บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้
บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อกลับถึงบ้าน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็ใช้ปราณแท้ของเขาไปอย่างมหาศาล

การต่อสู้นับเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา ตั้งแต่เรียนรู้การสร้างยันต์เมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของเขาที่เห็นได้ชัดคือทักษะในการสร้างยันต์และสามารถใช้พลังของยันต์อักขระประหนึ่งเป็นแขนขาของเขา

แต่ค่อยยังชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้และไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น เหตุนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลยุทธ์ในการต่อสู้ที่แม่นยำบางครั้ง ย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างการลงมือ

ไป๋หว่านฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างกังวลว่า “เฉินซี แม้พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว แต่ถ้าพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ล่ะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้านั้นได้ไปที่จวนของท่านแม่ทัพก่อนที่จะไปช่วยท่านและเสี่ยวฮ่าวแล้ว” เฉินซีตอบกลับอย่างใจเย็น

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงหม่นหมองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “พวกมันไม่ได้กล่าวหรอกหรือว่าเมื่อพิจารณาถึงตระกูลหลี่แล้ว จวนแม่ทัพจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาง กลับตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและฝืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้าไป๋ ขณะนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หากเป็นข้าถูกทำร้ายไปก่อนหน้านี้ จวนแม่ทัพคงไม่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะต้องคำนึงถึงตระกูลหลี่ พวกเขาจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ราวกับว่าไม่เกิดเหตุอันใด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พี่ชายของข้าได้ร้องทุกข์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน จวนแม่ทัพจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกเพราะหากพวกเราตกเป็นเหยื่อขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เต็มใจที่จะเข้าข้าง แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของเหล่าปวงประชาในเมืองหมอกสน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากจะจ่ายราคาเพื่อแลกกับเราหรอก”

ไป๋หว่านฉิงตกตะลึงและในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อนางมองดูสองพี่น้องเบื้องหน้า หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ช่วงครู่ พลางคิดในใจว่า ‘พี่ชายเป็นคนใจเย็นและมักเก็บงำความสามารถเอาไว้ เขามักจะวางแผนด้วยกลยุทธ์อันโดดเด่น และคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ ส่วนน้องชายก็มีไหวพริบเฉียบแหลมและกระตือรือร้น ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันโดดเด่นนี้ หากตระกูลเฉินยังคงดำรงอยู่ สองพี่น้องคู่นี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน! แต่ช่างน่าเสียดายที่ทุกอย่างมลายสิ้นหมดแล้ว และมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากและความยากลำบากสู่เด็กอาภัพทั้งสองคนนี้…’

ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ขณะที่นางตระหนักเรื่องนี้

เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

เฉินฮ่าวหัวเราะขณะที่เขาตอบ “นอนพักฟื้นสองสามวันน่าจะทุเลาดี ว่าแต่ท่านพี่ความแข็งแกร่งของเจ้าสุนัขแก่อู๋ควรจะอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ท่านใช้วิธีใดถึงสามารถยับยั้งมันได้?”

เฉินซีตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาโอกาศและทำให้มันไขว้เขว แต่ถ้าต้องประมือกับมันตรง ๆ ต่อให้เจ้าและข้ารวมกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

เฉินฮ่าวซักถามต่อ “ทำให้มันไขว้เขว? ว่าแต่ก่อนหน้าข้ายังไม่เห็นตัวท่านแต่ทันใดนั้นท่านก็โผล่มา ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดวิชาที่ท่านใช้มันเรียกว่าอะไรหรือ?”

ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋หว่านฉิงก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เห็นเฉินซีในทำนองเดียวกัน และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของนางถูกอุ้มไปบนหลังของชายหนุ่มแล้ว

เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มันง่ายมาก ตอนที่พวกเจ้าสองคนกำลังต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ใช้ยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอาย ส่วนการลอบโจมตีผู้ดูแลอู๋ ข้าก็ได้ใช้ยันต์ลิ่มน้ำแข็ง”

เฉินฮ่าวอุทานด้วยความแปลกใจ “ทั้งหมดนี้เป็นยันต์พื้นฐานขั้นระดับหนึ่งเองไม่ใช่หรือ”

เฉินซีพยักหน้า และกล่าวว่า “ประเด็นไม่ใช่มองเพียงระดับของยันต์อักขระที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ยามต่อสู้”

ไป๋หว่านฉิงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินฮ่าวกลับเข้าใจดี ทันใดนั้นเขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะว่า “ใช่แล้ว ความผิดพลาดประการแรกของเจ้าสุนัขแก่อู๋คือการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความผิดพลาดประการที่สองของมันคือการละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความผิดพลาดประการที่สามคือการสูญเสียการควบคุมสภาพจิตใจตัวเอง ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท่านใช้กลยุทธ์ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเบื้องต้นคือท่านพี่ต้องคำนวณการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาดเหล่านี้เสียก่อนที่จะลงมือ ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้”

เมื่อเขาพูดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของท่านทั้งหมดเลยสินะ?”

เฉินซีเลี่ยงที่จะตอบคำถามและกล่าวว่า “กลยุทธ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง และหากผู้ดูแลอู๋เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนการใด ๆ ก็ย่อมไร้ผล”

เฉินฮ่าวกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าแผนการและกลอุบายทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายนั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์ทันใดเมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล”

หลังจากก้าวเข้าขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ญาณจิตวิญญาณนั้นจะสามารถออกจากห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกและทำให้ตัวผู้บ่มเพาะบรรลุถึงพลังแห่งการรับรู้ ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผันผวนของกระแสลมโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพลังแห่งการรับรู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้

เฉินซีเอ่ยถาม “ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่อสู้กับสมาชิกของตระกูลหลี่เล่า?” เนื่องจากตัวเขายังไม่อาจหาเบาะแสได้อย่างโดยละเอียด แต่เหตุที่เกิดนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มันจึงทำให้เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในบรรดาศัตรูที่ฆ่าปู่ของเขา ตระกูลหลี่ถือว่าน่าสงสัยมากที่สุด

เฉินฮ่าวได้แต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ

ไป๋หว่านฉิงพลันรีบอธิบาย จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

ปรากฏว่าเฉินฮ่าววางแผนที่จะกลับไปที่สำนักกระบี่ดารานภา เพื่อฝึกวิชากระบี่ในเช้าวันนี้ แต่เมื่อเขาผ่านประตูเข้าไปในสำนักกลับถูกหลี่หมิงเยาะเย้ยถากถางว่าเฉินซีได้ทำให้ปู่ของเขาตายไปแล้ว และคนที่จะต้องตายเป็นรายต่อไปก็คือเขา คำพูดที่หลี่หมิงพูดนั้นร้ายแรงและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำให้เฉินฮ่าวโกรธเคืองสุดขีด ถึงขนาดที่เต็มใจจะฝ่าฝืนกฎของสำนักและพุ่งเข้าทุบทำร้ายหลี่หมิงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคน

ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อโกรธมากและสั่งลงโทษเฉินฮ่าวด้วยการขับไล่ออกจากสำนัก อย่างไรก็ตามท่านยังระบุด้วยว่าตราบใดที่หลี่หมิงให้อภัยความผิดที่เด็กหนุ่มได้ก่อไว้ เฉินฮ่าวก็จะยังคงสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ แต่แน่นอนว่ามีหรือหลี่หมิงจะยอมอ่อนข้อให้? ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ดูแลอู๋มาและเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้วหรือ?”

เฉินฮ่าวเชิดหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเขาขึ้น และมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแฝงไปด้วยความดื้อรั้นว่า “ท่านพี่ ตัวข้านั้นหาเสียใจไม่!”

เฉินซีรู้สึกโกรธแค้นจนมิอาจอดกลั้นไว้ภายในใจ เขารู้ว่าทุกครั้งที่น้องชายของเขาต่อสู้ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเสมอ เพราะเสี่ยวฮ่าวไม่อาจทนใครก็ตามที่คอยดูแคลนเหยียดหยามตัวเขา ชายหนุ่มจึงมิอาจอดกลั้นต่อการที่น้องชายถูกผู้คนรังแกได้อีกต่อไป

“เสี่ยวฮ่าวอายุเพียงแค่สิบสองปีก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อกำเนิดแล้ว ข้าคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักหมอกสนนะ” ไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวแนะนำ

เฉินซีได้แต่ส่ายหัว “เงื่อนไขการรับสมัครของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดนัก และด้วยมือขวาที่พิการของเสี่ยวฮ่าว… ตัวข้าเกรงว่า…”

ไป๋หว่านฉิงพลันขัดจังหวะและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินผลลัพธ์ได้อย่างไรหากยังไม่ทันได้ลอง? ถ้าเสี่ยวฮ่าวเต็มใจ ข้าพอที่จะช่วยแนะนำเขาให้กับเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนได้”

เฉินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความลังเลว่า “แน่นอน ข้าเต็มใจ ท่านน้าไป๋ท่านพอจะช่วยข้าได้จริง ๆ หรือขอรับ?”

ไป๋หว่านฉิงหัวเราะออกมา “ข้าทำได้เพียงแค่แนะนำเจ้า จากนั้นเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไปหลังจากนี้”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประเมินไป๋หว่านฉิงเสียใหม่ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว เท่าที่ทราบมาไป๋หว่านฉิงเป็นเพียงผู้ช่วยในครัวของร้านอาหารในเมือง และด้วยงานนี้ก็แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและซีซีได้ สภาพความเป็นอยู่ของนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าใดนัก เหตุใดนางถึงได้รู้จักเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนเล่า? ดูเหมือนว่าพื้นเพของน้าไป๋ย่อมไม่ธรรมดา เมื่อเฉินซีตัดสินใจได้จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”

อิทธิพลของสำนักหมอกสนนั้นมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะเทียบเคียงจวนแม่ทัพและตระกูลหลี่อย่างเห็นได้ชัด หากน้องชายของเขาเป็นศิษย์ของสำนักหมอกสน เด็กหนุ่มก็ไม่ต้องกังวลกับการถูกตระกูลหลี่แก้แค้นอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงน่าลองเสี่ยง

ณ สำนักหมอกสน หอขัดเกลากระบี่

เหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าแต่ละคนมีท่าทางที่มั่นคงและมีจิตวิญญาณอันกระจ่างใส การแสดงออกของพวกเขาดูจริงจัง เมื่อจ้องมองไปที่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงเคารพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คนผู้นี้สูงและผอมแห้ง ด้วยคิ้วที่อยู่ห่างจากกันและรูปร่างอันแข็งแกร่ง เขาจึงดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่มิอาจสั่นคลอนได้ ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็ส่งกลิ่นอายอันสง่างามและเข้มข้นออกมา

เขาผู้นี้คือเมิ่งคง ปรมาจารย์แห่งหอขัดเกลากระบี่ ผู้ที่ฝึกฝนกระบี่ถึงขอบเขตของตำหนักอินทนิลขั้นที่ 6!

“ไม่ว่าวิชาฝ่ามือ วิชาหมัด เพลงเตะ วิชาดาบ วิชากระบี่ วิชาหอก ล้วนถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง และขั้นเอกภาพ

“เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่สำเร็จจะถือว่าอยู่ในขั้นพื้นฐาน หลังจากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะถือว่าอยู่ในขั้นสูง และเมื่อเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่จนถ่องแท้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นเอกภาพ เมื่อมาถึงขั้นนี้ ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกจะถูกดึงมาใช้เมื่อเจ้าใช้วิชากระบี่ พลังอานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีเต๋าของกระบี่!”

“ดังนั้น เมื่อยังไม่บรรลุถึงขั้นเอกภาพ พวกเจ้าทุกคนล้วนถือว่าไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง และไม่ควรคู่แก่การหยิ่งทะนง! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!”

น้ำเสียงของเมิ่งคงเย็นชาและรุนแรงราวกับน้ำแข็ง สั่นสะเทือนก้องทั่วบริเวณหอขัดเกลากระบี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเนิ่นนาน

หัวใจของเหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าต่างสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว จากนั้นพวกเขาก็เชิดหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่และกล่าวพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ!”

เมิ่งคงเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก

“ท่านอาจารย์เมิ่ง มีผู้มารอพบท่านอยู่ข้างนอก” ผู้คุ้มกันของสำนักวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เมิ่งคงขมวดคิ้วพลันกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสอนสั่งเหล่าศิษย์อยู่?”

หัวใจของผู้คุ้มกันสำนักกลับสั่นสะท้านและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในขณะที่เขากัดฟันและกล่าวต่อว่า “หญิงสาวนางนั้นบอกว่าท่านรู้จักนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่ว่าง ข้าจะไปปฏิเสธคำขอของนางทันที”

หญิงสาวอันใดกัน?

ทันใดนั้น ภาพของสตรีที่มีบุคลิกสง่างามและดูภูมิฐานก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ร่องรอยของความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ช้าก่อน นางมีนามว่ากระไร?”

ผู้คุ้มกันสำนักพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะสังเกตเห็นและอุทานว่า “เอ๊ะ! ท่านอาจารย์เมิ่งหายลับไปตอนไหนกัน!?” เขาไม่ทราบเลยว่าเมิ่งคงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาของเมิ่งคงเบิกกว้าง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้ที่คุ้นเคยเบื้องหน้าเขาด้วยความมิอาจเชื่อ ใบหน้าที่แข็งและเย็นชาของเขายามนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“หว่านฉิงในที่สุดเจ้าก็ยินดีมาพบข้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบแห้ง

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเมื่อนางเห็นเมิ่งคง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึกจนนางรู้สึกมั่นคงแล้ว จึงหันไปพูดกับเฉินซีที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า “เจ้ากับเสี่ยวฮ่าวรออยู่ข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเมิ่ง……ท่านอาจารย์เมิ่งเป็นการส่วนตัว”

เฉินซีพยักหน้ารับแล้วดึงตัวเฉินฮ่าวหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป

เขานั้นรับรู้แล้วว่าไป๋หว่านฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายที่ชื่อเมิ่งคงผู้นี้ พวกเขาน่าจะไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นฉากเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้น ‘ความสัมพันธ์ระหว่างน้าไป๋กับชายผู้มีนามว่าเมิ่งคงนั้นเป็นเยี่ยงไรกันหนอ?’ เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่ภายในใจ

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าจะทำสำเร็จไหม?” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถาม ตัวเขานั้นยังเด็กและไม่สามารถแยกแยะถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงได้

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” จากเท่าที่เห็นเฉินซีสามารถแน่ใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน้องชายของเขาอาจจะสามารถเข้าร่ำเรียนในสำนักหมอกสนได้จริง ๆ โดยมีน้าไป๋เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญที่สุด

ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง

ดวงตาของไป๋หว่านฉิงบวมแดง แต่เป็นการยากที่จะปกปิดความโล่งใจของนาง ดูเหมือนว่านางจะคลายกุญแจที่ก้นบึ้งของหัวใจและร้องออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถิด ท่านอาจารย์เมิ่งต้องการทดสอบฝีมือกระบี่ของเสี่ยวฮ่าวน่ะ”

จิตอันมุ่งมั่นของเฉินฮ่าวก็เพิ่มทวีขึ้น และเขาก็ถูมือเข้าหากัน “ข้าพร้อมแล้ว!”

ร่องรอยของรอยยิ้มอันบางเบาซึ่งยากที่จะสังเกตเห็นได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ ‘ในที่สุดก็ยอมให้ทดสอบ?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้
บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อกลับถึงบ้าน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็ใช้ปราณแท้ของเขาไปอย่างมหาศาล

การต่อสู้นับเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา ตั้งแต่เรียนรู้การสร้างยันต์เมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของเขาที่เห็นได้ชัดคือทักษะในการสร้างยันต์และสามารถใช้พลังของยันต์อักขระประหนึ่งเป็นแขนขาของเขา

แต่ค่อยยังชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้และไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น เหตุนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลยุทธ์ในการต่อสู้ที่แม่นยำบางครั้ง ย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างการลงมือ

ไป๋หว่านฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างกังวลว่า “เฉินซี แม้พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว แต่ถ้าพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ล่ะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้านั้นได้ไปที่จวนของท่านแม่ทัพก่อนที่จะไปช่วยท่านและเสี่ยวฮ่าวแล้ว” เฉินซีตอบกลับอย่างใจเย็น

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงหม่นหมองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “พวกมันไม่ได้กล่าวหรอกหรือว่าเมื่อพิจารณาถึงตระกูลหลี่แล้ว จวนแม่ทัพจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาง กลับตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและฝืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้าไป๋ ขณะนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หากเป็นข้าถูกทำร้ายไปก่อนหน้านี้ จวนแม่ทัพคงไม่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะต้องคำนึงถึงตระกูลหลี่ พวกเขาจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ราวกับว่าไม่เกิดเหตุอันใด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พี่ชายของข้าได้ร้องทุกข์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน จวนแม่ทัพจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกเพราะหากพวกเราตกเป็นเหยื่อขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เต็มใจที่จะเข้าข้าง แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของเหล่าปวงประชาในเมืองหมอกสน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากจะจ่ายราคาเพื่อแลกกับเราหรอก”

ไป๋หว่านฉิงตกตะลึงและในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อนางมองดูสองพี่น้องเบื้องหน้า หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ช่วงครู่ พลางคิดในใจว่า ‘พี่ชายเป็นคนใจเย็นและมักเก็บงำความสามารถเอาไว้ เขามักจะวางแผนด้วยกลยุทธ์อันโดดเด่น และคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ ส่วนน้องชายก็มีไหวพริบเฉียบแหลมและกระตือรือร้น ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันโดดเด่นนี้ หากตระกูลเฉินยังคงดำรงอยู่ สองพี่น้องคู่นี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน! แต่ช่างน่าเสียดายที่ทุกอย่างมลายสิ้นหมดแล้ว และมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากและความยากลำบากสู่เด็กอาภัพทั้งสองคนนี้…’

ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ขณะที่นางตระหนักเรื่องนี้

เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

เฉินฮ่าวหัวเราะขณะที่เขาตอบ “นอนพักฟื้นสองสามวันน่าจะทุเลาดี ว่าแต่ท่านพี่ความแข็งแกร่งของเจ้าสุนัขแก่อู๋ควรจะอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ท่านใช้วิธีใดถึงสามารถยับยั้งมันได้?”

เฉินซีตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาโอกาศและทำให้มันไขว้เขว แต่ถ้าต้องประมือกับมันตรง ๆ ต่อให้เจ้าและข้ารวมกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

เฉินฮ่าวซักถามต่อ “ทำให้มันไขว้เขว? ว่าแต่ก่อนหน้าข้ายังไม่เห็นตัวท่านแต่ทันใดนั้นท่านก็โผล่มา ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดวิชาที่ท่านใช้มันเรียกว่าอะไรหรือ?”

ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋หว่านฉิงก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เห็นเฉินซีในทำนองเดียวกัน และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของนางถูกอุ้มไปบนหลังของชายหนุ่มแล้ว

เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มันง่ายมาก ตอนที่พวกเจ้าสองคนกำลังต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ใช้ยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอาย ส่วนการลอบโจมตีผู้ดูแลอู๋ ข้าก็ได้ใช้ยันต์ลิ่มน้ำแข็ง”

เฉินฮ่าวอุทานด้วยความแปลกใจ “ทั้งหมดนี้เป็นยันต์พื้นฐานขั้นระดับหนึ่งเองไม่ใช่หรือ”

เฉินซีพยักหน้า และกล่าวว่า “ประเด็นไม่ใช่มองเพียงระดับของยันต์อักขระที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ยามต่อสู้”

ไป๋หว่านฉิงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินฮ่าวกลับเข้าใจดี ทันใดนั้นเขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะว่า “ใช่แล้ว ความผิดพลาดประการแรกของเจ้าสุนัขแก่อู๋คือการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความผิดพลาดประการที่สองของมันคือการละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความผิดพลาดประการที่สามคือการสูญเสียการควบคุมสภาพจิตใจตัวเอง ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท่านใช้กลยุทธ์ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเบื้องต้นคือท่านพี่ต้องคำนวณการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาดเหล่านี้เสียก่อนที่จะลงมือ ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้”

เมื่อเขาพูดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของท่านทั้งหมดเลยสินะ?”

เฉินซีเลี่ยงที่จะตอบคำถามและกล่าวว่า “กลยุทธ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง และหากผู้ดูแลอู๋เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนการใด ๆ ก็ย่อมไร้ผล”

เฉินฮ่าวกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าแผนการและกลอุบายทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายนั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์ทันใดเมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล”

หลังจากก้าวเข้าขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ญาณจิตวิญญาณนั้นจะสามารถออกจากห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกและทำให้ตัวผู้บ่มเพาะบรรลุถึงพลังแห่งการรับรู้ ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผันผวนของกระแสลมโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพลังแห่งการรับรู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้

เฉินซีเอ่ยถาม “ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่อสู้กับสมาชิกของตระกูลหลี่เล่า?” เนื่องจากตัวเขายังไม่อาจหาเบาะแสได้อย่างโดยละเอียด แต่เหตุที่เกิดนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มันจึงทำให้เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในบรรดาศัตรูที่ฆ่าปู่ของเขา ตระกูลหลี่ถือว่าน่าสงสัยมากที่สุด

เฉินฮ่าวได้แต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ

ไป๋หว่านฉิงพลันรีบอธิบาย จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

ปรากฏว่าเฉินฮ่าววางแผนที่จะกลับไปที่สำนักกระบี่ดารานภา เพื่อฝึกวิชากระบี่ในเช้าวันนี้ แต่เมื่อเขาผ่านประตูเข้าไปในสำนักกลับถูกหลี่หมิงเยาะเย้ยถากถางว่าเฉินซีได้ทำให้ปู่ของเขาตายไปแล้ว และคนที่จะต้องตายเป็นรายต่อไปก็คือเขา คำพูดที่หลี่หมิงพูดนั้นร้ายแรงและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำให้เฉินฮ่าวโกรธเคืองสุดขีด ถึงขนาดที่เต็มใจจะฝ่าฝืนกฎของสำนักและพุ่งเข้าทุบทำร้ายหลี่หมิงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคน

ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อโกรธมากและสั่งลงโทษเฉินฮ่าวด้วยการขับไล่ออกจากสำนัก อย่างไรก็ตามท่านยังระบุด้วยว่าตราบใดที่หลี่หมิงให้อภัยความผิดที่เด็กหนุ่มได้ก่อไว้ เฉินฮ่าวก็จะยังคงสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ แต่แน่นอนว่ามีหรือหลี่หมิงจะยอมอ่อนข้อให้? ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ดูแลอู๋มาและเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้วหรือ?”

เฉินฮ่าวเชิดหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเขาขึ้น และมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแฝงไปด้วยความดื้อรั้นว่า “ท่านพี่ ตัวข้านั้นหาเสียใจไม่!”

เฉินซีรู้สึกโกรธแค้นจนมิอาจอดกลั้นไว้ภายในใจ เขารู้ว่าทุกครั้งที่น้องชายของเขาต่อสู้ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเสมอ เพราะเสี่ยวฮ่าวไม่อาจทนใครก็ตามที่คอยดูแคลนเหยียดหยามตัวเขา ชายหนุ่มจึงมิอาจอดกลั้นต่อการที่น้องชายถูกผู้คนรังแกได้อีกต่อไป

“เสี่ยวฮ่าวอายุเพียงแค่สิบสองปีก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อกำเนิดแล้ว ข้าคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักหมอกสนนะ” ไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวแนะนำ

เฉินซีได้แต่ส่ายหัว “เงื่อนไขการรับสมัครของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดนัก และด้วยมือขวาที่พิการของเสี่ยวฮ่าว… ตัวข้าเกรงว่า…”

ไป๋หว่านฉิงพลันขัดจังหวะและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินผลลัพธ์ได้อย่างไรหากยังไม่ทันได้ลอง? ถ้าเสี่ยวฮ่าวเต็มใจ ข้าพอที่จะช่วยแนะนำเขาให้กับเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนได้”

เฉินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความลังเลว่า “แน่นอน ข้าเต็มใจ ท่านน้าไป๋ท่านพอจะช่วยข้าได้จริง ๆ หรือขอรับ?”

ไป๋หว่านฉิงหัวเราะออกมา “ข้าทำได้เพียงแค่แนะนำเจ้า จากนั้นเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไปหลังจากนี้”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประเมินไป๋หว่านฉิงเสียใหม่ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว เท่าที่ทราบมาไป๋หว่านฉิงเป็นเพียงผู้ช่วยในครัวของร้านอาหารในเมือง และด้วยงานนี้ก็แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและซีซีได้ สภาพความเป็นอยู่ของนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าใดนัก เหตุใดนางถึงได้รู้จักเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนเล่า? ดูเหมือนว่าพื้นเพของน้าไป๋ย่อมไม่ธรรมดา เมื่อเฉินซีตัดสินใจได้จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”

อิทธิพลของสำนักหมอกสนนั้นมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะเทียบเคียงจวนแม่ทัพและตระกูลหลี่อย่างเห็นได้ชัด หากน้องชายของเขาเป็นศิษย์ของสำนักหมอกสน เด็กหนุ่มก็ไม่ต้องกังวลกับการถูกตระกูลหลี่แก้แค้นอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงน่าลองเสี่ยง

ณ สำนักหมอกสน หอขัดเกลากระบี่

เหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าแต่ละคนมีท่าทางที่มั่นคงและมีจิตวิญญาณอันกระจ่างใส การแสดงออกของพวกเขาดูจริงจัง เมื่อจ้องมองไปที่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงเคารพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คนผู้นี้สูงและผอมแห้ง ด้วยคิ้วที่อยู่ห่างจากกันและรูปร่างอันแข็งแกร่ง เขาจึงดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่มิอาจสั่นคลอนได้ ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็ส่งกลิ่นอายอันสง่างามและเข้มข้นออกมา

เขาผู้นี้คือเมิ่งคง ปรมาจารย์แห่งหอขัดเกลากระบี่ ผู้ที่ฝึกฝนกระบี่ถึงขอบเขตของตำหนักอินทนิลขั้นที่ 6!

“ไม่ว่าวิชาฝ่ามือ วิชาหมัด เพลงเตะ วิชาดาบ วิชากระบี่ วิชาหอก ล้วนถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง และขั้นเอกภาพ

“เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่สำเร็จจะถือว่าอยู่ในขั้นพื้นฐาน หลังจากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะถือว่าอยู่ในขั้นสูง และเมื่อเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่จนถ่องแท้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นเอกภาพ เมื่อมาถึงขั้นนี้ ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกจะถูกดึงมาใช้เมื่อเจ้าใช้วิชากระบี่ พลังอานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีเต๋าของกระบี่!”

“ดังนั้น เมื่อยังไม่บรรลุถึงขั้นเอกภาพ พวกเจ้าทุกคนล้วนถือว่าไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง และไม่ควรคู่แก่การหยิ่งทะนง! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!”

น้ำเสียงของเมิ่งคงเย็นชาและรุนแรงราวกับน้ำแข็ง สั่นสะเทือนก้องทั่วบริเวณหอขัดเกลากระบี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเนิ่นนาน

หัวใจของเหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าต่างสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว จากนั้นพวกเขาก็เชิดหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่และกล่าวพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ!”

เมิ่งคงเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก

“ท่านอาจารย์เมิ่ง มีผู้มารอพบท่านอยู่ข้างนอก” ผู้คุ้มกันของสำนักวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เมิ่งคงขมวดคิ้วพลันกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสอนสั่งเหล่าศิษย์อยู่?”

หัวใจของผู้คุ้มกันสำนักกลับสั่นสะท้านและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในขณะที่เขากัดฟันและกล่าวต่อว่า “หญิงสาวนางนั้นบอกว่าท่านรู้จักนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่ว่าง ข้าจะไปปฏิเสธคำขอของนางทันที”

หญิงสาวอันใดกัน?

ทันใดนั้น ภาพของสตรีที่มีบุคลิกสง่างามและดูภูมิฐานก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ร่องรอยของความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ช้าก่อน นางมีนามว่ากระไร?”

ผู้คุ้มกันสำนักพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะสังเกตเห็นและอุทานว่า “เอ๊ะ! ท่านอาจารย์เมิ่งหายลับไปตอนไหนกัน!?” เขาไม่ทราบเลยว่าเมิ่งคงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาของเมิ่งคงเบิกกว้าง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้ที่คุ้นเคยเบื้องหน้าเขาด้วยความมิอาจเชื่อ ใบหน้าที่แข็งและเย็นชาของเขายามนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“หว่านฉิงในที่สุดเจ้าก็ยินดีมาพบข้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบแห้ง

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเมื่อนางเห็นเมิ่งคง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึกจนนางรู้สึกมั่นคงแล้ว จึงหันไปพูดกับเฉินซีที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า “เจ้ากับเสี่ยวฮ่าวรออยู่ข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเมิ่ง……ท่านอาจารย์เมิ่งเป็นการส่วนตัว”

เฉินซีพยักหน้ารับแล้วดึงตัวเฉินฮ่าวหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป

เขานั้นรับรู้แล้วว่าไป๋หว่านฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายที่ชื่อเมิ่งคงผู้นี้ พวกเขาน่าจะไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นฉากเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้น ‘ความสัมพันธ์ระหว่างน้าไป๋กับชายผู้มีนามว่าเมิ่งคงนั้นเป็นเยี่ยงไรกันหนอ?’ เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่ภายในใจ

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าจะทำสำเร็จไหม?” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถาม ตัวเขานั้นยังเด็กและไม่สามารถแยกแยะถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงได้

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” จากเท่าที่เห็นเฉินซีสามารถแน่ใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน้องชายของเขาอาจจะสามารถเข้าร่ำเรียนในสำนักหมอกสนได้จริง ๆ โดยมีน้าไป๋เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญที่สุด

ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง

ดวงตาของไป๋หว่านฉิงบวมแดง แต่เป็นการยากที่จะปกปิดความโล่งใจของนาง ดูเหมือนว่านางจะคลายกุญแจที่ก้นบึ้งของหัวใจและร้องออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถิด ท่านอาจารย์เมิ่งต้องการทดสอบฝีมือกระบี่ของเสี่ยวฮ่าวน่ะ”

จิตอันมุ่งมั่นของเฉินฮ่าวก็เพิ่มทวีขึ้น และเขาก็ถูมือเข้าหากัน “ข้าพร้อมแล้ว!”

ร่องรอยของรอยยิ้มอันบางเบาซึ่งยากที่จะสังเกตเห็นได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ ‘ในที่สุดก็ยอมให้ทดสอบ?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้
บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อกลับถึงบ้าน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็ใช้ปราณแท้ของเขาไปอย่างมหาศาล

การต่อสู้นับเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา ตั้งแต่เรียนรู้การสร้างยันต์เมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของเขาที่เห็นได้ชัดคือทักษะในการสร้างยันต์และสามารถใช้พลังของยันต์อักขระประหนึ่งเป็นแขนขาของเขา

แต่ค่อยยังชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้และไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น เหตุนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลยุทธ์ในการต่อสู้ที่แม่นยำบางครั้ง ย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างการลงมือ

ไป๋หว่านฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างกังวลว่า “เฉินซี แม้พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว แต่ถ้าพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ล่ะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้านั้นได้ไปที่จวนของท่านแม่ทัพก่อนที่จะไปช่วยท่านและเสี่ยวฮ่าวแล้ว” เฉินซีตอบกลับอย่างใจเย็น

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงหม่นหมองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “พวกมันไม่ได้กล่าวหรอกหรือว่าเมื่อพิจารณาถึงตระกูลหลี่แล้ว จวนแม่ทัพจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาง กลับตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและฝืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้าไป๋ ขณะนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หากเป็นข้าถูกทำร้ายไปก่อนหน้านี้ จวนแม่ทัพคงไม่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะต้องคำนึงถึงตระกูลหลี่ พวกเขาจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ราวกับว่าไม่เกิดเหตุอันใด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พี่ชายของข้าได้ร้องทุกข์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน จวนแม่ทัพจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกเพราะหากพวกเราตกเป็นเหยื่อขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เต็มใจที่จะเข้าข้าง แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของเหล่าปวงประชาในเมืองหมอกสน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากจะจ่ายราคาเพื่อแลกกับเราหรอก”

ไป๋หว่านฉิงตกตะลึงและในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อนางมองดูสองพี่น้องเบื้องหน้า หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ช่วงครู่ พลางคิดในใจว่า ‘พี่ชายเป็นคนใจเย็นและมักเก็บงำความสามารถเอาไว้ เขามักจะวางแผนด้วยกลยุทธ์อันโดดเด่น และคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ ส่วนน้องชายก็มีไหวพริบเฉียบแหลมและกระตือรือร้น ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันโดดเด่นนี้ หากตระกูลเฉินยังคงดำรงอยู่ สองพี่น้องคู่นี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน! แต่ช่างน่าเสียดายที่ทุกอย่างมลายสิ้นหมดแล้ว และมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากและความยากลำบากสู่เด็กอาภัพทั้งสองคนนี้…’

ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ขณะที่นางตระหนักเรื่องนี้

เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

เฉินฮ่าวหัวเราะขณะที่เขาตอบ “นอนพักฟื้นสองสามวันน่าจะทุเลาดี ว่าแต่ท่านพี่ความแข็งแกร่งของเจ้าสุนัขแก่อู๋ควรจะอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ท่านใช้วิธีใดถึงสามารถยับยั้งมันได้?”

เฉินซีตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาโอกาศและทำให้มันไขว้เขว แต่ถ้าต้องประมือกับมันตรง ๆ ต่อให้เจ้าและข้ารวมกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

เฉินฮ่าวซักถามต่อ “ทำให้มันไขว้เขว? ว่าแต่ก่อนหน้าข้ายังไม่เห็นตัวท่านแต่ทันใดนั้นท่านก็โผล่มา ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดวิชาที่ท่านใช้มันเรียกว่าอะไรหรือ?”

ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋หว่านฉิงก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เห็นเฉินซีในทำนองเดียวกัน และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของนางถูกอุ้มไปบนหลังของชายหนุ่มแล้ว

เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มันง่ายมาก ตอนที่พวกเจ้าสองคนกำลังต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ใช้ยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอาย ส่วนการลอบโจมตีผู้ดูแลอู๋ ข้าก็ได้ใช้ยันต์ลิ่มน้ำแข็ง”

เฉินฮ่าวอุทานด้วยความแปลกใจ “ทั้งหมดนี้เป็นยันต์พื้นฐานขั้นระดับหนึ่งเองไม่ใช่หรือ”

เฉินซีพยักหน้า และกล่าวว่า “ประเด็นไม่ใช่มองเพียงระดับของยันต์อักขระที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ยามต่อสู้”

ไป๋หว่านฉิงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินฮ่าวกลับเข้าใจดี ทันใดนั้นเขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะว่า “ใช่แล้ว ความผิดพลาดประการแรกของเจ้าสุนัขแก่อู๋คือการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความผิดพลาดประการที่สองของมันคือการละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความผิดพลาดประการที่สามคือการสูญเสียการควบคุมสภาพจิตใจตัวเอง ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท่านใช้กลยุทธ์ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเบื้องต้นคือท่านพี่ต้องคำนวณการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาดเหล่านี้เสียก่อนที่จะลงมือ ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้”

เมื่อเขาพูดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของท่านทั้งหมดเลยสินะ?”

เฉินซีเลี่ยงที่จะตอบคำถามและกล่าวว่า “กลยุทธ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง และหากผู้ดูแลอู๋เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนการใด ๆ ก็ย่อมไร้ผล”

เฉินฮ่าวกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าแผนการและกลอุบายทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายนั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์ทันใดเมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล”

หลังจากก้าวเข้าขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ญาณจิตวิญญาณนั้นจะสามารถออกจากห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกและทำให้ตัวผู้บ่มเพาะบรรลุถึงพลังแห่งการรับรู้ ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผันผวนของกระแสลมโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพลังแห่งการรับรู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้

เฉินซีเอ่ยถาม “ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่อสู้กับสมาชิกของตระกูลหลี่เล่า?” เนื่องจากตัวเขายังไม่อาจหาเบาะแสได้อย่างโดยละเอียด แต่เหตุที่เกิดนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มันจึงทำให้เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในบรรดาศัตรูที่ฆ่าปู่ของเขา ตระกูลหลี่ถือว่าน่าสงสัยมากที่สุด

เฉินฮ่าวได้แต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ

ไป๋หว่านฉิงพลันรีบอธิบาย จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

ปรากฏว่าเฉินฮ่าววางแผนที่จะกลับไปที่สำนักกระบี่ดารานภา เพื่อฝึกวิชากระบี่ในเช้าวันนี้ แต่เมื่อเขาผ่านประตูเข้าไปในสำนักกลับถูกหลี่หมิงเยาะเย้ยถากถางว่าเฉินซีได้ทำให้ปู่ของเขาตายไปแล้ว และคนที่จะต้องตายเป็นรายต่อไปก็คือเขา คำพูดที่หลี่หมิงพูดนั้นร้ายแรงและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำให้เฉินฮ่าวโกรธเคืองสุดขีด ถึงขนาดที่เต็มใจจะฝ่าฝืนกฎของสำนักและพุ่งเข้าทุบทำร้ายหลี่หมิงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคน

ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อโกรธมากและสั่งลงโทษเฉินฮ่าวด้วยการขับไล่ออกจากสำนัก อย่างไรก็ตามท่านยังระบุด้วยว่าตราบใดที่หลี่หมิงให้อภัยความผิดที่เด็กหนุ่มได้ก่อไว้ เฉินฮ่าวก็จะยังคงสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ แต่แน่นอนว่ามีหรือหลี่หมิงจะยอมอ่อนข้อให้? ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ดูแลอู๋มาและเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้วหรือ?”

เฉินฮ่าวเชิดหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเขาขึ้น และมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแฝงไปด้วยความดื้อรั้นว่า “ท่านพี่ ตัวข้านั้นหาเสียใจไม่!”

เฉินซีรู้สึกโกรธแค้นจนมิอาจอดกลั้นไว้ภายในใจ เขารู้ว่าทุกครั้งที่น้องชายของเขาต่อสู้ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเสมอ เพราะเสี่ยวฮ่าวไม่อาจทนใครก็ตามที่คอยดูแคลนเหยียดหยามตัวเขา ชายหนุ่มจึงมิอาจอดกลั้นต่อการที่น้องชายถูกผู้คนรังแกได้อีกต่อไป

“เสี่ยวฮ่าวอายุเพียงแค่สิบสองปีก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อกำเนิดแล้ว ข้าคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักหมอกสนนะ” ไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวแนะนำ

เฉินซีได้แต่ส่ายหัว “เงื่อนไขการรับสมัครของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดนัก และด้วยมือขวาที่พิการของเสี่ยวฮ่าว… ตัวข้าเกรงว่า…”

ไป๋หว่านฉิงพลันขัดจังหวะและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินผลลัพธ์ได้อย่างไรหากยังไม่ทันได้ลอง? ถ้าเสี่ยวฮ่าวเต็มใจ ข้าพอที่จะช่วยแนะนำเขาให้กับเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนได้”

เฉินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความลังเลว่า “แน่นอน ข้าเต็มใจ ท่านน้าไป๋ท่านพอจะช่วยข้าได้จริง ๆ หรือขอรับ?”

ไป๋หว่านฉิงหัวเราะออกมา “ข้าทำได้เพียงแค่แนะนำเจ้า จากนั้นเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไปหลังจากนี้”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประเมินไป๋หว่านฉิงเสียใหม่ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว เท่าที่ทราบมาไป๋หว่านฉิงเป็นเพียงผู้ช่วยในครัวของร้านอาหารในเมือง และด้วยงานนี้ก็แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและซีซีได้ สภาพความเป็นอยู่ของนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าใดนัก เหตุใดนางถึงได้รู้จักเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนเล่า? ดูเหมือนว่าพื้นเพของน้าไป๋ย่อมไม่ธรรมดา เมื่อเฉินซีตัดสินใจได้จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”

อิทธิพลของสำนักหมอกสนนั้นมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะเทียบเคียงจวนแม่ทัพและตระกูลหลี่อย่างเห็นได้ชัด หากน้องชายของเขาเป็นศิษย์ของสำนักหมอกสน เด็กหนุ่มก็ไม่ต้องกังวลกับการถูกตระกูลหลี่แก้แค้นอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงน่าลองเสี่ยง

ณ สำนักหมอกสน หอขัดเกลากระบี่

เหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าแต่ละคนมีท่าทางที่มั่นคงและมีจิตวิญญาณอันกระจ่างใส การแสดงออกของพวกเขาดูจริงจัง เมื่อจ้องมองไปที่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงเคารพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คนผู้นี้สูงและผอมแห้ง ด้วยคิ้วที่อยู่ห่างจากกันและรูปร่างอันแข็งแกร่ง เขาจึงดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่มิอาจสั่นคลอนได้ ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็ส่งกลิ่นอายอันสง่างามและเข้มข้นออกมา

เขาผู้นี้คือเมิ่งคง ปรมาจารย์แห่งหอขัดเกลากระบี่ ผู้ที่ฝึกฝนกระบี่ถึงขอบเขตของตำหนักอินทนิลขั้นที่ 6!

“ไม่ว่าวิชาฝ่ามือ วิชาหมัด เพลงเตะ วิชาดาบ วิชากระบี่ วิชาหอก ล้วนถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง และขั้นเอกภาพ

“เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่สำเร็จจะถือว่าอยู่ในขั้นพื้นฐาน หลังจากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะถือว่าอยู่ในขั้นสูง และเมื่อเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่จนถ่องแท้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นเอกภาพ เมื่อมาถึงขั้นนี้ ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกจะถูกดึงมาใช้เมื่อเจ้าใช้วิชากระบี่ พลังอานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีเต๋าของกระบี่!”

“ดังนั้น เมื่อยังไม่บรรลุถึงขั้นเอกภาพ พวกเจ้าทุกคนล้วนถือว่าไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง และไม่ควรคู่แก่การหยิ่งทะนง! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!”

น้ำเสียงของเมิ่งคงเย็นชาและรุนแรงราวกับน้ำแข็ง สั่นสะเทือนก้องทั่วบริเวณหอขัดเกลากระบี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเนิ่นนาน

หัวใจของเหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าต่างสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว จากนั้นพวกเขาก็เชิดหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่และกล่าวพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ!”

เมิ่งคงเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก

“ท่านอาจารย์เมิ่ง มีผู้มารอพบท่านอยู่ข้างนอก” ผู้คุ้มกันของสำนักวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เมิ่งคงขมวดคิ้วพลันกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสอนสั่งเหล่าศิษย์อยู่?”

หัวใจของผู้คุ้มกันสำนักกลับสั่นสะท้านและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในขณะที่เขากัดฟันและกล่าวต่อว่า “หญิงสาวนางนั้นบอกว่าท่านรู้จักนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่ว่าง ข้าจะไปปฏิเสธคำขอของนางทันที”

หญิงสาวอันใดกัน?

ทันใดนั้น ภาพของสตรีที่มีบุคลิกสง่างามและดูภูมิฐานก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ร่องรอยของความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ช้าก่อน นางมีนามว่ากระไร?”

ผู้คุ้มกันสำนักพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะสังเกตเห็นและอุทานว่า “เอ๊ะ! ท่านอาจารย์เมิ่งหายลับไปตอนไหนกัน!?” เขาไม่ทราบเลยว่าเมิ่งคงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาของเมิ่งคงเบิกกว้าง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้ที่คุ้นเคยเบื้องหน้าเขาด้วยความมิอาจเชื่อ ใบหน้าที่แข็งและเย็นชาของเขายามนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“หว่านฉิงในที่สุดเจ้าก็ยินดีมาพบข้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบแห้ง

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเมื่อนางเห็นเมิ่งคง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึกจนนางรู้สึกมั่นคงแล้ว จึงหันไปพูดกับเฉินซีที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า “เจ้ากับเสี่ยวฮ่าวรออยู่ข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเมิ่ง……ท่านอาจารย์เมิ่งเป็นการส่วนตัว”

เฉินซีพยักหน้ารับแล้วดึงตัวเฉินฮ่าวหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป

เขานั้นรับรู้แล้วว่าไป๋หว่านฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายที่ชื่อเมิ่งคงผู้นี้ พวกเขาน่าจะไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นฉากเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้น ‘ความสัมพันธ์ระหว่างน้าไป๋กับชายผู้มีนามว่าเมิ่งคงนั้นเป็นเยี่ยงไรกันหนอ?’ เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่ภายในใจ

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าจะทำสำเร็จไหม?” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถาม ตัวเขานั้นยังเด็กและไม่สามารถแยกแยะถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงได้

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” จากเท่าที่เห็นเฉินซีสามารถแน่ใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน้องชายของเขาอาจจะสามารถเข้าร่ำเรียนในสำนักหมอกสนได้จริง ๆ โดยมีน้าไป๋เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญที่สุด

ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง

ดวงตาของไป๋หว่านฉิงบวมแดง แต่เป็นการยากที่จะปกปิดความโล่งใจของนาง ดูเหมือนว่านางจะคลายกุญแจที่ก้นบึ้งของหัวใจและร้องออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถิด ท่านอาจารย์เมิ่งต้องการทดสอบฝีมือกระบี่ของเสี่ยวฮ่าวน่ะ”

จิตอันมุ่งมั่นของเฉินฮ่าวก็เพิ่มทวีขึ้น และเขาก็ถูมือเข้าหากัน “ข้าพร้อมแล้ว!”

ร่องรอยของรอยยิ้มอันบางเบาซึ่งยากที่จะสังเกตเห็นได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ ‘ในที่สุดก็ยอมให้ทดสอบ?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้
บทที่ 10 การใช้กลยุทธ์ในยามต่อสู้

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อกลับถึงบ้าน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็ใช้ปราณแท้ของเขาไปอย่างมหาศาล

การต่อสู้นับเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา ตั้งแต่เรียนรู้การสร้างยันต์เมื่อห้าปีที่แล้วเขาก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของเขาที่เห็นได้ชัดคือทักษะในการสร้างยันต์และสามารถใช้พลังของยันต์อักขระประหนึ่งเป็นแขนขาของเขา

แต่ค่อยยังชั่ว ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้และไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น เหตุนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ากลยุทธ์ในการต่อสู้ที่แม่นยำบางครั้ง ย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างการลงมือ

ไป๋หว่านฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางถามอย่างกังวลว่า “เฉินซี แม้พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว แต่ถ้าพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ล่ะ?”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้านั้นได้ไปที่จวนของท่านแม่ทัพก่อนที่จะไปช่วยท่านและเสี่ยวฮ่าวแล้ว” เฉินซีตอบกลับอย่างใจเย็น

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงหม่นหมองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “พวกมันไม่ได้กล่าวหรอกหรือว่าเมื่อพิจารณาถึงตระกูลหลี่แล้ว จวนแม่ทัพจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาง กลับตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและฝืนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้าไป๋ ขณะนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หากเป็นข้าถูกทำร้ายไปก่อนหน้านี้ จวนแม่ทัพคงไม่สืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะต้องคำนึงถึงตระกูลหลี่ พวกเขาจะทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ราวกับว่าไม่เกิดเหตุอันใด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พี่ชายของข้าได้ร้องทุกข์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน จวนแม่ทัพจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกเพราะหากพวกเราตกเป็นเหยื่อขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เต็มใจที่จะเข้าข้าง แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของเหล่าปวงประชาในเมืองหมอกสน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเรื่องราวลงเอยเช่นนี้ตระกูลหลี่ย่อมไม่อยากจะจ่ายราคาเพื่อแลกกับเราหรอก”

ไป๋หว่านฉิงตกตะลึงและในที่สุดก็เข้าใจ เมื่อนางมองดูสองพี่น้องเบื้องหน้า หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ช่วงครู่ พลางคิดในใจว่า ‘พี่ชายเป็นคนใจเย็นและมักเก็บงำความสามารถเอาไว้ เขามักจะวางแผนด้วยกลยุทธ์อันโดดเด่น และคำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ ส่วนน้องชายก็มีไหวพริบเฉียบแหลมและกระตือรือร้น ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันโดดเด่นนี้ หากตระกูลเฉินยังคงดำรงอยู่ สองพี่น้องคู่นี้ย่อมเป็นคนที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน! แต่ช่างน่าเสียดายที่ทุกอย่างมลายสิ้นหมดแล้ว และมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ยากและความยากลำบากสู่เด็กอาภัพทั้งสองคนนี้…’

ไป๋หว่านฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ขณะที่นางตระหนักเรื่องนี้

เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”

เฉินฮ่าวหัวเราะขณะที่เขาตอบ “นอนพักฟื้นสองสามวันน่าจะทุเลาดี ว่าแต่ท่านพี่ความแข็งแกร่งของเจ้าสุนัขแก่อู๋ควรจะอยู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ท่านใช้วิธีใดถึงสามารถยับยั้งมันได้?”

เฉินซีตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาโอกาศและทำให้มันไขว้เขว แต่ถ้าต้องประมือกับมันตรง ๆ ต่อให้เจ้าและข้ารวมกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

เฉินฮ่าวซักถามต่อ “ทำให้มันไขว้เขว? ว่าแต่ก่อนหน้าข้ายังไม่เห็นตัวท่านแต่ทันใดนั้นท่านก็โผล่มา ท่านทำได้อย่างไร? เคล็ดวิชาที่ท่านใช้มันเรียกว่าอะไรหรือ?”

ความอยากรู้อยากเห็นของไป๋หว่านฉิงก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางก็ไม่เห็นเฉินซีในทำนองเดียวกัน และรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของนางถูกอุ้มไปบนหลังของชายหนุ่มแล้ว

เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มันง่ายมาก ตอนที่พวกเจ้าสองคนกำลังต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ใช้ยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอาย ส่วนการลอบโจมตีผู้ดูแลอู๋ ข้าก็ได้ใช้ยันต์ลิ่มน้ำแข็ง”

เฉินฮ่าวอุทานด้วยความแปลกใจ “ทั้งหมดนี้เป็นยันต์พื้นฐานขั้นระดับหนึ่งเองไม่ใช่หรือ”

เฉินซีพยักหน้า และกล่าวว่า “ประเด็นไม่ใช่มองเพียงระดับของยันต์อักขระที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ยามต่อสู้”

ไป๋หว่านฉิงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เฉินฮ่าวกลับเข้าใจดี ทันใดนั้นเขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะว่า “ใช่แล้ว ความผิดพลาดประการแรกของเจ้าสุนัขแก่อู๋คือการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ความผิดพลาดประการที่สองของมันคือการละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความผิดพลาดประการที่สามคือการสูญเสียการควบคุมสภาพจิตใจตัวเอง ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท่านใช้กลยุทธ์ได้อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเบื้องต้นคือท่านพี่ต้องคำนวณการเกิดขึ้นของข้อผิดพลาดเหล่านี้เสียก่อนที่จะลงมือ ถึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้”

เมื่อเขาพูดถึงจุดนี้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ ทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของท่านทั้งหมดเลยสินะ?”

เฉินซีเลี่ยงที่จะตอบคำถามและกล่าวว่า “กลยุทธ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สอง และหากผู้ดูแลอู๋เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล แผนการใด ๆ ก็ย่อมไร้ผล”

เฉินฮ่าวกล่าวทั้งรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าแผนการและกลอุบายทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า เช่นเดียวกับยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายนั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์ทันใดเมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล”

หลังจากก้าวเข้าขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว ญาณจิตวิญญาณนั้นจะสามารถออกจากห้วงทะเลแห่งจิตสำนึกและทำให้ตัวผู้บ่มเพาะบรรลุถึงพลังแห่งการรับรู้ ซึ่งช่วยให้มองเห็นความผันผวนของกระแสลมโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นยันต์เร้นกายาและยันต์ยับยั้งกลิ่นอายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพลังแห่งการรับรู้ของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้

เฉินซีเอ่ยถาม “ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงได้ต่อสู้กับสมาชิกของตระกูลหลี่เล่า?” เนื่องจากตัวเขายังไม่อาจหาเบาะแสได้อย่างโดยละเอียด แต่เหตุที่เกิดนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ มันจึงทำให้เขาระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในบรรดาศัตรูที่ฆ่าปู่ของเขา ตระกูลหลี่ถือว่าน่าสงสัยมากที่สุด

เฉินฮ่าวได้แต่ก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ

ไป๋หว่านฉิงพลันรีบอธิบาย จากนั้นเฉินซีจึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

ปรากฏว่าเฉินฮ่าววางแผนที่จะกลับไปที่สำนักกระบี่ดารานภา เพื่อฝึกวิชากระบี่ในเช้าวันนี้ แต่เมื่อเขาผ่านประตูเข้าไปในสำนักกลับถูกหลี่หมิงเยาะเย้ยถากถางว่าเฉินซีได้ทำให้ปู่ของเขาตายไปแล้ว และคนที่จะต้องตายเป็นรายต่อไปก็คือเขา คำพูดที่หลี่หมิงพูดนั้นร้ายแรงและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทำให้เฉินฮ่าวโกรธเคืองสุดขีด ถึงขนาดที่เต็มใจจะฝ่าฝืนกฎของสำนักและพุ่งเข้าทุบทำร้ายหลี่หมิงต่อหน้าต่อตาบรรดาศิษย์และอาจารย์ทุกคน

ผู้อาวุโสอวี๋เจ๋อโกรธมากและสั่งลงโทษเฉินฮ่าวด้วยการขับไล่ออกจากสำนัก อย่างไรก็ตามท่านยังระบุด้วยว่าตราบใดที่หลี่หมิงให้อภัยความผิดที่เด็กหนุ่มได้ก่อไว้ เฉินฮ่าวก็จะยังคงสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ แต่แน่นอนว่ามีหรือหลี่หมิงจะยอมอ่อนข้อให้? ดังนั้นเขาจึงเรียกผู้ดูแลอู๋มาและเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวถึง

เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้วหรือ?”

เฉินฮ่าวเชิดหน้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของเขาขึ้น และมุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแฝงไปด้วยความดื้อรั้นว่า “ท่านพี่ ตัวข้านั้นหาเสียใจไม่!”

เฉินซีรู้สึกโกรธแค้นจนมิอาจอดกลั้นไว้ภายในใจ เขารู้ว่าทุกครั้งที่น้องชายของเขาต่อสู้ก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเขาเสมอ เพราะเสี่ยวฮ่าวไม่อาจทนใครก็ตามที่คอยดูแคลนเหยียดหยามตัวเขา ชายหนุ่มจึงมิอาจอดกลั้นต่อการที่น้องชายถูกผู้คนรังแกได้อีกต่อไป

“เสี่ยวฮ่าวอายุเพียงแค่สิบสองปีก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อกำเนิดแล้ว ข้าคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักหมอกสนนะ” ไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวแนะนำ

เฉินซีได้แต่ส่ายหัว “เงื่อนไขการรับสมัครของสำนักหมอกสนนั้นเข้มงวดนัก และด้วยมือขวาที่พิการของเสี่ยวฮ่าว… ตัวข้าเกรงว่า…”

ไป๋หว่านฉิงพลันขัดจังหวะและกล่าวว่า “เจ้าตัดสินผลลัพธ์ได้อย่างไรหากยังไม่ทันได้ลอง? ถ้าเสี่ยวฮ่าวเต็มใจ ข้าพอที่จะช่วยแนะนำเขาให้กับเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนได้”

เฉินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความลังเลว่า “แน่นอน ข้าเต็มใจ ท่านน้าไป๋ท่านพอจะช่วยข้าได้จริง ๆ หรือขอรับ?”

ไป๋หว่านฉิงหัวเราะออกมา “ข้าทำได้เพียงแค่แนะนำเจ้า จากนั้นเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไปหลังจากนี้”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะประเมินไป๋หว่านฉิงเสียใหม่ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว เท่าที่ทราบมาไป๋หว่านฉิงเป็นเพียงผู้ช่วยในครัวของร้านอาหารในเมือง และด้วยงานนี้ก็แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและซีซีได้ สภาพความเป็นอยู่ของนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าใดนัก เหตุใดนางถึงได้รู้จักเหล่าอาจารย์จากสำนักหมอกสนเล่า? ดูเหมือนว่าพื้นเพของน้าไป๋ย่อมไม่ธรรมดา เมื่อเฉินซีตัดสินใจได้จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”

อิทธิพลของสำนักหมอกสนนั้นมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะเทียบเคียงจวนแม่ทัพและตระกูลหลี่อย่างเห็นได้ชัด หากน้องชายของเขาเป็นศิษย์ของสำนักหมอกสน เด็กหนุ่มก็ไม่ต้องกังวลกับการถูกตระกูลหลี่แก้แค้นอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงน่าลองเสี่ยง

ณ สำนักหมอกสน หอขัดเกลากระบี่

เหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าแต่ละคนมีท่าทางที่มั่นคงและมีจิตวิญญาณอันกระจ่างใส การแสดงออกของพวกเขาดูจริงจัง เมื่อจ้องมองไปที่ร่างสูงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงเคารพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

คนผู้นี้สูงและผอมแห้ง ด้วยคิ้วที่อยู่ห่างจากกันและรูปร่างอันแข็งแกร่ง เขาจึงดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่มิอาจสั่นคลอนได้ ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาก็ส่งกลิ่นอายอันสง่างามและเข้มข้นออกมา

เขาผู้นี้คือเมิ่งคง ปรมาจารย์แห่งหอขัดเกลากระบี่ ผู้ที่ฝึกฝนกระบี่ถึงขอบเขตของตำหนักอินทนิลขั้นที่ 6!

“ไม่ว่าวิชาฝ่ามือ วิชาหมัด เพลงเตะ วิชาดาบ วิชากระบี่ วิชาหอก ล้วนถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นสูง และขั้นเอกภาพ

“เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่สำเร็จจะถือว่าอยู่ในขั้นพื้นฐาน หลังจากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะถือว่าอยู่ในขั้นสูง และเมื่อเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่จนถ่องแท้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นเอกภาพ เมื่อมาถึงขั้นนี้ ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกจะถูกดึงมาใช้เมื่อเจ้าใช้วิชากระบี่ พลังอานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีเต๋าของกระบี่!”

“ดังนั้น เมื่อยังไม่บรรลุถึงขั้นเอกภาพ พวกเจ้าทุกคนล้วนถือว่าไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง และไม่ควรคู่แก่การหยิ่งทะนง! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!”

น้ำเสียงของเมิ่งคงเย็นชาและรุนแรงราวกับน้ำแข็ง สั่นสะเทือนก้องทั่วบริเวณหอขัดเกลากระบี่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเนิ่นนาน

หัวใจของเหล่าศิษย์ที่สวมชุดสีฟ้าต่างสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าว จากนั้นพวกเขาก็เชิดหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่และกล่าวพร้อมกันว่า “เข้าใจแล้วขอรับ!”

เมิ่งคงเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก

“ท่านอาจารย์เมิ่ง มีผู้มารอพบท่านอยู่ข้างนอก” ผู้คุ้มกันของสำนักวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เมิ่งคงขมวดคิ้วพลันกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสอนสั่งเหล่าศิษย์อยู่?”

หัวใจของผู้คุ้มกันสำนักกลับสั่นสะท้านและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในขณะที่เขากัดฟันและกล่าวต่อว่า “หญิงสาวนางนั้นบอกว่าท่านรู้จักนางอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่ว่าง ข้าจะไปปฏิเสธคำขอของนางทันที”

หญิงสาวอันใดกัน?

ทันใดนั้น ภาพของสตรีที่มีบุคลิกสง่างามและดูภูมิฐานก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา ร่องรอยของความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ช้าก่อน นางมีนามว่ากระไร?”

ผู้คุ้มกันสำนักพลันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะสังเกตเห็นและอุทานว่า “เอ๊ะ! ท่านอาจารย์เมิ่งหายลับไปตอนไหนกัน!?” เขาไม่ทราบเลยว่าเมิ่งคงหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาของเมิ่งคงเบิกกว้าง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้ที่คุ้นเคยเบื้องหน้าเขาด้วยความมิอาจเชื่อ ใบหน้าที่แข็งและเย็นชาของเขายามนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

“หว่านฉิงในที่สุดเจ้าก็ยินดีมาพบข้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบแห้ง

สีหน้าของไป๋หว่านฉิงเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเมื่อนางเห็นเมิ่งคง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึกจนนางรู้สึกมั่นคงแล้ว จึงหันไปพูดกับเฉินซีที่อยู่ใกล้ ๆ ว่า “เจ้ากับเสี่ยวฮ่าวรออยู่ข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเมิ่ง……ท่านอาจารย์เมิ่งเป็นการส่วนตัว”

เฉินซีพยักหน้ารับแล้วดึงตัวเฉินฮ่าวหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป

เขานั้นรับรู้แล้วว่าไป๋หว่านฉิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายที่ชื่อเมิ่งคงผู้นี้ พวกเขาน่าจะไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นฉากเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้น ‘ความสัมพันธ์ระหว่างน้าไป๋กับชายผู้มีนามว่าเมิ่งคงนั้นเป็นเยี่ยงไรกันหนอ?’ เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่ภายในใจ

“ท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าจะทำสำเร็จไหม?” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยถาม ตัวเขานั้นยังเด็กและไม่สามารถแยกแยะถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงได้

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” จากเท่าที่เห็นเฉินซีสามารถแน่ใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน้องชายของเขาอาจจะสามารถเข้าร่ำเรียนในสำนักหมอกสนได้จริง ๆ โดยมีน้าไป๋เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญที่สุด

ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง

ดวงตาของไป๋หว่านฉิงบวมแดง แต่เป็นการยากที่จะปกปิดความโล่งใจของนาง ดูเหมือนว่านางจะคลายกุญแจที่ก้นบึ้งของหัวใจและร้องออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถิด ท่านอาจารย์เมิ่งต้องการทดสอบฝีมือกระบี่ของเสี่ยวฮ่าวน่ะ”

จิตอันมุ่งมั่นของเฉินฮ่าวก็เพิ่มทวีขึ้น และเขาก็ถูมือเข้าหากัน “ข้าพร้อมแล้ว!”

ร่องรอยของรอยยิ้มอันบางเบาซึ่งยากที่จะสังเกตเห็นได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ ‘ในที่สุดก็ยอมให้ทดสอบ?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+