บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
‘พลังจู่โจมเต็มกำลังของข้าสามารถสังหารราชาวานรทมิฬได้อย่างฉับพลัน เหตุใดครานี้จึงถูกต้านทานได้ง่ายดายนัก สายน้ำวนลึกล้ำแห่งนี้มีทักษะบ่มเพาะพลังระดับใดกันแน่’
สายตาของเฉินซีจ้องมองไปยังสายน้ำสีดำที่ส่งเสียงหวีดหวิวและกำลังไหลพรูออกมาระหว่างฝ่ามือของราชาอีกาทมิฬ แม้สายน้ำประหลาดจะมีความยาวไม่เกินยี่สิบจั้ง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของมันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ตาย!” เฉินซีปัดความคิดในหัวทิ้งเสียพร้อมกับตวัดกระบี่ฟันออกไปอีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้ผนึกไว้ด้วยพลังทั้งหกของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง อันได้แก่ เงาวายุพริบตา สายฝนโปรยปราย วายุทมิฬ วารีคลั่ง ทลายคลื่นวายุ และวายุทลายสุญญะ เขาจู่โจมด้วยความเชื่อมั่นว่าพลังนี้เพียงพอที่จะทำลายอีกฝ่ายได้ เหมือนที่เคยสังหารราชาเหยี่ยวสายฟ้ามาแล้ว
ทว่าการโจมตีของเขากลับไร้ผล!
ทันใดนั้นสายน้ำดำทะมึนกลับปรากฏขึ้นคั่นกลาง และดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไป ต่อให้ปราณกระบี่ของเฉินซีจะมีความน่ากลัวและร้ายกาจเพียงใด สายน้ำนั่นก็กวาดล้างการโจมตีของชายหนุ่มได้จนหมดสิ้น
‘หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีแน่! สายน้ำดำมืดนี้ส่งผลให้พลังของข้าเสื่อมถอย!’ เฉินซีคิดทบทวนไปมาหลายตลบจึงไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าแต่อย่างใด
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า เจ้าไม่อาจต่อกรกับข้าได้” ราชาอีกาทมิฬพูดด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นก่อนจะหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความยโสโอหัง “เจ้าเพิ่งรู้แจ้งเกี่ยวกับเต๋าแห่งสายลมอย่างผิวเผิน ในขณะที่ข้าสั่งสมความเข้าใจมานานนับหมื่นปี จึงรู้แจ้งในเต๋าแห่งสายน้ำเป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำของข้าก็เข้าขั้นสมบูรณ์แล้วเสียด้วย! เช่นนี้คนอย่างเจ้าจะริอ่านประมือกับข้าอย่างนั้นหรือ!”
‘เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำขั้นสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ?’
เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
ความเชี่ยวชาญของทักษะวิชาแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นสูงและขั้นเอกภาพ เมื่อใดที่บรรลุถึงขั้นความสำเร็จดังกล่าวมนุษย์จะสามารถหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ทุกการเคลื่อนไหวจะสามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาเป็นของตนเอง
เหนือขั้นเอกภาพคือเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
ในขั้นนี้ มนุษย์จะเกิดความเข้าใจในโลกและลึกซึ้งในเต๋า ตราบใดที่พรสวรรค์ของมนุษย์ผู้นั้นไม่ถึงกับไม่เอาไหนและสั่งสมความรู้มาเพียงพอแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะเข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้งของตนเองจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ อย่างภูเขา แม่น้ำ พื้นดิน ดอกไม้ ต้นไม้ ลม ไฟ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เช่นเดียวกับเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่เฉินซีเข้าใจในกระแสลมหรือการรู้แจ้งเต๋าแห่งสายน้ำของราชาอีกาทมิฬที่มีความเข้าใจกระแสน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นเต๋าแห่งการรู้แจ้งทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในขั้นของเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีระดับแยกไปอีก ผู้ที่เพิ่งบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งจะหมายถึงมีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงเบื้องต้น ทว่าหากใครสามารถเข้าใจในกระแสเต๋าทั้งหมดได้ จึงจะถือว่ามีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์!
สำหรับระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งของเฉินซีนั้นกล่าวได้เพียงว่า เขาเพิ่งค้นพบเส้นทางในขณะที่ราชาอีกาทมิฬสามารถหยั่งรู้เต๋าแห่งสายน้ำจนเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งโดยสมบูรณ์
แม้ว่าทั้งสองจะสำเร็จเต๋าแห่งการรู้แจ้งเช่นเดียวกัน แต่ในระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองเรียกว่าห่างกันราวสวรรค์กับโลกมนุษย์ทีเดียว!
“ข้าถ่องแท้ในเต๋าแห่งสายน้ำมาตั้งแต่เมื่อห้าพันปีมาแล้ว จากนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และหล่อหลอมต่อไปอีกห้าพันปี เฝ้าพัฒนาฝึกปรือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าจึงเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งสายน้ำด้วยตัวเอง สายน้ำปรภพในมือข้าสายนี้ สร้างจากแก่นแท้วารีที่เต๋าแห่งสายน้ำของข้ากลั่นออกมา ช่วยให้ข้าสำแดงพลังของมันได้อย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้ด้อยกว่าพลังสมบัติวิเศษขั้นปฐพีเลย และต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ข้าก็มั่นใจว่าจะสังหารเขาได้แน่นอนอย่าว่าแต่คนอย่างเจ้าเลย” ราชาอีกาทมิฬกล่าวอย่างใจเย็นและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รังสีครอบงำแผ่กระจายปกคลุมทั่วร่างกาย “เฉินซี เจ้าอย่าได้ดิ้นรนให้เสียแรง ยอมให้จับแต่โดยดี!”
“อยากให้ข้ายอมอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!” เฉินซีคำรามเสียงกร้าว พลันกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มก็ปรากฏขึ้นและแผดเสียงก้องกังวานทันที ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นลำแสงแปดเส้นตวัดตัดทั้งแนวขวางและแนวตั้งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหมายที่จะสับร่างราชาอีกาทมิฬให้แหลกละเอียด
“เจ้ามันดื้อรั้นดันทุรังเสียจริง ได้…ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าให้ได้ก่อน!” ขณะที่ราชาอีกาทมิฬทำทีทอดถอนใจ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าพื้นที่ว่างเบื้องหน้า จากนั้นจึงหมุนข้อมือผลักไปข้างหน้าอย่างแรงราวกับว่ากำลังผลักภูเขาขนาดใหญ่
ครืนนนน!
ทันใดนั้นสายน้ำดำสนิทได้กลายเป็นลูกคลื่นขุ่นคลั่กพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ เมื่อมองจากระยะไกลจะเหมือนกับมีแม่น้ำสายมหึมาสีดำสนิทแขวนอยู่ข้างใต้ท้องฟ้า และชั่วพริบตามันก็มาถึงตัวเฉินซีแล้ว
“ฮึ” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมไปเล็กน้อย เมื่อสายน้ำปรภพปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็สงบสติให้เย็นลงก่อนเรียกกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มกลับคืน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บังเกิดเสียงหวีดแหลมของลมเย็นที่คมกริบราวใบมีด อึดใจถัดมาปรากฏปราณกระบี่นับหมื่นนับแสนเล่มพุ่งเข้าหาสายน้ำที่จู่โจมเข้ามา มันดูคล้ายกับพายุกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจเต๋าแห่งการรู้แจ้งซึ่งมีความรุนแรงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แม้แต่สายน้ำดำทะมึนที่ซัดเข้าหาตัวคนยังถูกเชือดเฉือนจนกระจัดกระจายเป็นละอองฝอยเล็ก ๆ ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นหมอกควันหายวับไป
ถึงกระนั้นหลังจากสายน้ำสีดำสนิทที่ถาโถมเข้ามาระลอกแรกถูกป้องกันได้ อึดใจถัดมาเกลียวคลื่นลูกใหม่ก็ปรากฏขึ้นตามมา ระลอกคลื่นใหม่นี้เคลื่อนที่ซ้อนทับเป็นชั้น ๆ มาแต่ไกลส่งให้พลังแรงและความแข็งแกร่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ฆ่า!” เฉินซีโคจรพลังในร่างและฟาดฟันกระบี่ออกไปโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ยามนี้กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดก็เคลื่อนไหวดุจมังกรเหินแปดตัวส่งเสียงคำรามเมื่อทะยานแหวกว่ายอากาศอย่างดุดัน ขณะที่ชายหนุ่มตามไปสมทบกับพวกมัน
เจตจำนงกระบี่สายลมทั้งดุดันและว่องไวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย มันเท่ากับปลดตรวนเครื่องพันธนาการทำให้สามารถดิ้นรนต่อสู้ต่อไป นั่นคืออิสรภาพ!
‘ฆ่า!’
‘บดขยี้อุปสรรคขัดขวาง’
‘ฆ่า!’
‘ทำลายอสูรและสัตว์ร้ายที่ขวางอยู่บนเส้นทางให้หมดสิ้นไป’
‘ฆ่า!’
‘ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออิสรภาพ!’
บัดนี้กระแสน้ำในสายน้ำปรภพไหลเชี่ยวกราก ขณะที่มันม้วนตัวเป็นลูกคลื่น ด้วยพลังของลูกคลื่นแต่ละลูกนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งก่อนอย่างไม่มีวันจบสิ้น เฉินซีไม่ยั้งที่จะมุ่งสังหารจึงอาศัยพลังของแปดกระบี่ท่องปรภพร่วมกับเจตจำนงกระบี่ของตนเอง ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าผาหินแข็งแกร่ง ‘แม้ว่ากระแสน้ำจะรุนแรงสักเพียงใดข้าก็จะทำลายมันให้หมดสิ้นด้วยกระบี่นับหมื่นแสนเล่มนี้!’
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
พายุกระบี่บดขยี้กระแสน้ำให้เหลือเพียงละอองฝอย กระนั้นก็ยังไม่อาจกำจัดพวกมันไปได้อย่างสิ้นเชิง
“ลำพังเพียงแปดกระบี่ท่องปรภพนั้นยังไม่พอ” แววตาแน่วนิ่งทว่าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเฉินซีทอประกายดุร้าย ทันใดนั้นปรากฏแสงแปลบปลาบที่ปลายกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือขวาของเขา แสงอันเกิดจากปราณแท้ธาตุน้ำแข็งที่โคจรออกมา ขณะที่เขากำลังบดขยี้ลูกคลื่นสายน้ำดำทะมึนอย่างบ้าคลั่งโดยแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ร่างของเขาทะยานขึ้นสูงเฉียบพลันอย่างต่อเนื่องราวกับพลุตะไล!
…
ณ เนินเขาลูกเล็กบนหุบเขาจันทราโหยหวนที่ห่างออกไปสิบลี้ คนสวมชุดสีครามผมขาวทั่วศีรษะ มีแววตาล้ำลึกคือราชาเต่าเฒ่ากำลังยืนอยู่กับราชาจิ้งจอกเก้าหางผู้ที่มีดวงตาราวผลท้อ ผมของเขายาวประบ่า ทั้งสองอยู่บนยอดเขามองลงมาด้วยความตกตะลึง
ทั้งคู่มองไปที่สายน้ำดำมืดทางเบื้องล่าง ณ เส้นขอบฟ้าไกลโพ้น ที่นั่นเอง ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางสายน้ำและเกลียวคลื่นที่กำลังโอบล้อม
“โถน่าเวทนา!” ราชาเต่าเฒ่าครางพร้อมกับถอนหายใจ
“น่าเวทนาอย่างนั้นหรือ?” ราชาจิ้งจอกเก้าหางถาม
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีก” ราชาเต่าเฒ่าถอนใจแรงอย่างฉุนเฉียว “ก็ดูเจ้าหนุ่มคนนั้นซิว่าปราณแท้ของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เขาสามารถควบคุมศัสตราระดับสูงอย่างกระบี่บินขั้นปฐพีทั้งแปดเล่มได้พร้อมกันอย่างนั้นแสดงว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะต้องมีมากจนน่าแปลกใจทีเดียว ขณะเดียวกันความเชี่ยวชาญในทักษะวิชาก็บรรลุไปถึงขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว แต่…น่าเสียดายอัจฉริยะเช่นเขากลับยังไม่เข้าใจความน่ากลัวของเต๋าแห่งสายน้ำ”
“กระแสคลื่นที่เพิ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และพลังของคลื่นที่เข้ามาแต่ละลูกจะยิ่งทวีความรุนแรงน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว คลื่นที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดสามารถถล่มภูเขาสูงชันทั้งลูกให้พินาศได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ สถานการณ์ของเจ้าหนุ่มนั่นจะยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้นทุกที ถ้าขืนอาศัยแค่ความแข็งแกร่งของตัวเองต้านทานอยู่แบบนี้ต่อไปท้ายที่สุดหายนะเท่านั้นที่จะเป็นผลลัพธ์”
“หากให้เวลาเด็กหนุ่มคนนี้อีกหน่อย ด้วยพรสวรรค์ที่เลิศล้ำ เขาจะต้องบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งขั้นสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้ระดับการบ่มเพาะจะด้อยกว่าราชาอีกาทมิฬ แต่เด็กหนุ่มจะไม่มีทางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โชคร้ายนัก น่าเสียดายเหลือเกิน” ราชาเต่าเฒ่าส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจอีกหลายครั้ง
“มีอะไรให้ต้องเสียดาย? ถ้าถึงขั้นเลวร้ายสุดขีดพอเห็นเขาใกล้จะตายพวกเราก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เจ้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเขาอย่างนั้นหรือ เขาจะไม่ขอบคุณเจ้าสักคำและอยากตอบแทนบุญคุณพวกเราที่ช่วยชีวิตเอาไว้บ้างเชียวหรือ” ราชาจิ้งจอกเก้าหางเปรยอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อกล่าวจบก็หัวเราะเบา ๆ
“เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้าอีกครั้งหากครุ่นคิดเงียบ ๆ ในใจ ‘ดำดิ่งลงสู่นรกขุมเก้าก่อนจะจึงกลายเป็นมังกร หากพวกเราช่วยเหลือเขาตอนนี้ เขาจะกลายเป็นมังกรได้อย่างไร?’
‘ฆ่า!’
ขณะเดียวกันนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดทะยานออกไปทุกทิศทาง ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ขณะที่เฉินซีฉวยกระบี่ไผ่ทองคำนิลไว้ในมือพร้อมขยับเท้าก้าวออกไปทีละก้าว ลูกคลื่นดำสนิทขนาดยักษ์ก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นหยดน้ำระเหยไป
‘ความรุนแรงของพวกมันมีแต่จะมากขึ้นทุกที และข้าก็ต้องใช้พลังรับมือมากขึ้นไปอีก’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างกังวล ‘นอกจากนั้นเวลานี้ปราณแท้ของข้ากำลังลดลงทีละน้อย ๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าสถานการณ์ของข้าจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ’
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เกลียวคลื่นดำทะมึนอีกลูกซัดเข้าอย่างแรง ตามด้วยอำนาจที่แรงกว่าและหนักหน่วงกว่าคลื่นลูกก่อน
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หลังจากเฉินซีฟันกระบี่ไผ่ทองคำนิลทำลายลูกคลื่นยักษ์ลูกแรกนั้น เขากลับพบว่าตนเองไม่อาจทำลายคลื่นยักษ์ลูกอื่น ๆ ทั้งหมดได้ ชายหนุ่มจึงขยับมือซ้ายทันทีก่อนจะออกหมัดกระแทกใส่ไปยังเกลียวคลื่นยักษ์ตรงหน้า ทะลวงผ่านเกลียวคลื่นจนแหลกกระจายกลายเป็นละอองน้ำก่อนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
ฆ่า!
กระนั้นต่อมาเฉินซีก็ทำได้เพียงต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกสายน้ำปรภพห้อมล้อมไว้หมดทุกทิศทาง
“เขากำลังจะแย่แล้ว” ราชาจิ้งจอกเก้าหางรำพึงเสียงแผ่วไม่เร่งรีบ “การขัดเกลาร่างกายของเขาสำเร็จเพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ศึกนี้หนักหนาเกินไป พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วย”
ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้า “ยังเร็วเกินไป รอก่อน…เขายังสามารถยืนหยัดได้อีกพักหนึ่ง”
“ยังจะรออะไรอีก” ราชาจิ้งจอกเก้าหางหันมาถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้าพวกเรามัวรอต่อไป ต่อให้ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ แต่อาจจะบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นคนพิกลพิการไปตลอดชีวิต”
“ต้องรอ” เสียงราชาเต่าเฒ่ายังคงยืนกรานคำเดิม ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองเฉินซีเหมือนกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างเลา ๆ
เพียะ!
เวลาผ่านไปอีกราวหนึ่งถ้วยน้ำชา ขณะนี้เฉินซีออกแรงต่อสู้กับคลื่นยักษ์ดำมืดอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นลูกคลื่นใหญ่ก็กลายเป็นค้อนขนาดมหึมาฟาดลงมาที่ร่างของเขาอย่างดุเดือด ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มลอยละลิ่วถอยไปไกลกว่าสิบจั้งทันที โลหิตสีแดงเข้มทะลักพรวดออกจากมุมปากของเฉินซี
“ฆ่า!” สภาพของเฉินซีเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทว่าชายหนุ่มมิได้สนใจเลือดที่ไหลออกจากปากแต่อย่างใด ทันทีที่ร่างของเขาตกลงกระแทกพื้น เจ้าตัวจึงรีบดีดตัวกลับขึ้นมาพร้อมกับกำด้ามกระบี่ไผ่ทองคำนิลก่อนจะพุ่งออกไปหมายทำลายล้างลูกคลื่นดำสนิทที่กำลังตรงเข้าโจมตีอีกครั้ง
‘ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!’
ยามนี้ชายหนุ่มอ่อนล้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งปราณแท้ของตนก็ถูกใช้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว คงมีเพียงเปลวไฟที่ยังลุกโชนอยู่ในแววตาทั้งสองของเขา ซึ่งก็เป็นเปลวไฟเพลิงแห่งความเด็ดเดี่ยว อดทนและดันทุรังนั่นเอง!
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยน้ำชา…
ตอนนี้เฉินซีเคลื่อนไหวราวกับไม่มีชีวิตประหนึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรร้าย สายตาของเขาดูว่างเปล่าเลื่อนลอย หากมิใช่เพราะกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มที่เคลื่อนที่อยู่รอบตัวเขากับมีกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ในมือให้เขาใช้ต่อสู้แล้ว สภาพของชายหนุ่มก็คงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่ปราศจากวิญญาณอย่างสิ้นเชิง!
ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายผ่านเข้ามาในมโนสำนึกของเฉินซี ดุจแสงส่องสว่างที่มีเงาเคลื่อนผ่านไปมา ทว่าภาพนั้นชัดเจนเหลือเกิน
ฉากชีวิตยากจนในวัยเด็กของตนเอง มารดาหายตัวไป บิดามาหนีจากไป ถูกยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ความอัปยศอดสูและคำเย้ยหยันที่ไม่มีวันจบสิ้น ความขุ่นเคืองและหดหู่ที่สะท้อนอยู่บนสีหน้าของท่านปู่…
ภาพต่าง ๆ ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นมือใหญ่ที่มากระชากคอเขาไปบีบจนแน่น
เขารู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศจนหายใจไม่ออกและสำลักอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับเขาเป็นแมลงน้อยที่ถูกใยแมงมุมห่อหุ้มเอาไว้ ไม่อาจต่อสู้ดิ้นรนจะทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
‘ทำไม!’
‘ทำไม!’
ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
‘พลังจู่โจมเต็มกำลังของข้าสามารถสังหารราชาวานรทมิฬได้อย่างฉับพลัน เหตุใดครานี้จึงถูกต้านทานได้ง่ายดายนัก สายน้ำวนลึกล้ำแห่งนี้มีทักษะบ่มเพาะพลังระดับใดกันแน่’
สายตาของเฉินซีจ้องมองไปยังสายน้ำสีดำที่ส่งเสียงหวีดหวิวและกำลังไหลพรูออกมาระหว่างฝ่ามือของราชาอีกาทมิฬ แม้สายน้ำประหลาดจะมีความยาวไม่เกินยี่สิบจั้ง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของมันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ตาย!” เฉินซีปัดความคิดในหัวทิ้งเสียพร้อมกับตวัดกระบี่ฟันออกไปอีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้ผนึกไว้ด้วยพลังทั้งหกของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง อันได้แก่ เงาวายุพริบตา สายฝนโปรยปราย วายุทมิฬ วารีคลั่ง ทลายคลื่นวายุ และวายุทลายสุญญะ เขาจู่โจมด้วยความเชื่อมั่นว่าพลังนี้เพียงพอที่จะทำลายอีกฝ่ายได้ เหมือนที่เคยสังหารราชาเหยี่ยวสายฟ้ามาแล้ว
ทว่าการโจมตีของเขากลับไร้ผล!
ทันใดนั้นสายน้ำดำทะมึนกลับปรากฏขึ้นคั่นกลาง และดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไป ต่อให้ปราณกระบี่ของเฉินซีจะมีความน่ากลัวและร้ายกาจเพียงใด สายน้ำนั่นก็กวาดล้างการโจมตีของชายหนุ่มได้จนหมดสิ้น
‘หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีแน่! สายน้ำดำมืดนี้ส่งผลให้พลังของข้าเสื่อมถอย!’ เฉินซีคิดทบทวนไปมาหลายตลบจึงไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าแต่อย่างใด
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า เจ้าไม่อาจต่อกรกับข้าได้” ราชาอีกาทมิฬพูดด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นก่อนจะหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความยโสโอหัง “เจ้าเพิ่งรู้แจ้งเกี่ยวกับเต๋าแห่งสายลมอย่างผิวเผิน ในขณะที่ข้าสั่งสมความเข้าใจมานานนับหมื่นปี จึงรู้แจ้งในเต๋าแห่งสายน้ำเป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำของข้าก็เข้าขั้นสมบูรณ์แล้วเสียด้วย! เช่นนี้คนอย่างเจ้าจะริอ่านประมือกับข้าอย่างนั้นหรือ!”
‘เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำขั้นสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ?’
เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
ความเชี่ยวชาญของทักษะวิชาแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นสูงและขั้นเอกภาพ เมื่อใดที่บรรลุถึงขั้นความสำเร็จดังกล่าวมนุษย์จะสามารถหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ทุกการเคลื่อนไหวจะสามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาเป็นของตนเอง
เหนือขั้นเอกภาพคือเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
ในขั้นนี้ มนุษย์จะเกิดความเข้าใจในโลกและลึกซึ้งในเต๋า ตราบใดที่พรสวรรค์ของมนุษย์ผู้นั้นไม่ถึงกับไม่เอาไหนและสั่งสมความรู้มาเพียงพอแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะเข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้งของตนเองจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ อย่างภูเขา แม่น้ำ พื้นดิน ดอกไม้ ต้นไม้ ลม ไฟ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เช่นเดียวกับเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่เฉินซีเข้าใจในกระแสลมหรือการรู้แจ้งเต๋าแห่งสายน้ำของราชาอีกาทมิฬที่มีความเข้าใจกระแสน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นเต๋าแห่งการรู้แจ้งทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในขั้นของเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีระดับแยกไปอีก ผู้ที่เพิ่งบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งจะหมายถึงมีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงเบื้องต้น ทว่าหากใครสามารถเข้าใจในกระแสเต๋าทั้งหมดได้ จึงจะถือว่ามีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์!
สำหรับระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งของเฉินซีนั้นกล่าวได้เพียงว่า เขาเพิ่งค้นพบเส้นทางในขณะที่ราชาอีกาทมิฬสามารถหยั่งรู้เต๋าแห่งสายน้ำจนเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งโดยสมบูรณ์
แม้ว่าทั้งสองจะสำเร็จเต๋าแห่งการรู้แจ้งเช่นเดียวกัน แต่ในระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองเรียกว่าห่างกันราวสวรรค์กับโลกมนุษย์ทีเดียว!
“ข้าถ่องแท้ในเต๋าแห่งสายน้ำมาตั้งแต่เมื่อห้าพันปีมาแล้ว จากนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และหล่อหลอมต่อไปอีกห้าพันปี เฝ้าพัฒนาฝึกปรือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าจึงเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งสายน้ำด้วยตัวเอง สายน้ำปรภพในมือข้าสายนี้ สร้างจากแก่นแท้วารีที่เต๋าแห่งสายน้ำของข้ากลั่นออกมา ช่วยให้ข้าสำแดงพลังของมันได้อย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้ด้อยกว่าพลังสมบัติวิเศษขั้นปฐพีเลย และต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ข้าก็มั่นใจว่าจะสังหารเขาได้แน่นอนอย่าว่าแต่คนอย่างเจ้าเลย” ราชาอีกาทมิฬกล่าวอย่างใจเย็นและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รังสีครอบงำแผ่กระจายปกคลุมทั่วร่างกาย “เฉินซี เจ้าอย่าได้ดิ้นรนให้เสียแรง ยอมให้จับแต่โดยดี!”
“อยากให้ข้ายอมอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!” เฉินซีคำรามเสียงกร้าว พลันกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มก็ปรากฏขึ้นและแผดเสียงก้องกังวานทันที ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นลำแสงแปดเส้นตวัดตัดทั้งแนวขวางและแนวตั้งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหมายที่จะสับร่างราชาอีกาทมิฬให้แหลกละเอียด
“เจ้ามันดื้อรั้นดันทุรังเสียจริง ได้…ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าให้ได้ก่อน!” ขณะที่ราชาอีกาทมิฬทำทีทอดถอนใจ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าพื้นที่ว่างเบื้องหน้า จากนั้นจึงหมุนข้อมือผลักไปข้างหน้าอย่างแรงราวกับว่ากำลังผลักภูเขาขนาดใหญ่
ครืนนนน!
ทันใดนั้นสายน้ำดำสนิทได้กลายเป็นลูกคลื่นขุ่นคลั่กพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ เมื่อมองจากระยะไกลจะเหมือนกับมีแม่น้ำสายมหึมาสีดำสนิทแขวนอยู่ข้างใต้ท้องฟ้า และชั่วพริบตามันก็มาถึงตัวเฉินซีแล้ว
“ฮึ” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมไปเล็กน้อย เมื่อสายน้ำปรภพปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็สงบสติให้เย็นลงก่อนเรียกกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มกลับคืน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บังเกิดเสียงหวีดแหลมของลมเย็นที่คมกริบราวใบมีด อึดใจถัดมาปรากฏปราณกระบี่นับหมื่นนับแสนเล่มพุ่งเข้าหาสายน้ำที่จู่โจมเข้ามา มันดูคล้ายกับพายุกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจเต๋าแห่งการรู้แจ้งซึ่งมีความรุนแรงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แม้แต่สายน้ำดำทะมึนที่ซัดเข้าหาตัวคนยังถูกเชือดเฉือนจนกระจัดกระจายเป็นละอองฝอยเล็ก ๆ ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นหมอกควันหายวับไป
ถึงกระนั้นหลังจากสายน้ำสีดำสนิทที่ถาโถมเข้ามาระลอกแรกถูกป้องกันได้ อึดใจถัดมาเกลียวคลื่นลูกใหม่ก็ปรากฏขึ้นตามมา ระลอกคลื่นใหม่นี้เคลื่อนที่ซ้อนทับเป็นชั้น ๆ มาแต่ไกลส่งให้พลังแรงและความแข็งแกร่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ฆ่า!” เฉินซีโคจรพลังในร่างและฟาดฟันกระบี่ออกไปโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ยามนี้กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดก็เคลื่อนไหวดุจมังกรเหินแปดตัวส่งเสียงคำรามเมื่อทะยานแหวกว่ายอากาศอย่างดุดัน ขณะที่ชายหนุ่มตามไปสมทบกับพวกมัน
เจตจำนงกระบี่สายลมทั้งดุดันและว่องไวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย มันเท่ากับปลดตรวนเครื่องพันธนาการทำให้สามารถดิ้นรนต่อสู้ต่อไป นั่นคืออิสรภาพ!
‘ฆ่า!’
‘บดขยี้อุปสรรคขัดขวาง’
‘ฆ่า!’
‘ทำลายอสูรและสัตว์ร้ายที่ขวางอยู่บนเส้นทางให้หมดสิ้นไป’
‘ฆ่า!’
‘ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออิสรภาพ!’
บัดนี้กระแสน้ำในสายน้ำปรภพไหลเชี่ยวกราก ขณะที่มันม้วนตัวเป็นลูกคลื่น ด้วยพลังของลูกคลื่นแต่ละลูกนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งก่อนอย่างไม่มีวันจบสิ้น เฉินซีไม่ยั้งที่จะมุ่งสังหารจึงอาศัยพลังของแปดกระบี่ท่องปรภพร่วมกับเจตจำนงกระบี่ของตนเอง ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าผาหินแข็งแกร่ง ‘แม้ว่ากระแสน้ำจะรุนแรงสักเพียงใดข้าก็จะทำลายมันให้หมดสิ้นด้วยกระบี่นับหมื่นแสนเล่มนี้!’
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
พายุกระบี่บดขยี้กระแสน้ำให้เหลือเพียงละอองฝอย กระนั้นก็ยังไม่อาจกำจัดพวกมันไปได้อย่างสิ้นเชิง
“ลำพังเพียงแปดกระบี่ท่องปรภพนั้นยังไม่พอ” แววตาแน่วนิ่งทว่าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเฉินซีทอประกายดุร้าย ทันใดนั้นปรากฏแสงแปลบปลาบที่ปลายกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือขวาของเขา แสงอันเกิดจากปราณแท้ธาตุน้ำแข็งที่โคจรออกมา ขณะที่เขากำลังบดขยี้ลูกคลื่นสายน้ำดำทะมึนอย่างบ้าคลั่งโดยแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ร่างของเขาทะยานขึ้นสูงเฉียบพลันอย่างต่อเนื่องราวกับพลุตะไล!
…
ณ เนินเขาลูกเล็กบนหุบเขาจันทราโหยหวนที่ห่างออกไปสิบลี้ คนสวมชุดสีครามผมขาวทั่วศีรษะ มีแววตาล้ำลึกคือราชาเต่าเฒ่ากำลังยืนอยู่กับราชาจิ้งจอกเก้าหางผู้ที่มีดวงตาราวผลท้อ ผมของเขายาวประบ่า ทั้งสองอยู่บนยอดเขามองลงมาด้วยความตกตะลึง
ทั้งคู่มองไปที่สายน้ำดำมืดทางเบื้องล่าง ณ เส้นขอบฟ้าไกลโพ้น ที่นั่นเอง ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางสายน้ำและเกลียวคลื่นที่กำลังโอบล้อม
“โถน่าเวทนา!” ราชาเต่าเฒ่าครางพร้อมกับถอนหายใจ
“น่าเวทนาอย่างนั้นหรือ?” ราชาจิ้งจอกเก้าหางถาม
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีก” ราชาเต่าเฒ่าถอนใจแรงอย่างฉุนเฉียว “ก็ดูเจ้าหนุ่มคนนั้นซิว่าปราณแท้ของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เขาสามารถควบคุมศัสตราระดับสูงอย่างกระบี่บินขั้นปฐพีทั้งแปดเล่มได้พร้อมกันอย่างนั้นแสดงว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะต้องมีมากจนน่าแปลกใจทีเดียว ขณะเดียวกันความเชี่ยวชาญในทักษะวิชาก็บรรลุไปถึงขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว แต่…น่าเสียดายอัจฉริยะเช่นเขากลับยังไม่เข้าใจความน่ากลัวของเต๋าแห่งสายน้ำ”
“กระแสคลื่นที่เพิ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และพลังของคลื่นที่เข้ามาแต่ละลูกจะยิ่งทวีความรุนแรงน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว คลื่นที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดสามารถถล่มภูเขาสูงชันทั้งลูกให้พินาศได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ สถานการณ์ของเจ้าหนุ่มนั่นจะยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้นทุกที ถ้าขืนอาศัยแค่ความแข็งแกร่งของตัวเองต้านทานอยู่แบบนี้ต่อไปท้ายที่สุดหายนะเท่านั้นที่จะเป็นผลลัพธ์”
“หากให้เวลาเด็กหนุ่มคนนี้อีกหน่อย ด้วยพรสวรรค์ที่เลิศล้ำ เขาจะต้องบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งขั้นสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้ระดับการบ่มเพาะจะด้อยกว่าราชาอีกาทมิฬ แต่เด็กหนุ่มจะไม่มีทางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โชคร้ายนัก น่าเสียดายเหลือเกิน” ราชาเต่าเฒ่าส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจอีกหลายครั้ง
“มีอะไรให้ต้องเสียดาย? ถ้าถึงขั้นเลวร้ายสุดขีดพอเห็นเขาใกล้จะตายพวกเราก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เจ้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเขาอย่างนั้นหรือ เขาจะไม่ขอบคุณเจ้าสักคำและอยากตอบแทนบุญคุณพวกเราที่ช่วยชีวิตเอาไว้บ้างเชียวหรือ” ราชาจิ้งจอกเก้าหางเปรยอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อกล่าวจบก็หัวเราะเบา ๆ
“เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้าอีกครั้งหากครุ่นคิดเงียบ ๆ ในใจ ‘ดำดิ่งลงสู่นรกขุมเก้าก่อนจะจึงกลายเป็นมังกร หากพวกเราช่วยเหลือเขาตอนนี้ เขาจะกลายเป็นมังกรได้อย่างไร?’
‘ฆ่า!’
ขณะเดียวกันนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดทะยานออกไปทุกทิศทาง ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ขณะที่เฉินซีฉวยกระบี่ไผ่ทองคำนิลไว้ในมือพร้อมขยับเท้าก้าวออกไปทีละก้าว ลูกคลื่นดำสนิทขนาดยักษ์ก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นหยดน้ำระเหยไป
‘ความรุนแรงของพวกมันมีแต่จะมากขึ้นทุกที และข้าก็ต้องใช้พลังรับมือมากขึ้นไปอีก’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างกังวล ‘นอกจากนั้นเวลานี้ปราณแท้ของข้ากำลังลดลงทีละน้อย ๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าสถานการณ์ของข้าจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ’
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เกลียวคลื่นดำทะมึนอีกลูกซัดเข้าอย่างแรง ตามด้วยอำนาจที่แรงกว่าและหนักหน่วงกว่าคลื่นลูกก่อน
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หลังจากเฉินซีฟันกระบี่ไผ่ทองคำนิลทำลายลูกคลื่นยักษ์ลูกแรกนั้น เขากลับพบว่าตนเองไม่อาจทำลายคลื่นยักษ์ลูกอื่น ๆ ทั้งหมดได้ ชายหนุ่มจึงขยับมือซ้ายทันทีก่อนจะออกหมัดกระแทกใส่ไปยังเกลียวคลื่นยักษ์ตรงหน้า ทะลวงผ่านเกลียวคลื่นจนแหลกกระจายกลายเป็นละอองน้ำก่อนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
ฆ่า!
กระนั้นต่อมาเฉินซีก็ทำได้เพียงต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกสายน้ำปรภพห้อมล้อมไว้หมดทุกทิศทาง
“เขากำลังจะแย่แล้ว” ราชาจิ้งจอกเก้าหางรำพึงเสียงแผ่วไม่เร่งรีบ “การขัดเกลาร่างกายของเขาสำเร็จเพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ศึกนี้หนักหนาเกินไป พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วย”
ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้า “ยังเร็วเกินไป รอก่อน…เขายังสามารถยืนหยัดได้อีกพักหนึ่ง”
“ยังจะรออะไรอีก” ราชาจิ้งจอกเก้าหางหันมาถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้าพวกเรามัวรอต่อไป ต่อให้ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ แต่อาจจะบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นคนพิกลพิการไปตลอดชีวิต”
“ต้องรอ” เสียงราชาเต่าเฒ่ายังคงยืนกรานคำเดิม ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองเฉินซีเหมือนกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างเลา ๆ
เพียะ!
เวลาผ่านไปอีกราวหนึ่งถ้วยน้ำชา ขณะนี้เฉินซีออกแรงต่อสู้กับคลื่นยักษ์ดำมืดอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นลูกคลื่นใหญ่ก็กลายเป็นค้อนขนาดมหึมาฟาดลงมาที่ร่างของเขาอย่างดุเดือด ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มลอยละลิ่วถอยไปไกลกว่าสิบจั้งทันที โลหิตสีแดงเข้มทะลักพรวดออกจากมุมปากของเฉินซี
“ฆ่า!” สภาพของเฉินซีเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทว่าชายหนุ่มมิได้สนใจเลือดที่ไหลออกจากปากแต่อย่างใด ทันทีที่ร่างของเขาตกลงกระแทกพื้น เจ้าตัวจึงรีบดีดตัวกลับขึ้นมาพร้อมกับกำด้ามกระบี่ไผ่ทองคำนิลก่อนจะพุ่งออกไปหมายทำลายล้างลูกคลื่นดำสนิทที่กำลังตรงเข้าโจมตีอีกครั้ง
‘ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!’
ยามนี้ชายหนุ่มอ่อนล้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งปราณแท้ของตนก็ถูกใช้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว คงมีเพียงเปลวไฟที่ยังลุกโชนอยู่ในแววตาทั้งสองของเขา ซึ่งก็เป็นเปลวไฟเพลิงแห่งความเด็ดเดี่ยว อดทนและดันทุรังนั่นเอง!
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยน้ำชา…
ตอนนี้เฉินซีเคลื่อนไหวราวกับไม่มีชีวิตประหนึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรร้าย สายตาของเขาดูว่างเปล่าเลื่อนลอย หากมิใช่เพราะกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มที่เคลื่อนที่อยู่รอบตัวเขากับมีกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ในมือให้เขาใช้ต่อสู้แล้ว สภาพของชายหนุ่มก็คงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่ปราศจากวิญญาณอย่างสิ้นเชิง!
ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายผ่านเข้ามาในมโนสำนึกของเฉินซี ดุจแสงส่องสว่างที่มีเงาเคลื่อนผ่านไปมา ทว่าภาพนั้นชัดเจนเหลือเกิน
ฉากชีวิตยากจนในวัยเด็กของตนเอง มารดาหายตัวไป บิดามาหนีจากไป ถูกยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ความอัปยศอดสูและคำเย้ยหยันที่ไม่มีวันจบสิ้น ความขุ่นเคืองและหดหู่ที่สะท้อนอยู่บนสีหน้าของท่านปู่…
ภาพต่าง ๆ ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นมือใหญ่ที่มากระชากคอเขาไปบีบจนแน่น
เขารู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศจนหายใจไม่ออกและสำลักอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับเขาเป็นแมลงน้อยที่ถูกใยแมงมุมห่อหุ้มเอาไว้ ไม่อาจต่อสู้ดิ้นรนจะทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
‘ทำไม!’
‘ทำไม!’
ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
บทที่ 81 เต๋าแห่งสายน้ำ
‘พลังจู่โจมเต็มกำลังของข้าสามารถสังหารราชาวานรทมิฬได้อย่างฉับพลัน เหตุใดครานี้จึงถูกต้านทานได้ง่ายดายนัก สายน้ำวนลึกล้ำแห่งนี้มีทักษะบ่มเพาะพลังระดับใดกันแน่’
สายตาของเฉินซีจ้องมองไปยังสายน้ำสีดำที่ส่งเสียงหวีดหวิวและกำลังไหลพรูออกมาระหว่างฝ่ามือของราชาอีกาทมิฬ แม้สายน้ำประหลาดจะมีความยาวไม่เกินยี่สิบจั้ง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของมันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ตาย!” เฉินซีปัดความคิดในหัวทิ้งเสียพร้อมกับตวัดกระบี่ฟันออกไปอีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้ผนึกไว้ด้วยพลังทั้งหกของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง อันได้แก่ เงาวายุพริบตา สายฝนโปรยปราย วายุทมิฬ วารีคลั่ง ทลายคลื่นวายุ และวายุทลายสุญญะ เขาจู่โจมด้วยความเชื่อมั่นว่าพลังนี้เพียงพอที่จะทำลายอีกฝ่ายได้ เหมือนที่เคยสังหารราชาเหยี่ยวสายฟ้ามาแล้ว
ทว่าการโจมตีของเขากลับไร้ผล!
ทันใดนั้นสายน้ำดำทะมึนกลับปรากฏขึ้นคั่นกลาง และดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไป ต่อให้ปราณกระบี่ของเฉินซีจะมีความน่ากลัวและร้ายกาจเพียงใด สายน้ำนั่นก็กวาดล้างการโจมตีของชายหนุ่มได้จนหมดสิ้น
‘หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีแน่! สายน้ำดำมืดนี้ส่งผลให้พลังของข้าเสื่อมถอย!’ เฉินซีคิดทบทวนไปมาหลายตลบจึงไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าแต่อย่างใด
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า เจ้าไม่อาจต่อกรกับข้าได้” ราชาอีกาทมิฬพูดด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นก่อนจะหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความยโสโอหัง “เจ้าเพิ่งรู้แจ้งเกี่ยวกับเต๋าแห่งสายลมอย่างผิวเผิน ในขณะที่ข้าสั่งสมความเข้าใจมานานนับหมื่นปี จึงรู้แจ้งในเต๋าแห่งสายน้ำเป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำของข้าก็เข้าขั้นสมบูรณ์แล้วเสียด้วย! เช่นนี้คนอย่างเจ้าจะริอ่านประมือกับข้าอย่างนั้นหรือ!”
‘เต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำขั้นสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ?’
เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
ความเชี่ยวชาญของทักษะวิชาแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นสูงและขั้นเอกภาพ เมื่อใดที่บรรลุถึงขั้นความสำเร็จดังกล่าวมนุษย์จะสามารถหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ทุกการเคลื่อนไหวจะสามารถดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกมาเป็นของตนเอง
เหนือขั้นเอกภาพคือเต๋าแห่งการรู้แจ้ง
ในขั้นนี้ มนุษย์จะเกิดความเข้าใจในโลกและลึกซึ้งในเต๋า ตราบใดที่พรสวรรค์ของมนุษย์ผู้นั้นไม่ถึงกับไม่เอาไหนและสั่งสมความรู้มาเพียงพอแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะเข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้งของตนเองจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ อย่างภูเขา แม่น้ำ พื้นดิน ดอกไม้ ต้นไม้ ลม ไฟ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เช่นเดียวกับเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่เฉินซีเข้าใจในกระแสลมหรือการรู้แจ้งเต๋าแห่งสายน้ำของราชาอีกาทมิฬที่มีความเข้าใจกระแสน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นเต๋าแห่งการรู้แจ้งทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ในขั้นของเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีระดับแยกไปอีก ผู้ที่เพิ่งบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งจะหมายถึงมีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงเบื้องต้น ทว่าหากใครสามารถเข้าใจในกระแสเต๋าทั้งหมดได้ จึงจะถือว่ามีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์!
สำหรับระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งของเฉินซีนั้นกล่าวได้เพียงว่า เขาเพิ่งค้นพบเส้นทางในขณะที่ราชาอีกาทมิฬสามารถหยั่งรู้เต๋าแห่งสายน้ำจนเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการรู้แจ้งโดยสมบูรณ์
แม้ว่าทั้งสองจะสำเร็จเต๋าแห่งการรู้แจ้งเช่นเดียวกัน แต่ในระดับเต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นมีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองเรียกว่าห่างกันราวสวรรค์กับโลกมนุษย์ทีเดียว!
“ข้าถ่องแท้ในเต๋าแห่งสายน้ำมาตั้งแต่เมื่อห้าพันปีมาแล้ว จากนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และหล่อหลอมต่อไปอีกห้าพันปี เฝ้าพัฒนาฝึกปรือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าจึงเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งสายน้ำด้วยตัวเอง สายน้ำปรภพในมือข้าสายนี้ สร้างจากแก่นแท้วารีที่เต๋าแห่งสายน้ำของข้ากลั่นออกมา ช่วยให้ข้าสำแดงพลังของมันได้อย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้ด้อยกว่าพลังสมบัติวิเศษขั้นปฐพีเลย และต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ข้าก็มั่นใจว่าจะสังหารเขาได้แน่นอนอย่าว่าแต่คนอย่างเจ้าเลย” ราชาอีกาทมิฬกล่าวอย่างใจเย็นและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รังสีครอบงำแผ่กระจายปกคลุมทั่วร่างกาย “เฉินซี เจ้าอย่าได้ดิ้นรนให้เสียแรง ยอมให้จับแต่โดยดี!”
“อยากให้ข้ายอมอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเอาชนะข้าให้ได้ก่อน!” เฉินซีคำรามเสียงกร้าว พลันกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มก็ปรากฏขึ้นและแผดเสียงก้องกังวานทันที ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นลำแสงแปดเส้นตวัดตัดทั้งแนวขวางและแนวตั้งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหมายที่จะสับร่างราชาอีกาทมิฬให้แหลกละเอียด
“เจ้ามันดื้อรั้นดันทุรังเสียจริง ได้…ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าให้ได้ก่อน!” ขณะที่ราชาอีกาทมิฬทำทีทอดถอนใจ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้าพื้นที่ว่างเบื้องหน้า จากนั้นจึงหมุนข้อมือผลักไปข้างหน้าอย่างแรงราวกับว่ากำลังผลักภูเขาขนาดใหญ่
ครืนนนน!
ทันใดนั้นสายน้ำดำสนิทได้กลายเป็นลูกคลื่นขุ่นคลั่กพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ เมื่อมองจากระยะไกลจะเหมือนกับมีแม่น้ำสายมหึมาสีดำสนิทแขวนอยู่ข้างใต้ท้องฟ้า และชั่วพริบตามันก็มาถึงตัวเฉินซีแล้ว
“ฮึ” สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมไปเล็กน้อย เมื่อสายน้ำปรภพปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็สงบสติให้เย็นลงก่อนเรียกกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มกลับคืน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บังเกิดเสียงหวีดแหลมของลมเย็นที่คมกริบราวใบมีด อึดใจถัดมาปรากฏปราณกระบี่นับหมื่นนับแสนเล่มพุ่งเข้าหาสายน้ำที่จู่โจมเข้ามา มันดูคล้ายกับพายุกระบี่ที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจเต๋าแห่งการรู้แจ้งซึ่งมีความรุนแรงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แม้แต่สายน้ำดำทะมึนที่ซัดเข้าหาตัวคนยังถูกเชือดเฉือนจนกระจัดกระจายเป็นละอองฝอยเล็ก ๆ ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นหมอกควันหายวับไป
ถึงกระนั้นหลังจากสายน้ำสีดำสนิทที่ถาโถมเข้ามาระลอกแรกถูกป้องกันได้ อึดใจถัดมาเกลียวคลื่นลูกใหม่ก็ปรากฏขึ้นตามมา ระลอกคลื่นใหม่นี้เคลื่อนที่ซ้อนทับเป็นชั้น ๆ มาแต่ไกลส่งให้พลังแรงและความแข็งแกร่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ฆ่า!” เฉินซีโคจรพลังในร่างและฟาดฟันกระบี่ออกไปโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ยามนี้กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดก็เคลื่อนไหวดุจมังกรเหินแปดตัวส่งเสียงคำรามเมื่อทะยานแหวกว่ายอากาศอย่างดุดัน ขณะที่ชายหนุ่มตามไปสมทบกับพวกมัน
เจตจำนงกระบี่สายลมทั้งดุดันและว่องไวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย มันเท่ากับปลดตรวนเครื่องพันธนาการทำให้สามารถดิ้นรนต่อสู้ต่อไป นั่นคืออิสรภาพ!
‘ฆ่า!’
‘บดขยี้อุปสรรคขัดขวาง’
‘ฆ่า!’
‘ทำลายอสูรและสัตว์ร้ายที่ขวางอยู่บนเส้นทางให้หมดสิ้นไป’
‘ฆ่า!’
‘ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออิสรภาพ!’
บัดนี้กระแสน้ำในสายน้ำปรภพไหลเชี่ยวกราก ขณะที่มันม้วนตัวเป็นลูกคลื่น ด้วยพลังของลูกคลื่นแต่ละลูกนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งก่อนอย่างไม่มีวันจบสิ้น เฉินซีไม่ยั้งที่จะมุ่งสังหารจึงอาศัยพลังของแปดกระบี่ท่องปรภพร่วมกับเจตจำนงกระบี่ของตนเอง ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าผาหินแข็งแกร่ง ‘แม้ว่ากระแสน้ำจะรุนแรงสักเพียงใดข้าก็จะทำลายมันให้หมดสิ้นด้วยกระบี่นับหมื่นแสนเล่มนี้!’
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
พายุกระบี่บดขยี้กระแสน้ำให้เหลือเพียงละอองฝอย กระนั้นก็ยังไม่อาจกำจัดพวกมันไปได้อย่างสิ้นเชิง
“ลำพังเพียงแปดกระบี่ท่องปรภพนั้นยังไม่พอ” แววตาแน่วนิ่งทว่าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเฉินซีทอประกายดุร้าย ทันใดนั้นปรากฏแสงแปลบปลาบที่ปลายกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือขวาของเขา แสงอันเกิดจากปราณแท้ธาตุน้ำแข็งที่โคจรออกมา ขณะที่เขากำลังบดขยี้ลูกคลื่นสายน้ำดำทะมึนอย่างบ้าคลั่งโดยแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ร่างของเขาทะยานขึ้นสูงเฉียบพลันอย่างต่อเนื่องราวกับพลุตะไล!
…
ณ เนินเขาลูกเล็กบนหุบเขาจันทราโหยหวนที่ห่างออกไปสิบลี้ คนสวมชุดสีครามผมขาวทั่วศีรษะ มีแววตาล้ำลึกคือราชาเต่าเฒ่ากำลังยืนอยู่กับราชาจิ้งจอกเก้าหางผู้ที่มีดวงตาราวผลท้อ ผมของเขายาวประบ่า ทั้งสองอยู่บนยอดเขามองลงมาด้วยความตกตะลึง
ทั้งคู่มองไปที่สายน้ำดำมืดทางเบื้องล่าง ณ เส้นขอบฟ้าไกลโพ้น ที่นั่นเอง ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางสายน้ำและเกลียวคลื่นที่กำลังโอบล้อม
“โถน่าเวทนา!” ราชาเต่าเฒ่าครางพร้อมกับถอนหายใจ
“น่าเวทนาอย่างนั้นหรือ?” ราชาจิ้งจอกเก้าหางถาม
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีก” ราชาเต่าเฒ่าถอนใจแรงอย่างฉุนเฉียว “ก็ดูเจ้าหนุ่มคนนั้นซิว่าปราณแท้ของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เขาสามารถควบคุมศัสตราระดับสูงอย่างกระบี่บินขั้นปฐพีทั้งแปดเล่มได้พร้อมกันอย่างนั้นแสดงว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะต้องมีมากจนน่าแปลกใจทีเดียว ขณะเดียวกันความเชี่ยวชาญในทักษะวิชาก็บรรลุไปถึงขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว แต่…น่าเสียดายอัจฉริยะเช่นเขากลับยังไม่เข้าใจความน่ากลัวของเต๋าแห่งสายน้ำ”
“กระแสคลื่นที่เพิ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และพลังของคลื่นที่เข้ามาแต่ละลูกจะยิ่งทวีความรุนแรงน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว คลื่นที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดสามารถถล่มภูเขาสูงชันทั้งลูกให้พินาศได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ สถานการณ์ของเจ้าหนุ่มนั่นจะยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้นทุกที ถ้าขืนอาศัยแค่ความแข็งแกร่งของตัวเองต้านทานอยู่แบบนี้ต่อไปท้ายที่สุดหายนะเท่านั้นที่จะเป็นผลลัพธ์”
“หากให้เวลาเด็กหนุ่มคนนี้อีกหน่อย ด้วยพรสวรรค์ที่เลิศล้ำ เขาจะต้องบรรลุเต๋าแห่งการรู้แจ้งขั้นสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้ระดับการบ่มเพาะจะด้อยกว่าราชาอีกาทมิฬ แต่เด็กหนุ่มจะไม่มีทางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โชคร้ายนัก น่าเสียดายเหลือเกิน” ราชาเต่าเฒ่าส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจอีกหลายครั้ง
“มีอะไรให้ต้องเสียดาย? ถ้าถึงขั้นเลวร้ายสุดขีดพอเห็นเขาใกล้จะตายพวกเราก็แค่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เจ้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเขาอย่างนั้นหรือ เขาจะไม่ขอบคุณเจ้าสักคำและอยากตอบแทนบุญคุณพวกเราที่ช่วยชีวิตเอาไว้บ้างเชียวหรือ” ราชาจิ้งจอกเก้าหางเปรยอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อกล่าวจบก็หัวเราะเบา ๆ
“เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้าอีกครั้งหากครุ่นคิดเงียบ ๆ ในใจ ‘ดำดิ่งลงสู่นรกขุมเก้าก่อนจะจึงกลายเป็นมังกร หากพวกเราช่วยเหลือเขาตอนนี้ เขาจะกลายเป็นมังกรได้อย่างไร?’
‘ฆ่า!’
ขณะเดียวกันนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดทะยานออกไปทุกทิศทาง ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ขณะที่เฉินซีฉวยกระบี่ไผ่ทองคำนิลไว้ในมือพร้อมขยับเท้าก้าวออกไปทีละก้าว ลูกคลื่นดำสนิทขนาดยักษ์ก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นหยดน้ำระเหยไป
‘ความรุนแรงของพวกมันมีแต่จะมากขึ้นทุกที และข้าก็ต้องใช้พลังรับมือมากขึ้นไปอีก’ เฉินซีครุ่นคิดอย่างกังวล ‘นอกจากนั้นเวลานี้ปราณแท้ของข้ากำลังลดลงทีละน้อย ๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าสถานการณ์ของข้าจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ’
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เกลียวคลื่นดำทะมึนอีกลูกซัดเข้าอย่างแรง ตามด้วยอำนาจที่แรงกว่าและหนักหน่วงกว่าคลื่นลูกก่อน
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หลังจากเฉินซีฟันกระบี่ไผ่ทองคำนิลทำลายลูกคลื่นยักษ์ลูกแรกนั้น เขากลับพบว่าตนเองไม่อาจทำลายคลื่นยักษ์ลูกอื่น ๆ ทั้งหมดได้ ชายหนุ่มจึงขยับมือซ้ายทันทีก่อนจะออกหมัดกระแทกใส่ไปยังเกลียวคลื่นยักษ์ตรงหน้า ทะลวงผ่านเกลียวคลื่นจนแหลกกระจายกลายเป็นละอองน้ำก่อนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
ฆ่า!
กระนั้นต่อมาเฉินซีก็ทำได้เพียงต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกสายน้ำปรภพห้อมล้อมไว้หมดทุกทิศทาง
“เขากำลังจะแย่แล้ว” ราชาจิ้งจอกเก้าหางรำพึงเสียงแผ่วไม่เร่งรีบ “การขัดเกลาร่างกายของเขาสำเร็จเพียงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ศึกนี้หนักหนาเกินไป พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วย”
ราชาเต่าเฒ่าส่ายหน้า “ยังเร็วเกินไป รอก่อน…เขายังสามารถยืนหยัดได้อีกพักหนึ่ง”
“ยังจะรออะไรอีก” ราชาจิ้งจอกเก้าหางหันมาถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้าพวกเรามัวรอต่อไป ต่อให้ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้ แต่อาจจะบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นคนพิกลพิการไปตลอดชีวิต”
“ต้องรอ” เสียงราชาเต่าเฒ่ายังคงยืนกรานคำเดิม ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองเฉินซีเหมือนกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างเลา ๆ
เพียะ!
เวลาผ่านไปอีกราวหนึ่งถ้วยน้ำชา ขณะนี้เฉินซีออกแรงต่อสู้กับคลื่นยักษ์ดำมืดอย่างสุดกำลัง ทันใดนั้นลูกคลื่นใหญ่ก็กลายเป็นค้อนขนาดมหึมาฟาดลงมาที่ร่างของเขาอย่างดุเดือด ส่งผลให้ร่างของชายหนุ่มลอยละลิ่วถอยไปไกลกว่าสิบจั้งทันที โลหิตสีแดงเข้มทะลักพรวดออกจากมุมปากของเฉินซี
“ฆ่า!” สภาพของเฉินซีเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทว่าชายหนุ่มมิได้สนใจเลือดที่ไหลออกจากปากแต่อย่างใด ทันทีที่ร่างของเขาตกลงกระแทกพื้น เจ้าตัวจึงรีบดีดตัวกลับขึ้นมาพร้อมกับกำด้ามกระบี่ไผ่ทองคำนิลก่อนจะพุ่งออกไปหมายทำลายล้างลูกคลื่นดำสนิทที่กำลังตรงเข้าโจมตีอีกครั้ง
‘ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!’
ยามนี้ชายหนุ่มอ่อนล้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งปราณแท้ของตนก็ถูกใช้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว คงมีเพียงเปลวไฟที่ยังลุกโชนอยู่ในแววตาทั้งสองของเขา ซึ่งก็เป็นเปลวไฟเพลิงแห่งความเด็ดเดี่ยว อดทนและดันทุรังนั่นเอง!
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยน้ำชา…
ตอนนี้เฉินซีเคลื่อนไหวราวกับไม่มีชีวิตประหนึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรร้าย สายตาของเขาดูว่างเปล่าเลื่อนลอย หากมิใช่เพราะกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มที่เคลื่อนที่อยู่รอบตัวเขากับมีกระบี่ไผ่ทองคำนิลอยู่ในมือให้เขาใช้ต่อสู้แล้ว สภาพของชายหนุ่มก็คงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่ปราศจากวิญญาณอย่างสิ้นเชิง!
ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายผ่านเข้ามาในมโนสำนึกของเฉินซี ดุจแสงส่องสว่างที่มีเงาเคลื่อนผ่านไปมา ทว่าภาพนั้นชัดเจนเหลือเกิน
ฉากชีวิตยากจนในวัยเด็กของตนเอง มารดาหายตัวไป บิดามาหนีจากไป ถูกยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ความอัปยศอดสูและคำเย้ยหยันที่ไม่มีวันจบสิ้น ความขุ่นเคืองและหดหู่ที่สะท้อนอยู่บนสีหน้าของท่านปู่…
ภาพต่าง ๆ ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นมือใหญ่ที่มากระชากคอเขาไปบีบจนแน่น
เขารู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศจนหายใจไม่ออกและสำลักอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับเขาเป็นแมลงน้อยที่ถูกใยแมงมุมห่อหุ้มเอาไว้ ไม่อาจต่อสู้ดิ้นรนจะทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
‘ทำไม!’
‘ทำไม!’
ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
Comments