บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
ภายนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
บรรยากาศเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหมุดตก
เงียบราวกับป่าช้า…
มันเงียบสงัดเนื่องจากไม่มีใครพูดอะไรสักคำ และจิตใจของทุกคนก็ตกตะลึงงุนงง
นับตั้งแต่เฉินซีเริ่มการต่อสู้กับซูเจียวและศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคน สายตาของทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ได้จับจ้องไปยังสนามรบในภาพฉาย
ฝ่ายหนึ่งคือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าร้อยคนของตระกูลซู ซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของคนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซู อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาเป็นตัวแทนในอนาคตของตระกูลซู และทุกคนอาจเติบโตเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือเฉินซี เฉินฮ่าว และศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเฉินซี เนื่องจากชื่อเสียงของเขาในเมืองทะเลสาบมังกรเป็นเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยง
ส่วนเฉินฮ่าวกลับไม่เป็นที่รู้จัก แต่เนื่องจากเขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราและเชี่ยวชาญเต๋ากระบี่เที่ยงธรรม เขาจึงนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ในบรรดาศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทั้งเจ็ดนั้น เฟยเหลิ่งชุ่ยก็เป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่ทุกคนต่างก็รู้จักในเมืองทะเลสาบมังกร
มีผู้ใดบ้างที่จะไม่ให้ความสนใจกับบุคคลที่ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้?
ตามที่คาดไว้ การต่อสู้นั้นโหดร้ายและเต็มไปเหตุการณ์พลิกผันมากมาย และอาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจที่สุดตั้งแต่งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเริ่มต้นขึ้น และจะต้องถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของเมืองทะเลสาบมังกร
ในการต่อสู้ครั้งนี้ มีการปรากฏของเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่สูงส่งและทรงพลัง ดาบคู่อัสนีผสานที่ไม่มีใครเทียบได้และดุร้ายยามเมื่อใช้กระบวนท่า ‘ผนึกน้ำแข็งพันโยชน์’ อีกทั้งค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง… แต่ที่น่าตื่นตาและโดดเด่นที่สุด ย่อมเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย
ความช่ำชองในการต่อสู้ กลยุทธ์ และความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นยอดเยี่ยมและน่าเกรงขามเกินความคาดหมาย และทำให้ผู้คนต้องหยุดหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้ผู้คนจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างไม่รู้จบ
เมื่อผู้คนเห็นเฉินซีถูกล่ามด้วยโซ่นับพัน ทุกคนคิดว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาได้ทำลายการพันธนาการอย่างง่ายดาย ทำให้ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า เฉินซีปกปิดความแข็งแกร่งของเขามาตั้งแต่ต้น เหมือนหมาป่าเดียวดายที่อดกลั้นและเผยเขี้ยวเล็บออกมาในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด!
ทักษะขัดเกลากายาเทพ!
ปราณจ้าววิญญาณ!
ปราณฝ่ามือขนาดใหญ่ของพลังอิทธิฤทธ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง ร้อยยี่สิบจั้ง!
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูศิษย์ของตระกูลซูเสียชีวิตอย่างน่าอนาถภายใต้ปราณฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัว
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูการสังหารของเฉินซีในทุกทิศทางราวกับเทพมารโบราณ
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูเฉินซีพลิกสถานการณ์ที่สิ้นหวังด้วยตัวเขาเอง… ทั้งหมดนี้น่าตกตะลึงมาก ดังนั้น แม้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นก็ต้องเชื่ออย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าไม่เพียงแต่เฉินซีจะเป็นอัจฉริยะซึ่งบรรลุเต๋ารู้แจ้งแล้ว แต่เขายังฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว และยังเชี่ยวชาญพลังอิทธิฤทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อซูเจียวออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ด้วยความเคียดแค้นในใจ ในที่สุดการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลง
แต่สำหรับผู้รับชมทั้งหลาย ทุกฉากของการต่อสู้ครั้งนี้และทุกรายละเอียดเล็ก ๆ ยังคงสะท้อนอยู่ในห้วงความคิดของพวกเขา จนพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลาเนิ่นนาน
“อายุสิบเจ็ดปี บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล ทั้งในการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกายและการฝึกฝนของเขาในเต๋าแห่งการต่อสู้ก็อยู่ที่ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง… คนผู้คืออัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาด!”
“เขาวางแผนอย่างโหดเหี้ยม และกลยุทธ์ของเขาก็พิถีพิถัน จนถึงจุดที่คำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ ถ้าตัวประหลาดที่เชี่ยวชาญทั้งกลยุทธ์และการต่อสู้เติบใหญ่ขึ้นมา เขาจะทรงพลังขนาดไหนกัน?”
“ข้าสงสัยว่ามีไพ่ตายอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่ได้เปิดเผย ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ เขาย่อมไม่เปิดเผยไพ่ตายของเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฝูงชนที่เงียบงันก็ระเบิดความโกลาหลและเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ก็ดังกึกก้องออกมา หัวข้อสนทนาที่หลากหลายเกี่ยวกับเฉินซี ทำให้ฝูงชนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมและมีชีวิตชีวา
บนแท่นหยก ใบหน้าของซูเจิ่นเทียนผู้นำของตระกูลซูมืดมนลง และท่าทางของเขาก็อำมหิตเป็นอย่างยิ่งขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยเจตนาฆ่าอันเข้มข้นออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนก็สามารถตระหนักได้ว่าศิษย์ของตระกูลซูทั้ง 132 คนนั้นเป็นกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลซู การสูญเสียศิษย์ชั้นยอดถึงหนึ่งร้อยคนในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตระกูลซูเสียหายอย่างสาหัส จนถึงขนาดที่ตระกูลซูต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเพราะขาดผู้สืบทอด และถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ ตระกูลซูก็อยู่ไม่ไกลจากความเสื่อมถอยและล่มสลาย
…
‘น่าเสียดาย ที่ข้าเข่นฆ่าได้เพียง 97 คน และทำให้พวกที่เหลืออีก 35 คนหลบหนีไปได้…’ เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง สายตาของเขากวาดผ่านกองเศษเลือดเนื้อบนพื้นก่อนที่จะแกว่งแขนเสื้อเพื่อเก็บสมบัติต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน หลังจากที่นับแหวนมิติ กำไลมิติ เข็มขัดมิติ… พวกมันก็มีถึง 73 ชิ้นเลยทีเดียว!
“คนจะมั่งคั่งไม่ได้ถ้าไม่มีโชคลาภ เหมือนที่ม้าไม่อ้วนเพราะไม่กินหญ้าตลอดทั้งคืน บรรพบุรุษของเราพูดความจริงเสมอ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของตระกูลซู ความมั่งคั่งของพวกมันที่มากมายมหาศาลตอนนี้กลับให้ประโยชน์แก่ข้า” เฉินซีไม่ได้ตรวจสอบสิ่งของในคลังสมบัติมิติ แต่เลือกที่จะเก็บพวกมันไปก่อน
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลซูจะเสียชีวิตหรือหนีไป แต่การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้กลับดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนของผู้คน ด้วยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซี เขาสัมผัสได้ว่ามีผู้คนกว่าพันคนที่หลบซ่อนอยู่โดยรอบ ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะตรวจสอบสิ่งของที่ยึดมาได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย แต่ปราณแท้ของเฉินฮ่าวและเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรคนอื่น ๆ ใกล้เหือดแห้งจนหมดสิ้น ดังนั้น หากมีผู้ใดคิดฉวยโอกาสจากความอ่อนแรงของพวกเขาหลังการต่อสู้ มันคงรับมือได้ยาก
“รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ และเรือเหาะสมบัติก็ปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นเขาก็พาเฉินฮ่าวและคนอื่น ๆ พุ่งทะลุมวลเมฆและบินไปยังที่ที่ห่างไกล
เรือเหาะสมบัตินี้ได้รับมาจากราชาเต่าเฒ่า ไม่ต้องพูดถึงความเร็วของมันที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันยังสามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะใช้ในชั้นแรกของเจดีย์
“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ เขาได้ฝึกฝนทั้งในด้านการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกาย หากเผชิญหน้ากันข้าต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ แต่ข้าได้เชี่ยวชาญเจตจำนงกระบี่ไร้ลักษณ์แล้ว ดังนั้น ข้าก็ไม่กลัวเขาเช่นเดียวกัน”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง มีชายหนุ่มผู้สวมหมวกบัณฑิตปรากฏตัวขึ้น คิ้วของเขาเป็นสีดำเข้มเหมือนหมึก ดวงตาของเขาเป็นประกายเหมือนตาเหยี่ยว มีดาบสามเล่มสะพายอยู่บนหลัง และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและหยิ่งยโส ในขณะนี้ เขากำลังมองดูเรือเหาะที่หายไปในขอบฟ้าอันไกลโพ้น เขาขมวดคิ้วขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
หากมีผู้ใดอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องจำตัวตนของคนคนนี้ได้อย่างแน่นอน เขาคือผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘กระบี่ไร้ลักษณ์’ ชิวเหลิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลอัจฉริยะที่น่าตื่นตาซึ่งมาจากหนึ่งในแปดนิกายใหญ่อย่างนิกายสุริยันคราม
“ไปกันเถอะ! ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ห่างไกลจากสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ ถ้าเราโชคไม่ดีและต้องเผชิญหน้ากับเขา ก็ควรจะหลีกหนีไปเสียดีกว่า”
“โชคดีที่เรายังไม่ได้ลงมือใด ๆ มิฉะนั้น เราคงประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับศิษย์ของตระกูลซูอย่างแน่นอน”
“จงจดจำไว้ เราจะไม่เป็นศัตรูกับคนผู้นี้ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์”
ไม่ใช่แค่กระบี่ไร้ลักษณ์อย่างชิวเหลิ่ง ที่กำลังชมการต่อสู้จากบริเวณใกล้เคียง แต่ยังมีศิษย์ของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ที่เห็นเฉินซีสามารถพลิกวิกฤตด้วยตัวเอง ทำให้พายุแห่งความตกใจและความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจของตนนานแล้ว ดังนั้นจะกล้าฉวยโอกาสหลังจากที่เฉินซีเพิ่งเสร็จสิ้นจากการต่อสู้ได้อย่างไร? พวกเขาทั้งหมดจึงหันหลังกลับและจากไป อีกทั้งยังไม่กล้าไล่ตามเรือเหาะสมบัติของเฉินซีโดยสิ้นเชิง
ในหุบเขาซ่อนเร้น
เรือสมบัติร่อนลงจอดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเฉินซี เฉินฮ่าว และคนอื่น ๆ ก็เดินลงไปในรอยแยกที่ซ่อนอยู่ในหินด้านข้าง และด้านหลังรอยแยกหินนั้นกลับเป็นถ้ำตามธรรมชาติอย่างน่าประหลาดใจ
ญาณสัมผัสของเฉินซีขยายขอบเขตไปรอบ ๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าช้า ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทรงพลังมาก คงจะเป็นการยากสำหรับเขาที่จะรู้ว่ามีถ้ำซ่อนอยู่ที่นี่ และมันเหมาะมากที่จะใช้สำหรับพักฟื้นร่างกาย
“เฉินฮ่าว แม่นางเฟย และคนอื่น ๆ ควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด เราอาจถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ในเร็ว ๆ นี้” เฉินซีได้แนะนำ
“ตกลง” เฉินฮ่าวพยักหน้า เขาตระหนักได้เช่นกันว่า ผู้บ่มเพาะสองพันคนที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นสี่สัญลักษณ์ ล้วนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์การฆ่าฟันอย่างโชกโชน หากเขาต้องการที่จะเอาชนะพวกมันและเข้าสู่ชั้นที่สามซึ่งก็คือชั้นหยินหยาง ดังนั้น การฟื้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้
เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์กำลังกดดันเช่นกันและไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ชื่นชมการบ่มเพาะของเฉินซีเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจะทำตามสิ่งที่เฉินซีพูด พวกเขานั่งลงขัดสมาธิทันทีก่อนที่จะหยิบวารีวิญญาณออกมาเพื่อซึมซับ จากนั้นเริ่มหมุนเวียนเคล็ดวิชาบ่มเพาะและฟื้นฟูพละกำลัง
“เสี่ยวไป๋ คุ้มกันทางเข้าถ้ำให้ดี ข้าต้องพักฟื้นเช่นกัน” เฉินซีกล่าวผ่านกระแสปราณ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าขอรับรองว่าจะฆ่าทุกคนที่เข้ามา” หลิงไป๋รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในแหวนมิติ เขาจึงบินไปที่ทางเข้าถ้ำด้วยเจตนาฆ่าอย่างเดือดดาลเมื่อเขาได้ยินเฉินซีสั่ง และร่างเล็ก ๆ ของเขาก็ยืนตัวตรง
การบ่มเพาะของหลิงไป๋นั้นเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำและตัวเขาเองก็ได้สืบทอดเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานขั้นสูงสุดจากอาจารย์ของเขา ในเจดีย์แห่งนี้ ระดับการบ่มเพาะสูงสุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุด และเมื่อเขาเฝ้าทางเข้าถ้ำ เฉินซีจึงสามารถสบายใจได้
เฉินซีไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขาพบสถานที่สำหรับนั่งขัดสมาธิก่อนที่จะหยิบขวดบรรจุวารีวิญญาณออกมาและโคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ จากนั้นเขาก็หลับตาลงในขณะที่เขาฟื้นพละกำลัง
สองชั่วยามต่อมา
เฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นจากการพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง แววตาของพวกเขากระจ่างใส่และเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและพลังชีวิต ความแข็งแกร่งของพวกเขาฟื้นขึ้นบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่า การได้สัมผัสกับการต่อสู้อันดุเดือดที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณจากครั้งก่อน ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างมาก นี่คือเสน่ห์ของการต่อสู้จริง ที่ทำให้คนผู้นั้นได้รับการชำระล้างอย่างมากมายจากเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ มันคงเป็นเรื่องแปลก หากความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นไม่มีความก้าวหน้า
“พี่ชายของเจ้าบ่มเพาะเคล็ดวิชาอะไรหรือ? มันลึกซึ้งกว่าเคล็ดวิชาห้วงทมิฬเมฆาพเนจรที่พวกเราบ่มเพาะจริง ๆ” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปรอบๆ นางเห็นรอบกายของเฉินซีซึ่งกำลังนั่งสมาธิบนพื้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายน้ำแข็งอันลึกซึ้งเสมือนชั้นของผลึกน้ำแข็ง และทุกลมหายใจที่เขาหายใจนั้นยาว ต่อเนื่อง และมีพละกำลังเหลือเฟือ มันเหมือนกับว่าเขากำลังกลืนและคายมังกรน้ำแข็งที่กำลังแหวกว่ายและคำรามอยู่ในท้องฟ้า ไปพร้อมกับปรากฏการณ์มากมายที่หลงเหลืออยู่จากการตื่นของมัน
เฉินฮ่าวส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้ากับพี่ชายไม่ได้พบกันมานานกว่าสองปีแล้ว เขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาบ่มเพาะวิชานภาม่วงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลข้า ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะแบบใดที่เขากำลังบ่มเพาะอยู่ตอนนี้ ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินซีอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สาม เมื่อสองปีก่อนอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่แค่เฟยเหลิ่งชุ่ยเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ศิษย์อีกหกคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าพี่ชายของเจ้าจะได้พบกับโชควาสนาใหญ่ ในช่วงเวลาสองปี เขากลับบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราและบรรลุการแปรสภาพร่างกายที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลอีก พรสวรรค์เช่นนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้” เฟยเหลิ่งชุ่ยส่ายศีรษะและพูดเยาะเย้ยตนเอง
“ศิษย์พี่หญิง เมื่อตอนที่ท่านอายุสิบเจ็ดปี ก็บรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราแล้ว และในไม่ใช่ท่านก็ใกล้จะควบแน่นเขตแดนเต๋าแห่งผลึกน้ำแข็ง หากถึงตอนนั้น จะมีผู้ใดในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของพวกเราที่จะสามารถเทียบเคียงท่านได้บ้าง?” ศิษย์ที่เรียกว่าชิงหลัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมจากใจจริง
“ข้าไม่อาจเทียบกับเฉินฮ่าวแม้แต่น้อย ตัวเขาเพิ่งเข้าสู่นิกายได้เพียงสองปี แต่เขาได้บ่มเพาะจากขอบเขตก่อกำเนิดจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา และเขายังหยั่งรู้ถึงเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในเต๋ารู้แจ้งชั้นยอดในสวรรค์และโลก เฉินฮ่าวน่าจะกลายเป็นหนึ่งใน 36 ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปที่เฉินฮ่าว และยิ้มขณะที่นางกล่าว
“ใช่ พรสวรรค์ของศิษย์น้องเฉินฮ่าวนั้น สามารถกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา และมันน่าอิจฉาจริง ๆ” คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
“ไม่ธรรมดาหรือ? ตราบใดที่พวกเจ้าบ่มเพาะอย่างมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียรเพื่ออุทิศตนให้แก่เต๋า ใคร ๆ ก็สามารถบรรลุได้ การที่จะกลายเป็นอัจฉริยะ นอกจากพรสวรรค์แล้ว ต้องมีความขยันหมั่นเพียรและทุ่มเทฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” เฉินซีที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูปราณแท้ทั้งหมดของเขาแล้ว และรู้สึกว่าเขาจะบรรลุในไม่ช้า ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากดูดซับพลังจากศิลาวิญญาณดาราทั้งสองก้อนแล้ว ปราณจ้าววิญญาณภายในร่างกายของเขาก็หนาแน่นมากขึ้นและใกล้จะก้าวไปสู่ระดับต่อไป
“จากการคำนวณของข้า ตั้งแต่พวกเราเข้าสู่ชั้นแปดทิศทางเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมาย ผู้บ่มเพาะในชั้นแปดทิศทางในตอนนี้คงอยู่ไม่ไกลจากจำนวนสองพันคน ดังนั้นควรรออยู่ที่นี่ดีกว่า เพื่อฟื้นฟูและสะสมกำลังของเรา” เฉินซีกล่าวช้าๆ
โอม!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาเพิ่งกล่าวจบ กระแสวังวนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพวกเขาในทันที และแรงดูดมหาศาลก็พัดออกไป ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีและคนอื่นๆ ก็หายตัวไปทันที
ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าหมื่นคนที่เข้าสู่ชั้นแปดทิศทาง ตอนนี้กว่าแปดพันคนได้ถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้น ผู้บ่มเพาะที่เหลืออีกสองพันคนจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ ซึ่งก็คือ ชั้นสี่สัญลักษณ์!
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
ภายนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
บรรยากาศเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหมุดตก
เงียบราวกับป่าช้า…
มันเงียบสงัดเนื่องจากไม่มีใครพูดอะไรสักคำ และจิตใจของทุกคนก็ตกตะลึงงุนงง
นับตั้งแต่เฉินซีเริ่มการต่อสู้กับซูเจียวและศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคน สายตาของทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ได้จับจ้องไปยังสนามรบในภาพฉาย
ฝ่ายหนึ่งคือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าร้อยคนของตระกูลซู ซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของคนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซู อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาเป็นตัวแทนในอนาคตของตระกูลซู และทุกคนอาจเติบโตเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือเฉินซี เฉินฮ่าว และศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเฉินซี เนื่องจากชื่อเสียงของเขาในเมืองทะเลสาบมังกรเป็นเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยง
ส่วนเฉินฮ่าวกลับไม่เป็นที่รู้จัก แต่เนื่องจากเขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราและเชี่ยวชาญเต๋ากระบี่เที่ยงธรรม เขาจึงนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ในบรรดาศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทั้งเจ็ดนั้น เฟยเหลิ่งชุ่ยก็เป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่ทุกคนต่างก็รู้จักในเมืองทะเลสาบมังกร
มีผู้ใดบ้างที่จะไม่ให้ความสนใจกับบุคคลที่ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้?
ตามที่คาดไว้ การต่อสู้นั้นโหดร้ายและเต็มไปเหตุการณ์พลิกผันมากมาย และอาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจที่สุดตั้งแต่งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเริ่มต้นขึ้น และจะต้องถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของเมืองทะเลสาบมังกร
ในการต่อสู้ครั้งนี้ มีการปรากฏของเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่สูงส่งและทรงพลัง ดาบคู่อัสนีผสานที่ไม่มีใครเทียบได้และดุร้ายยามเมื่อใช้กระบวนท่า ‘ผนึกน้ำแข็งพันโยชน์’ อีกทั้งค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง… แต่ที่น่าตื่นตาและโดดเด่นที่สุด ย่อมเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย
ความช่ำชองในการต่อสู้ กลยุทธ์ และความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นยอดเยี่ยมและน่าเกรงขามเกินความคาดหมาย และทำให้ผู้คนต้องหยุดหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้ผู้คนจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างไม่รู้จบ
เมื่อผู้คนเห็นเฉินซีถูกล่ามด้วยโซ่นับพัน ทุกคนคิดว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาได้ทำลายการพันธนาการอย่างง่ายดาย ทำให้ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า เฉินซีปกปิดความแข็งแกร่งของเขามาตั้งแต่ต้น เหมือนหมาป่าเดียวดายที่อดกลั้นและเผยเขี้ยวเล็บออกมาในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด!
ทักษะขัดเกลากายาเทพ!
ปราณจ้าววิญญาณ!
ปราณฝ่ามือขนาดใหญ่ของพลังอิทธิฤทธ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง ร้อยยี่สิบจั้ง!
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูศิษย์ของตระกูลซูเสียชีวิตอย่างน่าอนาถภายใต้ปราณฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัว
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูการสังหารของเฉินซีในทุกทิศทางราวกับเทพมารโบราณ
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูเฉินซีพลิกสถานการณ์ที่สิ้นหวังด้วยตัวเขาเอง… ทั้งหมดนี้น่าตกตะลึงมาก ดังนั้น แม้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นก็ต้องเชื่ออย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าไม่เพียงแต่เฉินซีจะเป็นอัจฉริยะซึ่งบรรลุเต๋ารู้แจ้งแล้ว แต่เขายังฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว และยังเชี่ยวชาญพลังอิทธิฤทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อซูเจียวออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ด้วยความเคียดแค้นในใจ ในที่สุดการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลง
แต่สำหรับผู้รับชมทั้งหลาย ทุกฉากของการต่อสู้ครั้งนี้และทุกรายละเอียดเล็ก ๆ ยังคงสะท้อนอยู่ในห้วงความคิดของพวกเขา จนพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลาเนิ่นนาน
“อายุสิบเจ็ดปี บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล ทั้งในการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกายและการฝึกฝนของเขาในเต๋าแห่งการต่อสู้ก็อยู่ที่ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง… คนผู้คืออัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาด!”
“เขาวางแผนอย่างโหดเหี้ยม และกลยุทธ์ของเขาก็พิถีพิถัน จนถึงจุดที่คำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ ถ้าตัวประหลาดที่เชี่ยวชาญทั้งกลยุทธ์และการต่อสู้เติบใหญ่ขึ้นมา เขาจะทรงพลังขนาดไหนกัน?”
“ข้าสงสัยว่ามีไพ่ตายอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่ได้เปิดเผย ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ เขาย่อมไม่เปิดเผยไพ่ตายของเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฝูงชนที่เงียบงันก็ระเบิดความโกลาหลและเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ก็ดังกึกก้องออกมา หัวข้อสนทนาที่หลากหลายเกี่ยวกับเฉินซี ทำให้ฝูงชนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมและมีชีวิตชีวา
บนแท่นหยก ใบหน้าของซูเจิ่นเทียนผู้นำของตระกูลซูมืดมนลง และท่าทางของเขาก็อำมหิตเป็นอย่างยิ่งขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยเจตนาฆ่าอันเข้มข้นออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนก็สามารถตระหนักได้ว่าศิษย์ของตระกูลซูทั้ง 132 คนนั้นเป็นกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลซู การสูญเสียศิษย์ชั้นยอดถึงหนึ่งร้อยคนในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตระกูลซูเสียหายอย่างสาหัส จนถึงขนาดที่ตระกูลซูต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเพราะขาดผู้สืบทอด และถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ ตระกูลซูก็อยู่ไม่ไกลจากความเสื่อมถอยและล่มสลาย
…
‘น่าเสียดาย ที่ข้าเข่นฆ่าได้เพียง 97 คน และทำให้พวกที่เหลืออีก 35 คนหลบหนีไปได้…’ เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง สายตาของเขากวาดผ่านกองเศษเลือดเนื้อบนพื้นก่อนที่จะแกว่งแขนเสื้อเพื่อเก็บสมบัติต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน หลังจากที่นับแหวนมิติ กำไลมิติ เข็มขัดมิติ… พวกมันก็มีถึง 73 ชิ้นเลยทีเดียว!
“คนจะมั่งคั่งไม่ได้ถ้าไม่มีโชคลาภ เหมือนที่ม้าไม่อ้วนเพราะไม่กินหญ้าตลอดทั้งคืน บรรพบุรุษของเราพูดความจริงเสมอ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของตระกูลซู ความมั่งคั่งของพวกมันที่มากมายมหาศาลตอนนี้กลับให้ประโยชน์แก่ข้า” เฉินซีไม่ได้ตรวจสอบสิ่งของในคลังสมบัติมิติ แต่เลือกที่จะเก็บพวกมันไปก่อน
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลซูจะเสียชีวิตหรือหนีไป แต่การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้กลับดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนของผู้คน ด้วยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซี เขาสัมผัสได้ว่ามีผู้คนกว่าพันคนที่หลบซ่อนอยู่โดยรอบ ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะตรวจสอบสิ่งของที่ยึดมาได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย แต่ปราณแท้ของเฉินฮ่าวและเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรคนอื่น ๆ ใกล้เหือดแห้งจนหมดสิ้น ดังนั้น หากมีผู้ใดคิดฉวยโอกาสจากความอ่อนแรงของพวกเขาหลังการต่อสู้ มันคงรับมือได้ยาก
“รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ และเรือเหาะสมบัติก็ปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นเขาก็พาเฉินฮ่าวและคนอื่น ๆ พุ่งทะลุมวลเมฆและบินไปยังที่ที่ห่างไกล
เรือเหาะสมบัตินี้ได้รับมาจากราชาเต่าเฒ่า ไม่ต้องพูดถึงความเร็วของมันที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันยังสามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะใช้ในชั้นแรกของเจดีย์
“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ เขาได้ฝึกฝนทั้งในด้านการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกาย หากเผชิญหน้ากันข้าต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ แต่ข้าได้เชี่ยวชาญเจตจำนงกระบี่ไร้ลักษณ์แล้ว ดังนั้น ข้าก็ไม่กลัวเขาเช่นเดียวกัน”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง มีชายหนุ่มผู้สวมหมวกบัณฑิตปรากฏตัวขึ้น คิ้วของเขาเป็นสีดำเข้มเหมือนหมึก ดวงตาของเขาเป็นประกายเหมือนตาเหยี่ยว มีดาบสามเล่มสะพายอยู่บนหลัง และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและหยิ่งยโส ในขณะนี้ เขากำลังมองดูเรือเหาะที่หายไปในขอบฟ้าอันไกลโพ้น เขาขมวดคิ้วขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
หากมีผู้ใดอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องจำตัวตนของคนคนนี้ได้อย่างแน่นอน เขาคือผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘กระบี่ไร้ลักษณ์’ ชิวเหลิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลอัจฉริยะที่น่าตื่นตาซึ่งมาจากหนึ่งในแปดนิกายใหญ่อย่างนิกายสุริยันคราม
“ไปกันเถอะ! ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ห่างไกลจากสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ ถ้าเราโชคไม่ดีและต้องเผชิญหน้ากับเขา ก็ควรจะหลีกหนีไปเสียดีกว่า”
“โชคดีที่เรายังไม่ได้ลงมือใด ๆ มิฉะนั้น เราคงประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับศิษย์ของตระกูลซูอย่างแน่นอน”
“จงจดจำไว้ เราจะไม่เป็นศัตรูกับคนผู้นี้ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์”
ไม่ใช่แค่กระบี่ไร้ลักษณ์อย่างชิวเหลิ่ง ที่กำลังชมการต่อสู้จากบริเวณใกล้เคียง แต่ยังมีศิษย์ของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ที่เห็นเฉินซีสามารถพลิกวิกฤตด้วยตัวเอง ทำให้พายุแห่งความตกใจและความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจของตนนานแล้ว ดังนั้นจะกล้าฉวยโอกาสหลังจากที่เฉินซีเพิ่งเสร็จสิ้นจากการต่อสู้ได้อย่างไร? พวกเขาทั้งหมดจึงหันหลังกลับและจากไป อีกทั้งยังไม่กล้าไล่ตามเรือเหาะสมบัติของเฉินซีโดยสิ้นเชิง
ในหุบเขาซ่อนเร้น
เรือสมบัติร่อนลงจอดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเฉินซี เฉินฮ่าว และคนอื่น ๆ ก็เดินลงไปในรอยแยกที่ซ่อนอยู่ในหินด้านข้าง และด้านหลังรอยแยกหินนั้นกลับเป็นถ้ำตามธรรมชาติอย่างน่าประหลาดใจ
ญาณสัมผัสของเฉินซีขยายขอบเขตไปรอบ ๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าช้า ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทรงพลังมาก คงจะเป็นการยากสำหรับเขาที่จะรู้ว่ามีถ้ำซ่อนอยู่ที่นี่ และมันเหมาะมากที่จะใช้สำหรับพักฟื้นร่างกาย
“เฉินฮ่าว แม่นางเฟย และคนอื่น ๆ ควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด เราอาจถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ในเร็ว ๆ นี้” เฉินซีได้แนะนำ
“ตกลง” เฉินฮ่าวพยักหน้า เขาตระหนักได้เช่นกันว่า ผู้บ่มเพาะสองพันคนที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นสี่สัญลักษณ์ ล้วนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์การฆ่าฟันอย่างโชกโชน หากเขาต้องการที่จะเอาชนะพวกมันและเข้าสู่ชั้นที่สามซึ่งก็คือชั้นหยินหยาง ดังนั้น การฟื้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้
เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์กำลังกดดันเช่นกันและไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ชื่นชมการบ่มเพาะของเฉินซีเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจะทำตามสิ่งที่เฉินซีพูด พวกเขานั่งลงขัดสมาธิทันทีก่อนที่จะหยิบวารีวิญญาณออกมาเพื่อซึมซับ จากนั้นเริ่มหมุนเวียนเคล็ดวิชาบ่มเพาะและฟื้นฟูพละกำลัง
“เสี่ยวไป๋ คุ้มกันทางเข้าถ้ำให้ดี ข้าต้องพักฟื้นเช่นกัน” เฉินซีกล่าวผ่านกระแสปราณ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าขอรับรองว่าจะฆ่าทุกคนที่เข้ามา” หลิงไป๋รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในแหวนมิติ เขาจึงบินไปที่ทางเข้าถ้ำด้วยเจตนาฆ่าอย่างเดือดดาลเมื่อเขาได้ยินเฉินซีสั่ง และร่างเล็ก ๆ ของเขาก็ยืนตัวตรง
การบ่มเพาะของหลิงไป๋นั้นเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำและตัวเขาเองก็ได้สืบทอดเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานขั้นสูงสุดจากอาจารย์ของเขา ในเจดีย์แห่งนี้ ระดับการบ่มเพาะสูงสุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุด และเมื่อเขาเฝ้าทางเข้าถ้ำ เฉินซีจึงสามารถสบายใจได้
เฉินซีไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขาพบสถานที่สำหรับนั่งขัดสมาธิก่อนที่จะหยิบขวดบรรจุวารีวิญญาณออกมาและโคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ จากนั้นเขาก็หลับตาลงในขณะที่เขาฟื้นพละกำลัง
สองชั่วยามต่อมา
เฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นจากการพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง แววตาของพวกเขากระจ่างใส่และเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและพลังชีวิต ความแข็งแกร่งของพวกเขาฟื้นขึ้นบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่า การได้สัมผัสกับการต่อสู้อันดุเดือดที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณจากครั้งก่อน ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างมาก นี่คือเสน่ห์ของการต่อสู้จริง ที่ทำให้คนผู้นั้นได้รับการชำระล้างอย่างมากมายจากเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ มันคงเป็นเรื่องแปลก หากความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นไม่มีความก้าวหน้า
“พี่ชายของเจ้าบ่มเพาะเคล็ดวิชาอะไรหรือ? มันลึกซึ้งกว่าเคล็ดวิชาห้วงทมิฬเมฆาพเนจรที่พวกเราบ่มเพาะจริง ๆ” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปรอบๆ นางเห็นรอบกายของเฉินซีซึ่งกำลังนั่งสมาธิบนพื้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายน้ำแข็งอันลึกซึ้งเสมือนชั้นของผลึกน้ำแข็ง และทุกลมหายใจที่เขาหายใจนั้นยาว ต่อเนื่อง และมีพละกำลังเหลือเฟือ มันเหมือนกับว่าเขากำลังกลืนและคายมังกรน้ำแข็งที่กำลังแหวกว่ายและคำรามอยู่ในท้องฟ้า ไปพร้อมกับปรากฏการณ์มากมายที่หลงเหลืออยู่จากการตื่นของมัน
เฉินฮ่าวส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้ากับพี่ชายไม่ได้พบกันมานานกว่าสองปีแล้ว เขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาบ่มเพาะวิชานภาม่วงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลข้า ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะแบบใดที่เขากำลังบ่มเพาะอยู่ตอนนี้ ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินซีอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สาม เมื่อสองปีก่อนอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่แค่เฟยเหลิ่งชุ่ยเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ศิษย์อีกหกคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าพี่ชายของเจ้าจะได้พบกับโชควาสนาใหญ่ ในช่วงเวลาสองปี เขากลับบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราและบรรลุการแปรสภาพร่างกายที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลอีก พรสวรรค์เช่นนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้” เฟยเหลิ่งชุ่ยส่ายศีรษะและพูดเยาะเย้ยตนเอง
“ศิษย์พี่หญิง เมื่อตอนที่ท่านอายุสิบเจ็ดปี ก็บรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราแล้ว และในไม่ใช่ท่านก็ใกล้จะควบแน่นเขตแดนเต๋าแห่งผลึกน้ำแข็ง หากถึงตอนนั้น จะมีผู้ใดในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของพวกเราที่จะสามารถเทียบเคียงท่านได้บ้าง?” ศิษย์ที่เรียกว่าชิงหลัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมจากใจจริง
“ข้าไม่อาจเทียบกับเฉินฮ่าวแม้แต่น้อย ตัวเขาเพิ่งเข้าสู่นิกายได้เพียงสองปี แต่เขาได้บ่มเพาะจากขอบเขตก่อกำเนิดจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา และเขายังหยั่งรู้ถึงเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในเต๋ารู้แจ้งชั้นยอดในสวรรค์และโลก เฉินฮ่าวน่าจะกลายเป็นหนึ่งใน 36 ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปที่เฉินฮ่าว และยิ้มขณะที่นางกล่าว
“ใช่ พรสวรรค์ของศิษย์น้องเฉินฮ่าวนั้น สามารถกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา และมันน่าอิจฉาจริง ๆ” คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
“ไม่ธรรมดาหรือ? ตราบใดที่พวกเจ้าบ่มเพาะอย่างมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียรเพื่ออุทิศตนให้แก่เต๋า ใคร ๆ ก็สามารถบรรลุได้ การที่จะกลายเป็นอัจฉริยะ นอกจากพรสวรรค์แล้ว ต้องมีความขยันหมั่นเพียรและทุ่มเทฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” เฉินซีที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูปราณแท้ทั้งหมดของเขาแล้ว และรู้สึกว่าเขาจะบรรลุในไม่ช้า ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากดูดซับพลังจากศิลาวิญญาณดาราทั้งสองก้อนแล้ว ปราณจ้าววิญญาณภายในร่างกายของเขาก็หนาแน่นมากขึ้นและใกล้จะก้าวไปสู่ระดับต่อไป
“จากการคำนวณของข้า ตั้งแต่พวกเราเข้าสู่ชั้นแปดทิศทางเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมาย ผู้บ่มเพาะในชั้นแปดทิศทางในตอนนี้คงอยู่ไม่ไกลจากจำนวนสองพันคน ดังนั้นควรรออยู่ที่นี่ดีกว่า เพื่อฟื้นฟูและสะสมกำลังของเรา” เฉินซีกล่าวช้าๆ
โอม!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาเพิ่งกล่าวจบ กระแสวังวนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพวกเขาในทันที และแรงดูดมหาศาลก็พัดออกไป ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีและคนอื่นๆ ก็หายตัวไปทันที
ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าหมื่นคนที่เข้าสู่ชั้นแปดทิศทาง ตอนนี้กว่าแปดพันคนได้ถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้น ผู้บ่มเพาะที่เหลืออีกสองพันคนจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ ซึ่งก็คือ ชั้นสี่สัญลักษณ์!
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
บทที่ 141 เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์
ภายนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
บรรยากาศเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหมุดตก
เงียบราวกับป่าช้า…
มันเงียบสงัดเนื่องจากไม่มีใครพูดอะไรสักคำ และจิตใจของทุกคนก็ตกตะลึงงุนงง
นับตั้งแต่เฉินซีเริ่มการต่อสู้กับซูเจียวและศิษย์ของตระกูลซูกว่าร้อยคน สายตาของทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ได้จับจ้องไปยังสนามรบในภาพฉาย
ฝ่ายหนึ่งคือผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าร้อยคนของตระกูลซู ซึ่งเป็นตัวแทนของกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของคนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซู อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาเป็นตัวแทนในอนาคตของตระกูลซู และทุกคนอาจเติบโตเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือเฉินซี เฉินฮ่าว และศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเฉินซี เนื่องจากชื่อเสียงของเขาในเมืองทะเลสาบมังกรเป็นเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยง
ส่วนเฉินฮ่าวกลับไม่เป็นที่รู้จัก แต่เนื่องจากเขาได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราและเชี่ยวชาญเต๋ากระบี่เที่ยงธรรม เขาจึงนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ ในบรรดาศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทั้งเจ็ดนั้น เฟยเหลิ่งชุ่ยก็เป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่ทุกคนต่างก็รู้จักในเมืองทะเลสาบมังกร
มีผู้ใดบ้างที่จะไม่ให้ความสนใจกับบุคคลที่ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้?
ตามที่คาดไว้ การต่อสู้นั้นโหดร้ายและเต็มไปเหตุการณ์พลิกผันมากมาย และอาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจที่สุดตั้งแต่งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเริ่มต้นขึ้น และจะต้องถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของเมืองทะเลสาบมังกร
ในการต่อสู้ครั้งนี้ มีการปรากฏของเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมที่สูงส่งและทรงพลัง ดาบคู่อัสนีผสานที่ไม่มีใครเทียบได้และดุร้ายยามเมื่อใช้กระบวนท่า ‘ผนึกน้ำแข็งพันโยชน์’ อีกทั้งค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง… แต่ที่น่าตื่นตาและโดดเด่นที่สุด ย่อมเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย
ความช่ำชองในการต่อสู้ กลยุทธ์ และความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นยอดเยี่ยมและน่าเกรงขามเกินความคาดหมาย และทำให้ผู้คนต้องหยุดหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้ผู้คนจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างไม่รู้จบ
เมื่อผู้คนเห็นเฉินซีถูกล่ามด้วยโซ่นับพัน ทุกคนคิดว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาได้ทำลายการพันธนาการอย่างง่ายดาย ทำให้ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า เฉินซีปกปิดความแข็งแกร่งของเขามาตั้งแต่ต้น เหมือนหมาป่าเดียวดายที่อดกลั้นและเผยเขี้ยวเล็บออกมาในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด!
ทักษะขัดเกลากายาเทพ!
ปราณจ้าววิญญาณ!
ปราณฝ่ามือขนาดใหญ่ของพลังอิทธิฤทธ์ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง ร้อยยี่สิบจั้ง!
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูศิษย์ของตระกูลซูเสียชีวิตอย่างน่าอนาถภายใต้ปราณฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัว
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูการสังหารของเฉินซีในทุกทิศทางราวกับเทพมารโบราณ
ขณะที่ผู้คนเฝ้าดูเฉินซีพลิกสถานการณ์ที่สิ้นหวังด้วยตัวเขาเอง… ทั้งหมดนี้น่าตกตะลึงมาก ดังนั้น แม้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นก็ต้องเชื่ออย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าไม่เพียงแต่เฉินซีจะเป็นอัจฉริยะซึ่งบรรลุเต๋ารู้แจ้งแล้ว แต่เขายังฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว และยังเชี่ยวชาญพลังอิทธิฤทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อซูเจียวออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ด้วยความเคียดแค้นในใจ ในที่สุดการต่อสู้ครั้งนี้ก็จบลง
แต่สำหรับผู้รับชมทั้งหลาย ทุกฉากของการต่อสู้ครั้งนี้และทุกรายละเอียดเล็ก ๆ ยังคงสะท้อนอยู่ในห้วงความคิดของพวกเขา จนพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลาเนิ่นนาน
“อายุสิบเจ็ดปี บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล ทั้งในการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกายและการฝึกฝนของเขาในเต๋าแห่งการต่อสู้ก็อยู่ที่ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง… คนผู้คืออัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาด!”
“เขาวางแผนอย่างโหดเหี้ยม และกลยุทธ์ของเขาก็พิถีพิถัน จนถึงจุดที่คำนึงถึงทุกความเป็นไปได้ ถ้าตัวประหลาดที่เชี่ยวชาญทั้งกลยุทธ์และการต่อสู้เติบใหญ่ขึ้นมา เขาจะทรงพลังขนาดไหนกัน?”
“ข้าสงสัยว่ามีไพ่ตายอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่ได้เปิดเผย ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ เขาย่อมไม่เปิดเผยไพ่ตายของเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน”
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฝูงชนที่เงียบงันก็ระเบิดความโกลาหลและเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ก็ดังกึกก้องออกมา หัวข้อสนทนาที่หลากหลายเกี่ยวกับเฉินซี ทำให้ฝูงชนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมและมีชีวิตชีวา
บนแท่นหยก ใบหน้าของซูเจิ่นเทียนผู้นำของตระกูลซูมืดมนลง และท่าทางของเขาก็อำมหิตเป็นอย่างยิ่งขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยเจตนาฆ่าอันเข้มข้นออกมา
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนก็สามารถตระหนักได้ว่าศิษย์ของตระกูลซูทั้ง 132 คนนั้นเป็นกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลซู การสูญเสียศิษย์ชั้นยอดถึงหนึ่งร้อยคนในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้ตระกูลซูเสียหายอย่างสาหัส จนถึงขนาดที่ตระกูลซูต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเพราะขาดผู้สืบทอด และถ้ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ ตระกูลซูก็อยู่ไม่ไกลจากความเสื่อมถอยและล่มสลาย
…
‘น่าเสียดาย ที่ข้าเข่นฆ่าได้เพียง 97 คน และทำให้พวกที่เหลืออีก 35 คนหลบหนีไปได้…’ เฉินซีถอนหายใจกับตัวเอง สายตาของเขากวาดผ่านกองเศษเลือดเนื้อบนพื้นก่อนที่จะแกว่งแขนเสื้อเพื่อเก็บสมบัติต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน หลังจากที่นับแหวนมิติ กำไลมิติ เข็มขัดมิติ… พวกมันก็มีถึง 73 ชิ้นเลยทีเดียว!
“คนจะมั่งคั่งไม่ได้ถ้าไม่มีโชคลาภ เหมือนที่ม้าไม่อ้วนเพราะไม่กินหญ้าตลอดทั้งคืน บรรพบุรุษของเราพูดความจริงเสมอ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลของตระกูลซู ความมั่งคั่งของพวกมันที่มากมายมหาศาลตอนนี้กลับให้ประโยชน์แก่ข้า” เฉินซีไม่ได้ตรวจสอบสิ่งของในคลังสมบัติมิติ แต่เลือกที่จะเก็บพวกมันไปก่อน
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลซูจะเสียชีวิตหรือหนีไป แต่การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้กลับดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนของผู้คน ด้วยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซี เขาสัมผัสได้ว่ามีผู้คนกว่าพันคนที่หลบซ่อนอยู่โดยรอบ ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะตรวจสอบสิ่งของที่ยึดมาได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย แต่ปราณแท้ของเฉินฮ่าวและเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรคนอื่น ๆ ใกล้เหือดแห้งจนหมดสิ้น ดังนั้น หากมีผู้ใดคิดฉวยโอกาสจากความอ่อนแรงของพวกเขาหลังการต่อสู้ มันคงรับมือได้ยาก
“รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ และเรือเหาะสมบัติก็ปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นเขาก็พาเฉินฮ่าวและคนอื่น ๆ พุ่งทะลุมวลเมฆและบินไปยังที่ที่ห่างไกล
เรือเหาะสมบัตินี้ได้รับมาจากราชาเต่าเฒ่า ไม่ต้องพูดถึงความเร็วของมันที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันยังสามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะใช้ในชั้นแรกของเจดีย์
“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ เขาได้ฝึกฝนทั้งในด้านการบ่มเพาะปราณและการแปรสภาพร่างกาย หากเผชิญหน้ากันข้าต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ แต่ข้าได้เชี่ยวชาญเจตจำนงกระบี่ไร้ลักษณ์แล้ว ดังนั้น ข้าก็ไม่กลัวเขาเช่นเดียวกัน”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง มีชายหนุ่มผู้สวมหมวกบัณฑิตปรากฏตัวขึ้น คิ้วของเขาเป็นสีดำเข้มเหมือนหมึก ดวงตาของเขาเป็นประกายเหมือนตาเหยี่ยว มีดาบสามเล่มสะพายอยู่บนหลัง และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดุร้ายและหยิ่งยโส ในขณะนี้ เขากำลังมองดูเรือเหาะที่หายไปในขอบฟ้าอันไกลโพ้น เขาขมวดคิ้วขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
หากมีผู้ใดอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องจำตัวตนของคนคนนี้ได้อย่างแน่นอน เขาคือผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘กระบี่ไร้ลักษณ์’ ชิวเหลิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลอัจฉริยะที่น่าตื่นตาซึ่งมาจากหนึ่งในแปดนิกายใหญ่อย่างนิกายสุริยันคราม
“ไปกันเถอะ! ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ห่างไกลจากสิ่งที่เราสามารถเอาชนะได้ ถ้าเราโชคไม่ดีและต้องเผชิญหน้ากับเขา ก็ควรจะหลีกหนีไปเสียดีกว่า”
“โชคดีที่เรายังไม่ได้ลงมือใด ๆ มิฉะนั้น เราคงประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับศิษย์ของตระกูลซูอย่างแน่นอน”
“จงจดจำไว้ เราจะไม่เป็นศัตรูกับคนผู้นี้ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์”
ไม่ใช่แค่กระบี่ไร้ลักษณ์อย่างชิวเหลิ่ง ที่กำลังชมการต่อสู้จากบริเวณใกล้เคียง แต่ยังมีศิษย์ของกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ที่เห็นเฉินซีสามารถพลิกวิกฤตด้วยตัวเอง ทำให้พายุแห่งความตกใจและความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจของตนนานแล้ว ดังนั้นจะกล้าฉวยโอกาสหลังจากที่เฉินซีเพิ่งเสร็จสิ้นจากการต่อสู้ได้อย่างไร? พวกเขาทั้งหมดจึงหันหลังกลับและจากไป อีกทั้งยังไม่กล้าไล่ตามเรือเหาะสมบัติของเฉินซีโดยสิ้นเชิง
ในหุบเขาซ่อนเร้น
เรือสมบัติร่อนลงจอดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเฉินซี เฉินฮ่าว และคนอื่น ๆ ก็เดินลงไปในรอยแยกที่ซ่อนอยู่ในหินด้านข้าง และด้านหลังรอยแยกหินนั้นกลับเป็นถ้ำตามธรรมชาติอย่างน่าประหลาดใจ
ญาณสัมผัสของเฉินซีขยายขอบเขตไปรอบ ๆ ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าช้า ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทรงพลังมาก คงจะเป็นการยากสำหรับเขาที่จะรู้ว่ามีถ้ำซ่อนอยู่ที่นี่ และมันเหมาะมากที่จะใช้สำหรับพักฟื้นร่างกาย
“เฉินฮ่าว แม่นางเฟย และคนอื่น ๆ ควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด เราอาจถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ในเร็ว ๆ นี้” เฉินซีได้แนะนำ
“ตกลง” เฉินฮ่าวพยักหน้า เขาตระหนักได้เช่นกันว่า ผู้บ่มเพาะสองพันคนที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นสี่สัญลักษณ์ ล้วนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์การฆ่าฟันอย่างโชกโชน หากเขาต้องการที่จะเอาชนะพวกมันและเข้าสู่ชั้นที่สามซึ่งก็คือชั้นหยินหยาง ดังนั้น การฟื้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้
เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์กำลังกดดันเช่นกันและไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ชื่นชมการบ่มเพาะของเฉินซีเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจะทำตามสิ่งที่เฉินซีพูด พวกเขานั่งลงขัดสมาธิทันทีก่อนที่จะหยิบวารีวิญญาณออกมาเพื่อซึมซับ จากนั้นเริ่มหมุนเวียนเคล็ดวิชาบ่มเพาะและฟื้นฟูพละกำลัง
“เสี่ยวไป๋ คุ้มกันทางเข้าถ้ำให้ดี ข้าต้องพักฟื้นเช่นกัน” เฉินซีกล่าวผ่านกระแสปราณ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าขอรับรองว่าจะฆ่าทุกคนที่เข้ามา” หลิงไป๋รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในแหวนมิติ เขาจึงบินไปที่ทางเข้าถ้ำด้วยเจตนาฆ่าอย่างเดือดดาลเมื่อเขาได้ยินเฉินซีสั่ง และร่างเล็ก ๆ ของเขาก็ยืนตัวตรง
การบ่มเพาะของหลิงไป๋นั้นเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำและตัวเขาเองก็ได้สืบทอดเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานขั้นสูงสุดจากอาจารย์ของเขา ในเจดีย์แห่งนี้ ระดับการบ่มเพาะสูงสุดอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุด และเมื่อเขาเฝ้าทางเข้าถ้ำ เฉินซีจึงสามารถสบายใจได้
เฉินซีไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขาพบสถานที่สำหรับนั่งขัดสมาธิก่อนที่จะหยิบขวดบรรจุวารีวิญญาณออกมาและโคจรเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ จากนั้นเขาก็หลับตาลงในขณะที่เขาฟื้นพละกำลัง
สองชั่วยามต่อมา
เฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นจากการพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง แววตาของพวกเขากระจ่างใส่และเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและพลังชีวิต ความแข็งแกร่งของพวกเขาฟื้นขึ้นบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่า การได้สัมผัสกับการต่อสู้อันดุเดือดที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณจากครั้งก่อน ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างมาก นี่คือเสน่ห์ของการต่อสู้จริง ที่ทำให้คนผู้นั้นได้รับการชำระล้างอย่างมากมายจากเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ มันคงเป็นเรื่องแปลก หากความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นไม่มีความก้าวหน้า
“พี่ชายของเจ้าบ่มเพาะเคล็ดวิชาอะไรหรือ? มันลึกซึ้งกว่าเคล็ดวิชาห้วงทมิฬเมฆาพเนจรที่พวกเราบ่มเพาะจริง ๆ” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปรอบๆ นางเห็นรอบกายของเฉินซีซึ่งกำลังนั่งสมาธิบนพื้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายน้ำแข็งอันลึกซึ้งเสมือนชั้นของผลึกน้ำแข็ง และทุกลมหายใจที่เขาหายใจนั้นยาว ต่อเนื่อง และมีพละกำลังเหลือเฟือ มันเหมือนกับว่าเขากำลังกลืนและคายมังกรน้ำแข็งที่กำลังแหวกว่ายและคำรามอยู่ในท้องฟ้า ไปพร้อมกับปรากฏการณ์มากมายที่หลงเหลืออยู่จากการตื่นของมัน
เฉินฮ่าวส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้ากับพี่ชายไม่ได้พบกันมานานกว่าสองปีแล้ว เขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาบ่มเพาะวิชานภาม่วงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลข้า ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะแบบใดที่เขากำลังบ่มเพาะอยู่ตอนนี้ ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินซีอยู่เพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สาม เมื่อสองปีก่อนอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่แค่เฟยเหลิ่งชุ่ยเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ศิษย์อีกหกคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็ตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าพี่ชายของเจ้าจะได้พบกับโชควาสนาใหญ่ ในช่วงเวลาสองปี เขากลับบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราและบรรลุการแปรสภาพร่างกายที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลอีก พรสวรรค์เช่นนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้” เฟยเหลิ่งชุ่ยส่ายศีรษะและพูดเยาะเย้ยตนเอง
“ศิษย์พี่หญิง เมื่อตอนที่ท่านอายุสิบเจ็ดปี ก็บรรลุสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราแล้ว และในไม่ใช่ท่านก็ใกล้จะควบแน่นเขตแดนเต๋าแห่งผลึกน้ำแข็ง หากถึงตอนนั้น จะมีผู้ใดในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของพวกเราที่จะสามารถเทียบเคียงท่านได้บ้าง?” ศิษย์ที่เรียกว่าชิงหลัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมจากใจจริง
“ข้าไม่อาจเทียบกับเฉินฮ่าวแม้แต่น้อย ตัวเขาเพิ่งเข้าสู่นิกายได้เพียงสองปี แต่เขาได้บ่มเพาะจากขอบเขตก่อกำเนิดจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา และเขายังหยั่งรู้ถึงเต๋ากระบี่เที่ยงธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในเต๋ารู้แจ้งชั้นยอดในสวรรค์และโลก เฉินฮ่าวน่าจะกลายเป็นหนึ่งใน 36 ศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” เฟยเหลิ่งชุ่ยมองไปที่เฉินฮ่าว และยิ้มขณะที่นางกล่าว
“ใช่ พรสวรรค์ของศิษย์น้องเฉินฮ่าวนั้น สามารถกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา และมันน่าอิจฉาจริง ๆ” คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน
“ไม่ธรรมดาหรือ? ตราบใดที่พวกเจ้าบ่มเพาะอย่างมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียรเพื่ออุทิศตนให้แก่เต๋า ใคร ๆ ก็สามารถบรรลุได้ การที่จะกลายเป็นอัจฉริยะ นอกจากพรสวรรค์แล้ว ต้องมีความขยันหมั่นเพียรและทุ่มเทฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” เฉินซีที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูปราณแท้ทั้งหมดของเขาแล้ว และรู้สึกว่าเขาจะบรรลุในไม่ช้า ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากดูดซับพลังจากศิลาวิญญาณดาราทั้งสองก้อนแล้ว ปราณจ้าววิญญาณภายในร่างกายของเขาก็หนาแน่นมากขึ้นและใกล้จะก้าวไปสู่ระดับต่อไป
“จากการคำนวณของข้า ตั้งแต่พวกเราเข้าสู่ชั้นแปดทิศทางเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมาย ผู้บ่มเพาะในชั้นแปดทิศทางในตอนนี้คงอยู่ไม่ไกลจากจำนวนสองพันคน ดังนั้นควรรออยู่ที่นี่ดีกว่า เพื่อฟื้นฟูและสะสมกำลังของเรา” เฉินซีกล่าวช้าๆ
โอม!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขาเพิ่งกล่าวจบ กระแสวังวนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพวกเขาในทันที และแรงดูดมหาศาลก็พัดออกไป ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีและคนอื่นๆ ก็หายตัวไปทันที
ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกว่าหมื่นคนที่เข้าสู่ชั้นแปดทิศทาง ตอนนี้กว่าแปดพันคนได้ถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้น ผู้บ่มเพาะที่เหลืออีกสองพันคนจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังชั้นที่สองของเจดีย์ ซึ่งก็คือ ชั้นสี่สัญลักษณ์!