับใช้กาฬราตรี!? วิญญาณชั่วร้ายน่ากลัวปานนี้ สูญสิ้นไปตั้งแต่อดีตกาลแล้วไม่ใช่หรือ”

ทูตรับใช้กาฬราตรี!

หัวใจของผู้นำตระกูลชุยกระตุกวูบอย่างแรง ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้

ตามข่าวลือที่มีมาแต่โบราณ ทูตรับใช้กาฬราตรีเป็นองครักษ์ของ ‘ยมบาล’ ทุกตนล้วนเป็นร่างแปลงจากวิญญาณของคนที่ตายไป ควบคุมภัยพิบัติ บาปกรรม ความโกลาหล และพลังพิศวงอื่น ๆ แข็งแกร่งไร้เทียมทาน

เพียงแต่ เรื่องนี้เป็นข่าวลือตั้งแต่โบราณกาล ต่อให้เลื่องลือกันมาถึงบัดนี้ ก็แทบไม่ค่อยได้ยินว่ามีผู้ใดเคยพานพบทูตรับใช้กาฬราตรี

ทว่าคืนนี้ กลับมีวิญญาณสยดสยองเช่นนี้ปรากฏตัว!

“อีกาน้อยตัวนี้ถึงกับพาตัวทูตรับใช้กาฬราตรีมาจากเทือกเขาสวรรค์พิบัติร้าย? มันบุกตีเมืองตาข่ายม่วงในคืนนี้เพื่อการใดกันแน่”

บนเก้าอี้หวาย ซูอี้ลูบคาง ในที่สุดก็เกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ชาติก่อนเขาเคยบุกเข้าไปในเมืองมรณะ และเคยเข้าไปในเทือกเขาสวรรค์พิบัติร้ายที่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามซึ่งอันตรายที่สุดในเมืองมรณะ จึงรู้ดีกว่าในนั้นมี ‘ทูตรับใช้กาฬราตรี’ จำนวนมากที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคโบราณ

ครานั้น เขาเองก็มีความคิดอยากจับมาสักตัว แล้วศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วน

น่าเสียดาย ทูตรับใช้กาฬราตรีจำศีลอยู่ตลอด ซ้ำเทือกเขาสวรรค์พิบัติยังใหญ่โตเกินไป สุดท้ายซูอี้ก็ไม่สมปรารถนา

แต่บัดนี้ อีกาเก้ามืดมิดพาตัวทูตรับใช้กาฬราตรีมาด้วย!

“เจ้ามังกรเฒ่าชั่วร้าย ข้าให้โอกาสเจ้าสักครา หลีกไปเสียเดี๋ยวนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่ฉะนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ท่ามกลางความมืดมิดที่ห่างออกไปไกลโพ้น เสียงเย็นเยียบมุ่งร้ายนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

มังกรเฒ่ามีสีหน้าเย็นชา “อีกาเก้ามืดมิด ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี รีบพาตัวพวกวิญญาณร้ายเหล่านี้จากไปเสีย บางทีอาจยังเหลือชีวิตรอด มิฉะนั้น ต่อให้เจ้าเก่งกาจสะท้านพิภพ น่ากลัวว่าต้องลงเอ่ยด้วยความตายอยู่ดี”

เขายำเกรงในตัวอีกาเก้ามืดมิดมากจริง ๆ

ทว่าเขารู้ดีว่า ชายหนุ่มผู้นอนเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายคนนี้น่ากลัวปานใด!!

ต่อให้ไม่ต้องคิด เขาก็รู้ว่าขืนตัวเองมีใจเป็นอื่น การดำรงอยู่ที่เคยเป็นใหญ่ในใต้หล้าข้างกายผู้นี้ สามารถปลิดชีพตัวเองได้ทุกลมหายใจ!

“ตายรึ? ฮ่า ๆๆ เจ้ามังกรเฒ่าชั่วร้ายเอ๋ย เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากจริง ๆ!”

ท่ามกลางความมืดมิดไกล ๆ เสียงหัวเราะร่วนของอีกาเก้ามืดมิดดังขึ้น

จากนั้น…

ตู้ม!

ขุนเขาสีเลือดเคลื่อนย้าย โดยมีร่างทมิฬผู้ถูกเรียกว่าทูตรับใช้กาฬราตรียืนตระหง่านอยู่ด้านบน ประชิดเข้ามาทางประตูเมือง

สุญญะถล่มทลาย ส่งเสียงกู่ร้อง ฟ้าดินสะเทือน

ลำพังรัศมีระดับนั้น ก็เพียงพอให้พวกจักรพรรดิปีศาจเทียนจีรู้สึกอึดอัด

“พวกเจ้ากลับมาเถิด”

เสียงราบเรียบของซูอี้ดังขึ้น

พวกจักรพรรดิปีศาจเทียนจีโล่งอก และล่าถอยกลับจากนอกเมืองทันที

ต่อให้พวกเขาถูกควบคุมโดยพลังจากโคมไฟดอกบัวอาญา จึงจำต้องเชื่อฟังคำสั่งของซูอี้ กระนั้นก็ไม่ต้องการเอาชีวิตเข้าสู้กับผู้ดุร้ายจากยุคโบราณอย่างทูตรับใช้กาฬราตรี

และเวลานี้ ในที่สุดซูอี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย

เขามองรูปปั้นสลักหินปี้อั้นและเซี่ยจื้อที่ขนาบอยู่สองข้างทาง แล้วหันไปมองทูตรับใช้กาฬราตรีที่กำลังประชิดเข้ามา ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ

“ถอย”

เขาเก็บเก้าอี้หวาย และหันหลังจากไปทันที

จ้าวมังกรเฒ่าและพวกจักรพรรดิปีศาจเทียนจีชะงัก แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เคยเป็นใหญ่ในใต้หล้า เกรียงไกรไปทั่วปฐพี กลับยอมถอยโดยไม่สู้ในเวลาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?!

ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้ใดเล่าเคยได้ยินว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลัวศึกมิกล้าบุก?

ไม่มี!

ทว่าบัดนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับภัยร้ายอย่างทูตรับใช้กาฬราตรี ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินกลับถอยอย่างนั้นหรือ…

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความผิดหวังหรือความหดหู่ถาโถมเข้ามาในใจปีศาจเฒ่าตนนี้

ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เคยสยบทั้งใต้หล้า! เหตุใด… ถึงกลายเป็นเช่นนี้!?

หรือว่าเขาในตอนนี้ อ่อนแอจนพลังเหลือแค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณจริงหรือ? เขาไม่ใช่ตำนานที่เคยไร้เทียมทานอีกแล้วหรือ?

อึดใจนี้ หากไม่ใช่ว่าถูกโคมไฟดอกบัวอาญาจำกัดชีวิตไว้ น่ากลัวว่าปีศาจเฒ่าเหล่านี้คงมีใจเป็นอื่น และคงอดทดสอบความสามารถที่แท้จริงของซูอี้ไม่ได้

“ท่านลุงซู เช่นนี้เร่งรีบเกินไปหรือเปล่า?”

ชุยฉางอันก็ผงะไปเช่นกัน

เขาย่อมรู้ดีว่าซูอี้ต้องการทำสิ่งใด เพียงแต่ ไม่ลองเข้าต่อสู้ต้านทานก่อนก็ล่าถอยออกไปทันทีเช่นนี้ ดูเป็นการกระทำที่ลวกเกินไป

“จุดประสงค์ของพวกเขาคือพิชิตเมือง บัดนี้ ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสบุกเข้ามา มีหรือพวกเขาจะทนไหว”

ซูอี้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ขณะที่สนทนากันอยู่ ทั้งคู่ก็เดินออกไปไกลเรื่อย ๆ แล้ว

เหล่าปีศาจเฒ่ามองหน้ากัน และตามขึ้นไปด้วย หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างซูอี้และชุยฉางอัน พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติได้ราง ๆ

ทว่าส่วนใดกันแน่ที่ผิดปกติ กลับบอกไม่ถูก

ตู้ม!

ขุนเขาสีเลือดกระแทกประตูเมืองอย่างแรง เกิดเป็นคลื่นพลังซัดสะท้านฟ้า เมืองทั้งเมืองต้องสะเทือน

ปราศจากแรงต้านทานของพวกซูอี้ ลำพังพลังจากค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยย่อมไม่อาจหยุดยั้งการบุกของกองทัพวิญญาณร้ายได้

เพียงครู่เดียว ประตูเมืองทิศตะวันออกก็ทลายลง

วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนบุกเข้ามาดั่งสายน้ำ ปกคลุมฟ้าดิน ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เมืองตาข่ายม่วงที่เสมือนเมืองร้างก็ตกอยู่ในความโกลาหลอลหม่านในบัดดล

เพียงแต่ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าก่อนประตูเมืองทลาย รูปสลักหินปี้อั้นและเซี่ยจื้อที่พิทักษ์ขนาบอยู่สองข้างประตูเมืองได้อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย!!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด