บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
เปลือกจักจั่นสีคราม!
โสมโลหิตสุริยันเกลียวหยก!
สมุนไพรภัยพิบัติทั้งเจ็ด!
…
ทุกครั้งที่เล่อฉีระบุชื่อของวัตถุดิบ ในใจของเขาก็รู้สึกตกตะลึง ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของมือดูนุ่มนวลขึ้น มันดูไม่เหมือนกับกำลังประเมินสมบัติ แต่คล้ายกับกำลังลูบใบหน้าของคนรักแทน
ในฐานะผู้ประเมินสูงสุดในหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองทะเลหมอก ดวงตาของเล่อฉีได้รับการบ่มเพาะให้เฉียบคมเป็นพิเศษมานานแล้ว และวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ผ่านมือของเขาก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเห็นวัตถุดิบวิญญาณล้ำค่าเหล่านี้ แต่เมื่อเห็นกองวัตถุดิบวิญญาณที่สูงดั่งเนินเขาเล็ก ๆ ตรงหน้า เขาก็ยังต้องตกตะลึง
ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ!
ตกตะลึงราวกับคลื่นที่ทวีความปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ!
หากกล่าวตามตรง ระดับของวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้สูงนัก และถือได้ว่าเป็นระดับต่ำเท่านั้น แต่พวกมันล้วนหายากยิ่งนัก เกือบทั้งหมดเป็นวัตถุดิบที่ไม่สามารถพบเจอในโลกมานานแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็น การกลั่นโอสถ หุ่นเชิด หรือสมบัติวิเศษ ล้วนมีความแตกต่างระหว่างวัตถุดิบหลักและวัตถุดิบเสริม
วัตถุดิบหลักโดยปกติเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะกำหนดระดับและขั้นของสมบัติวิเศษหลังจากที่มันเสร็จสมบูรณ์ แต่วัตถุดิบเสริมก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน แม้ว่าวัตถุดิบหลักจะสมบูรณ์ แต่หากขาดวัตถุดิบเสริมที่จำเป็น จะทำให้สมบัติวิเศษนั้นไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่
ยกตัวอย่างเช่น โอสถที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโลกแห่งการบ่มเพาะเมื่อพันปีก่อน นั่นก็คือผงรวมจิตแห่งการบ่มเพาะ หลังจากผู้บ่มเพาะซึมซับมันเข้าไป มันจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลและเสริมสร้างรากฐานเต๋าให้มั่นคงมากขึ้นได้ถึงสองส่วน มันช่างทรงพลังใช่ไหม? แต่น่าเสียดาย เนื่องจากการหมดไปของวัตถุดิบเสริมระดับต่ำที่เรียกว่าเกสรดอกนกเขาวิญญาณ จึงทำให้ผงรวมจิตแห่งการบ่มเพาะหายสาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์แห่งการบ่มเพาะตั้งแต่หลายพันปีก่อน เพราะเหลือเพียงสูตรยาเท่านั้น
มีตัวอย่างอีกมากมายที่เป็นเช่นนี้
สูตรยา วิชาการสร้างศัสตรา และเคล็ดวิชาการฝึกสัตว์อสูรที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณได้ค่อย ๆ หายสาบสูญไปจากโลกแห่งการบ่มเพาะเนื่องจากขาดวัตถุดิบวิญญาณบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้ควบคู่กัน
เล่อฉีตระหนักถึงสิ่งนี้ดี เพราะทราบถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้ เมื่อเขาเห็นวัตถุดิบวิญญาณจำนวนมากที่ควรถูกฝังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์กลับมาปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาก็รู้สึกตกตะลึงในทันที!
“ฟู่ว~!”
เล่อฉีถอนหายใจและระงับความตื่นเต้น ในขณะเริ่มจัดระเบียบวัตถุดิบอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ เขาได้แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ เขาวางแผนอย่างรวดเร็วเพื่อทำการเลือก คัดแยก และจัดเรียงวัตถุดิบวิญญาณที่ซ้อนกันเหมือนภูเขาอย่างเป็นระเบียบ การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนและราบรื่น ช่างเป็นที่พอใจแก่ผู้พบเห็น
“วัตถุดิบเหล่านี้มีอะไรพิเศษหรือ? ข้าเพียงคิดว่ามันมีปริมาณที่เยอะเท่านั้น” ต้วนมู่เจ๋ออดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบา เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดผู้ประเมินที่ยอดเยี่ยมอย่างเล่อฉีถึงตื่นเต้นขนาดนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายได้กินยาที่มีฤทธิ์ธาตุหยางรุนแรง*[1]
“ไม่แปลกหรอก” ตู้ชิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “วัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดพบเจอมานานแล้ว ดังนั้นแม้พวกมันจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ความหายากของมันทำให้มีราคายิ่งนัก”
ต้วนมู่เจ๋อยังคงไม่เข้าใจ วัตถุดิบที่สูญพันธ์ุไปแล้วมันแปลกตรงไหน?
ทว่าเฉินซีกลับเข้าใจในทันที เนื่องจากอำนาจพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากทำให้ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ถูกแยกออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานับล้านปี มันเหมือนกับดินแดนนอกโลกที่สมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณยังคงงอกเงยขึ้นมากมาย ควบคู่ไปกับบรรดาสัตว์อสูรที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ไม่เหมือนกับผู้บ่มเพาะชาวมนุษย์ที่มักยึดครองเพื่อควบคุมทรัพยากรทั้งหมด สมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่อยู่ภายในนั้นย่อมสามารถอยู่รอดได้อย่างสมบูรณ์จวบจนถึงตอนนี้
แม้ว่าเฉินซีจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาก็ยืนยันที่จะขายสิ่งเหล่านี้อยู่ดี เขาไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้ฝึกสัตว์อสูร หรือช่างสร้างศัสตราวิเศษ… มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บวัตถุดิบเหล่านี้ไว้ แล้วไยจึงไม่ขายพวกมันทิ้งไปเสียล่ะ?
“ทั้งหมดเป็นสมุนไพรวิญญาณ 80,000 ต้น ไม้วิญญาณ 27,032 ท่อน แร่และวัตถุดิบอื่น ๆ อีก 40,099 ชนิด” ในขณะนี้เอง เล่อฉีได้ทำรายการสินค้าของเขาเสร็จสิ้น เมื่อเขายืนขึ้นก็ยังตกอยู่ในภวังค์ เนื่องจากวัตถุดิบแทบทั้งหมดเป็นสิ่งของหายากที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว เมื่อได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในระยะเวลาอันสั้น เขาก็รู้สึกราวกับกำลังท่องไปในความฝัน
“เป็นมูลค่าเท่าใด?” เฉินซีเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์เล่อฉี เฉินซีเป็นพี่น้องของข้า หวังว่าจะท่านไม่เอาเปรียบพวกเรามากนัก” ต้วนมู่เจ๋อยิ้มกว้างขณะที่เตือนด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ
เล่อฉีรับรู้ได้ทันใดและกล่าวด้วยความเคารพต่อเฉินซีว่า “หากคำนวณตามหน่วยของวารีวิญญาณแล้ว วัตถุดิบมากกว่าหนึ่งแสนชิ้นควรจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านชั่งของวารีวิญญาณ”
1.25 ล้านชั่ง!
ตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง วัตถุดิบวิญญาณระดับต่ำเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นวารีวิญญาณได้ถึง 1.25 ล้านชั่งเลยหรือ?
อย่างที่ทราบกัน ผู้บ่มเพาะที่มีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิลต่างก็บ่มเพาะด้วยศิลาวิญญาณหรือผลึกวิญญาณ หรือไม่ก็ซื้อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะเท่านั้น ในขณะที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือเหนือกว่านั้นจะใช้วารีวิญญาณแทนเงินตราหรือเพื่อวัดมูลค่าของสมบัติในโลก
วารีวิญญาณ 1.25 ล้านชั่งเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดหลายร้อยชิ้น หรือสมบัติวิเศษระดับล้ำลึกมากกว่าสิบชิ้น!
ศัสตราสูงสุดที่พวกตู้ชิงซีครอบครองอยู่ในระดับมนุษย์ขั้นสูงเท่านั้น ในเวลานี้ เมื่อได้ยินตัวเลขมหาศาลที่เล่อฉีประกาศออกมา หัวใจของพวกเขาก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง
‘1.25 ล้านชั่ง?’ เฉินซีลอบสูดหายใจด้วยความตื่นเต้น แต่เขาไม่ได้แสดงอาการเลยแม้แต่น้อย “ข้าขอเรียนถามท่านอาจารย์เล่อ อย่างน้อย 1.25 ล้านชั่งหมายถึงสิ่งใด? เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม้แต่ท่านก็ไม่อาจกำหนดมูลค่าที่แน่นอนได้”
เล่อฉีพยักหน้ารับและกล่าวว่า “มูลค่าของพวกมันสูงเกินไป ข้าจึงไม่กล้าเสนอราคาที่แน่นอนด้วยตัวเอง ดังนั้น ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหารือกับผู้ดูแลท่านอื่นก่อนและจะรีบกลับมาพบพวกท่านทุกคน” ทันทีที่เขากล่าวจบ เล่อฉีก็รีบจากไป
…
ชั้นบนสุดของหอขุมทรัพย์สวรรค์
หอขุมทรัพย์สวรรค์ เป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมืองทะเลหมอก มันมีความสูงราว ๆ เก้าร้อยจั้ง ประหนึ่งเสาสวรรค์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หากใครขึ้นไปยืนอยู่บนยอดนั้น ดวงดาวสว่างไสวที่มีขนาดเท่ากำปั้นดูเหมือนจะถูกเด็ดลงมาได้อย่างง่ายดาย
ในขณะนี้ เล่อฉียืนอยู่ที่ชั้นบนสุดด้วยท่าทางที่นอบน้อม และบนม้านั่งตรงข้ามเขา มีสตรีที่งดงามอย่างยิ่งกำลังนอนด้วยท่าทางที่สง่างาม
ดวงตาเรียวของนางดุจหยดน้ำ ใบหน้างดงามราวกับหิมะ และผมสีดำขลับของนางก็สยายราวกับก้อนเมฆ นางนอนตะแคงบนม้านั่งนุ่ม ๆ ร่างอันสง่างามของนางได้รับการพรรณนาอย่างหมดจดเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ไร้ขอบเขตของนาง
หากต้วนมู่เจ๋ออยู่ที่นี่ เขาย่อมจำสตรีผู้นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะนางเป็นเจ้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอกแห่งนี้ ท่านหญิงสุ่ยฮวา!
ผู้คนเล่าลือกันว่า ท่านหญิงสุ่ยฮวาเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ซ่ง นางมีสายเลือดของราชวงศ์และมีสถานะอันสูงส่ง อีกทั้งการบ่มเพาะของนางยังลึกล้ำจนน้อยคนนักจะหยั่งถึง
ภายในเมืองแห่งทะเลหมอก แทบไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นนาง หรือแม้แต่ในดินแดนทางตอนใต้ทั้งหมดสถานะของท่านหญิงสุ่ยฮวานับว่าไม่ธรรมดา
“เกือบทั้งหมดของพวกมันเป็นวัตถุดิบวิญญาณที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเจอตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนหรือ?” คิ้วที่มีเสน่ห์ของท่านหญิงสุ่ยฮวาขมวดเข้าหากัน และนางก็กล่าวต่อว่า “ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าประหลาดใจ เจ้ามาหาข้าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ?” เสียงของนางแหบแห้งแต่แฝงไปด้วยอำนาจดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับถูกอุ้งเท้าแมวข่วนไปที่หัวใจ ทำให้ผู้คนไม่อาจยับยั้งการตื่นเต้นและเพ้อฝันของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม หัวใจของเล่อฉีกลับสั่นสะท้าน ดูเหมือนจะเกรงกลัวต่อสตรีผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง เขาจึงรีบกล่าวว่า “ข้ามารายงานให้นายหญิงทราบ มูลค่าของวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้แม้มีมูลค่าสูง แต่ก็ยังถือว่าไม่มาก สิ่งที่ข้าสงสัยคือ ในเมื่อเขาครอบครองวัตถุดิบวิญญาณระดับต่ำที่ไม่มีผู้ใดพบเจอมานานแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะครอบครองวัตถุดิบวิญญาณระดับสูงอันล้ำค่าที่สาบสูญไปจากโลกเช่นกัน?”
“อืม” ดวงตาเรียวของท่านหญิงสุ่ยฮวาเผยให้เห็นร่องรอยของความคิดที่ลึกซึ้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าหาที่มาของเขาได้หรือเปล่า”
“เขามีนามว่าเฉินซี คาดว่าเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ส่วนคนอื่น ๆ ข้าน้อยไม่รู้… โอ้ จริงสิ ในครั้งนี้เขามาพร้อมกับนายน้อยจากตระกูลต้วนมู่” เล่อฉีได้ตอบกลับ
“ตระกูลต้วนมู่?” ท่านหญิงสุ่ยฮวาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงสั่ง “มอบวารีวิญญาณให้เขา 1.5 ล้านชั่ง จากนั้นจงมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้แก่เขา และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาอย่างเหมาะสม”
เล่อฉีตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หอขุมทรัพย์สวรรค์จะมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ให้กับแขกผู้มีเกียรติเท่านั้น และมันได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับ อันได้แก่ ทองแดง เงิน ทอง ทองคำม่วง และทองเมฆา ด้วยการใช้ตราเหล่านี้ ผู้ที่ครอบครองจะได้รับการดูแลระดับสูงสุดจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ไม่ว่าสาขาแห่งใดก็ตามในอาณาเขตของต้าซ่ง และยังได้รับส่วนลดพิเศษเมื่อเลือกซื้อสมบัติวิเศษอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในการมอบตราเหล่านี้เข้มงวดยิ่งนัก ถ้าหากไม่มีสถานะในระดับหนึ่ง แม้แต่ตราทองแดงก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ
เท่าที่เล่อฉีทราบมา ตราขุมทรัพย์สวรรค์สีทองคำม่วงจะมอบให้แก่เหล่าผู้นำตระกูล ผู้นำนิกาย หรือผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำ ระดับความล้ำค่าของมันเพียงด้อยกว่าตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำเมฆาเท่านั้น!
ภายในต้าซ่งทั้งหมด มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่มีตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำเมฆา สถานะ อัตลักษณ์ และความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุดที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ควบคุมขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่
แม้แต่เจ้าเมืองแห่งเมืองทะเลหมอกก็ยังได้รับเพียงตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
ในเวลานี้ เมื่อเขาได้ยินท่านหญิงสุ่ยฮวาต้องการมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้เป็นของขวัญแก่เฉินซี ความตกตะลึงได้ก่อขึ้นในหัวใจของเล่อฉี จนไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และตกอยู่ในภวังค์เงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน
“มีอะไรให้ตกใจหรือ?” ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าวอย่างเชื่องช้า “มันเป็นเพียงตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง หากไม่มีผู้ใดใช้มัน มันก็เป็นแค่เศษเหล็กชิ้นหนึ่ง”
เล่อฉีเริ่มกล่าวอย่างลังเล “แต่…”
“เจ้าออกไปได้แล้ว อีกไม่นานข้าจะกลับไปที่นครหลวงธารสายไหม ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะจากไปเจ้าจงรีบไปค้นหาภูมิหลังของเฉินซีให้ชัดเจน แล้วนำมารายงานให้ข้าทราบ” ท่านหญิงสุ่ยฮวาโบกมืออย่างเกียจคร้าน
“บ่าวรับทราบ!” เล่อฉีเต็มไปด้วยความสงสัยขณะหันหลังกลับและจากไป
ไม่นานนักหลังจากที่เล่อฉีจากไป ท่านหญิงสุ่ยฮวาดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดก่อนจะพึมพำกับตนเอง “เฉินซี…เขาควรจะเป็นผู้รอดชีวิตจากตระกูลเฉินที่ถูกคนกลุ่มนั้นกวาดล้าง มารดาของเขาก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา หึ ๆ ช่างน่าสนใจจริง ข้าจะหว่านโชคชะตาร่วมกับเขา และดูว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่…” เสียงของนางแผ่วลงเรื่อย ๆ ราวกับเสียงลมพัดผ่าน
…
“วารีวิญญาณ 1.5 ล้านชั่ง!”
“ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง!”
กลุ่มของตู้ชิงซีแทบไม่อยากเชื่อสายตาและหูตัวเอง ทั้งหมดต่างจ้องมองไปที่เฉินซีราวกับว่าพวกเขากำลังดูตัวประหลาด
แม้ว่าพวกเขาจะมีตระกูลหนุนหลังอยู่ แต่วารีวิญญาณ 1.5 ล้านชั่ง ก็เป็นจำนวนที่มหาศาลเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกับตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง มันกลับทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุด แม้แต่ในตระกูลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ครอบครองตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง!
เมื่อเล่อฉีที่อยู่ใกล้เคียงได้เห็นฉากนี้ เขาก็ถอนหายใจยาวเช่นกัน เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดท่านหญิงสุ่ยฮวาถึงทำเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่เพิ่มราคามากกว่าเดิม อีกทั้งนางยังมอบตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วงให้เป็นของขวัญอีกด้วย!
เป็นเพราะวัตถุดิบวิญญาณเหล่านี้หรือ?
มันย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน!
เล่อฉีไม่เชื่อว่าท่านหญิงสุ่ยฮวาผู้ฉลาดหลักแหลมจะทำสิ่งนี้โดยไร้เหตุผล ดังนั้นมันย่อมมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน!
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประเมินเฉินซีอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีความลับที่น่าตกตะลึงซุกซ่อนอยู่?
เฉินซีไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก เขามาที่หอขุมทรัพย์สวรรค์เพียงต้องการขายวัตถุดิบวิญญาณที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา และต้องการซื้อเคล็ดวิชาค่ายกลกระบี่กับสมบัติวิเศษบางอย่างเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง
เขาต้องการซื้อเคล็ดวิชาค่ายกลกระบี่เพื่อใช้ร่วมกับกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่ม และต้องการซื้อสมบัติวิเศษเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของเขา ท้ายที่สุด แม้ว่ากระบี่ไผ่ทองคำนิลจะคมกริบ แต่ก็ยังไม่ถือว่ายอดเยี่ยมพอ เนื่องจากมันยังเป็นศัสตราวิเศษที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลา พลังของมันจึงห่างไกลจากการแสดงอานุภาพอันสมบูรณ์
‘ช่างน่าเสียดายที่ข้ามีเวลาไม่มากพอ และต้องรีบออกจากเมืองภายในวันพรุ่งนี้ หากมีโอกาสคงต้องขอให้ผู้ขัดเกลาศัสตราชั้นยอดช่วยขัดเกลากระบี่ไผ่ทองคำนิลให้แก่ข้า ดังนั้นหลังจากนี้ข้าควรใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลเท่าที่จำเป็น หากบังเอิญมีผู้พบเห็นและมีเจตนาร้ายต่อข้า มันย่อมเป็นผลร้ายตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย’
เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกสัตว์อสูรแล้ว ผู้บ่มเพาะมนุษย์นั้นโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่า ดังนั้นเขาจึงควรระมัดระวังการถูกสังหารและถูกแย่งชิงทรัพย์สมบัติไป
ชายหนุ่มไม่อาจทนต่อการถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของตู้ชิงซีและคนอื่น ๆ ที่มองมายังเขาได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงกล่าวว่า “อาจารย์เล่อ หอขุมทรัพย์สวรรค์มีคัมภีร์ที่เกี่ยวกับค่ายกลกระบี่ขายหรือไม่”
“อ่า” เล่อฉีดูเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน จากนั้นก็พยักหน้ารับและกล่าวว่า “แน่นอน พวกเราย่อมมีอยู่แล้ว!” ขณะที่เขากล่าว เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป แผ่นหยกที่มีหมอกล้อมรอบก็ปรากฏในมือของเฉินซี
“สิ่งนี้คือคัมภีร์ครอบจักรวาลของหอขุมทรัพย์สวรรค์ สมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ขายล้วนมีรายชื่อระบุอยู่ในแผ่นหยกนี้ และมีสมบัติที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลกระบี่อย่างน้อยหนึ่งพันประเภท ยิ่งไปกว่านั้นทุกชิ้นล้วนมีคุณภาพสูงสุด สหายเต๋าลองดูว่ามีสิ่งใดที่ท่านต้องการหรือไม่” เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ตนเองถนัด เล่อฉีก็มีท่าทางที่มีเกียรติและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
คัมภีร์ครอบจักรวาลของหอขุมทรัพย์สวรรค์?
เฉินซีโคจรปราณแท้ลงไปยังแผ่นหยกทันทีจากนั้นฉากที่น่าอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าของเขา!
[1] ยาที่มีฤทธิ์หยางอย่างแรง เป็นการเปรียบเปรยถึงยาปลุกกำหนัด
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
แสงไฟที่สว่างไสวอยู่ในขณะนี้มันคือเมืองทะเลหมอก
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี เมื่อเรือเหาะสมบัติอยู่ห่างจากตัวเมืองราวยี่สิบห้าลี้ เฉินซีก็สามารถเห็นป้ายชื่อเมืองได้อย่างชัดเจน และข้อมูลของเมืองทะเลหมอกก็ปรากฏขึ้นในใจเขาทันที
เมืองทะเลหมอกเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในดินแดนทางตอนใต้รองลงมาจากเมืองทะเลสาบมังกร มันได้นามนี้จากทะเลหมอกที่อยู่ใกล้เคียง เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของทางตอนใต้ บรรดาสินค้าของตอนใต้จะถูกรวบรวมไว้ที่นี่ก่อนจะถูกกระจายไปยังเมืองต่าง ๆ ทุกสารทิศ การค้าขายนับว่าเจริญรุ่งเรืองทำให้บรรดาพ่อค้ามักมารวมตัวกันที่เมืองนี้
หากพูดถึงความหรูหรา แม้แต่เมืองทะเลสาบมังกรก็นับว่าด้อยกว่าเมืองทะเลหมอกมาก!
แน่นอนว่าเมืองทะเลสาบมังกรเป็นหัวใจของดินแดนทางตอนใต้ นิกายโบราณ ตระกูลและสำนักต่าง ๆ มักก่อตั้งอยู่ที่นั่น มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่อยู่ในใจของเหล่าผู้บ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้เสมอ
“มันคือเมืองทะเลหมอกจริง ๆ นับว่าเป็นเมืองที่หรูหราที่สุดในดินแดนทางตอนใต้ และเจ้าสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการในที่แห่งนี้ เช่นสมบัติวิเศษ หุ่นเชิด โอสถ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ… และแม้แต่นารีผู้งามงดหรือสมบัติหายากของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จากท้องทะเล ตราบใดที่กระเป๋าของเจ้าหนาพอ เจ้าก็สามารถหาซื้ออะไรก็ได้!” ดวงตาของต้วนมู่เจ๋อเป็นประกาย เพียงเท่านี้ก็รับรู้ได้ว่า นายน้อยต้วนมู่ผู้นี้มักมาเที่ยวเล่นในเมืองทะเลหมอกเป็นประจำ และรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้จึงสามารถเล่าได้อย่างละเอียด
“โอ้ ข้าอยากไปภัตตาคารเซียนหลงระเริง ที่นั่นมีพ่อครัววิญญาณระดับห้าใบไม้ประจำอยู่ อาหารที่ปรุงโดยพ่อครัววิญญาณคนนั้นเป็นที่ต้องการของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำอยู่เสมอ” เมื่อซ่งหลินกล่าวถึงอาหาร ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที สายตาคู่นั้นดูเร่าร้อนและตื่นตัว หาได้มีอาการง่วงซึมเช่นที่ผ่านมา
“เมืองทะเลหมอกอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรเพียงเจ็ดพันห้าร้อยลี้ แต่อยู่ห่างจากเมืองหมอกสนอย่างน้อยสองหมื่นห้าพันลี้” ตู้ชิงซีมองไปที่เฉินซีและกล่าวว่า “เหตุใดเราไม่พักที่เมืองนี้สักวัน แล้วค่อยออกเดินทางต่อ?”
เฉินซีรู้สึกกังวลและต้องการที่จะกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่า มีสมบัติมากมายที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋ามิติที่เขาต้องการขาย ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงตอบตกลง
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินผู้คนพูดถึงหอขุมทรัพย์สวรรค์ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองทะเลหมอก ภายในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่าง และขายทุกสิ่งตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีวิธีค้าขายในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การประมูลหรือการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และยังมีสาขาอยู่มากมายที่สามารถพบเจอได้ทั่วราชวงศ์ซ่ง
หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอกก็เป็นหนึ่งในสาขาของมัน และเป็นสถานที่สำหรับใช้จ่ายเงินทองที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดงทางตอนใต้
ต้วนมู่เจ๋อถูฝ่ามือเข้าด้วยกันขณะกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หืม? เจ้าต้องการไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์หรือ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้ารู้จักสถานที่แห่งนั้นดี”
“ตกลง ข้าคงต้องรบกวนพี่ต้วนมู่แล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ จะเป็นการดี ถ้ามีคนที่เขาคุ้นเคยตามไปด้วย มันย่อมปลอดภัยกว่า
“ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“พวกข้าว่างพอดี ดังนั้นเราไปด้วยกันเถอะ”
ซ่งหลินกับตู้ชิงซีก็กล่าวเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาต้องการติดตามเฉินซี
เฉินซีตกตะลึงแล้วหันกลับไปมองเซวี่ยจิง โม่หาน และตี้หงถู่ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้ทราบที่มาของคนทั้งสาม เซวี่ยจิงเป็นศิษย์ของนิกายนิรันดร์ โม่หานเป็นศิษย์ของนิกายพิภพกระจ่าง และตี้หงถู่เป็นศิษย์นิกายสุริยันคราม นิกายของทั้งสามล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนิกายใหญ่ทั้งแปดของเมืองทะเลสาบมังกร ซึ่งมีทรัพยากรและมรดกเก่าแก่ซุกซ่อนอยู่มากมาย นิกายของพวกเขาเหนือกว่าตระกูลใหญ่ทั้งหกที่อยู่เบื้องหลังพวกตู้ชิงซีเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนอยู่กลุ่มเดียวกับซูเจียว เฉินซีจึงถือว่าเป็นฝ่ายศัตรู ถึงแม้จะไม่เคยมีข้อบาดหมางระหว่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลายเป็นสหาย
“สหายเต๋าเฉินซี ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกข้า ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือพวกเราออกจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องขอตัวลาไปก่อน หากมีโอกาสพบเจอที่เมืองทะเลสาบมังกรอีกครั้ง พวกเราจะจัดงานต้อนรับอย่างอบอุ่นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเจ้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” โม่หานผู้มีนิสัยมั่นคงเดินมาข้างหน้าและโค้งคำนับขณะที่เขากล่าว
เฉินซีป้องมือรับแต่ไม่ได้กล่าวอะไร การไม่ฆ่าพวกเขาก็นับว่าปรานีแล้ว ส่วนคำชื่นชมที่โม่หานกล่าว เฉินซีไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ตราบใดที่ไม่แทงข้างหลังกันก็เพียงพอ
กลุ่มของโม่หานไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงจากเรือเหาะสมบัติก่อนจะบินไปยังเมืองทะเลหมอก
“อันที่จริง สามคนนี้มีความสัมพันธ์กับซูเจียวเพียงผิวเผิน และเหตุผลที่พวกเขาอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซู” ตู้ชิงซีกล่าวเบา ๆ
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “อย่ากล่าวถึงนางอีกเลย มันทำให้อารมณ์ขุ่นมัว แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเจ้า”
“ใครให้เราเป็นสหายกันล่ะ” ตู้ชิงซียิ้มตอบเช่นกัน
หลังจากที่เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติ พวกเขาก็ไม่รอช้าและพุ่งทะยานไปยังเมืองทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเมือง พื้นที่โล่งกว้างก็ได้ปรากฏสู่สายตาพวกเขา พื้นดินในรัศมีหนึ่งลี้ครึ่งราบเรียบไม่มีหินกรวดสักก้อน แถวของอาคารต่าง ๆ คดเคี้ยวไปตามถนนหินปูนที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
แม้ยามนี้จะพลบค่ำ แต่เมืองก็ยังสว่างไสวเหมือนยามเช้า
ทั้งเมืองถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสัน แสงไฟหลากสีสันต่างส่องประกายระยิบระยับอยู่ตามทุกมุมถนน ทำให้มันสว่างไสวราวกับมังกรไฟนับไม่ถ้วนที่กำลังบิดตัวไปมา
มันช่างงดงาม เจิดจรัสและตระการตา…
เมื่อเห็นฉากที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งเช่นนี้ เฉินซีไม่อาจกล่าววาจาใด ๆ เขาเดินผ่านประตูเมืองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ราวกับว่าเขากำลังก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง
ผู้บ่มเพาะมากหน้าหลายตาสามารถพบเห็นได้ทุกที่บนถนนอันกว้างขวาง พวกเขาสวมเสื้อผ้าและมีตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่ามาจากนิกายต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีผู้บ่มเพาะหลายคนที่เป็นเหมือนพ่อค้าเร่กางแผงขายของอยู่ข้างถนนร้องเรียกลูกค้าจนเสียงดังไปทั่ว บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
เฉินซีเห็นผู้บ่มเพาะบางคนที่มาจากดินแดนอื่นกำลังขี่ม้าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดไปตามถนนอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ เท่าที่สังเกต ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง รูปพรรณ หรือเครื่องแต่งกาย ล้วนแปลกตานัก จึงสรุปได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางตอนใต้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ต้องผวาอยู่ในใจ เพราะเวลานั้น เขาได้พบเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างน้อยสามสิบคน มีแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสองสามคนที่ผ่านตาเขาไป!
ที่แห่งนี้มีปรมาจารย์มากมายราวกับมวลเมฆ!
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองนี้แล้ว เมืองหมอกสนเปรียบเสมือนเมืองกันดารไร้ซึ่งอารยธรรมไปเลย
ในเมืองหมอกสน ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคือตัวตนที่เรียกได้ว่าอยู่บนจุดสุงสุด ในขณะที่เมืองทะเลหมอก ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกลับพบเห็นได้ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเมืองนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
พวกเขาเดินและมองไปรอบ ๆ ทั้งวัน ไม่นานนัก กลุ่มของเฉินซีก็มาถึงเบื้องหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่อันโดดเด่นที่สุดในระแวก
“เฮ้ นี่ไง หอขุมทรัพย์สวรรค์” ต้วนมู่เจ๋อมีท่าทางตื่นเต้น
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในทันที อาคารที่อยู่ข้างหน้าเขาสูงอย่างน้อยราวร้อยจั้ง ครอบคลุมพื้นที่กว่ายี่สิบห้าลี้ ดูเหมือนมันจะทำมาจากหยกขาวทั้งหลัง โคมผลึกแก้วจำนวนมากซึ่งแขวนอยู่ใต้หลังคาอันวิจิตรงดงามต่างหมุนไปมา ลำแสงเรืองรองส่องสว่างไปทุกทิศทุกทางและมีกลิ่นอายของสมบัติวิเศษพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น ความผันผวนอันน่าตกตะลึงของพลังแผ่กระจายออกมาอย่างน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่ามีการจัดวางค่ายกลป้องกันที่ทรงอานุภาพไว้
“หอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งนี้ได้รวบรวมสมบัติล้ำค่ามากมาย และราชวงศ์ซ่งก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะนอกจากจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำเจ็ดคนคอยรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติรั้งอยู่เช่นกัน” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับหอขุมทรัพย์สวรรค์เป็นอย่างดี
“อ๊ะ! คุณชายต้วนมู่นี่นา! โปรดเชิญเข้ามา โปรดเชิญเข้ามา!” เมื่อเห็นต้วนมู่เจ๋อ ดวงตาของสาวใช้ที่มีรูปลักษณ์งดงามก็เปล่งประกาย จากนั้นนางก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
ต้วนมู่เจ๋อพยักหน้าอย่างสบาย ๆ อย่างสงวนท่าที
‘ไม่นึกเลยว่าคนผู้นี้จะมีชื่อเสียงขนาดนี้ แม้แต่ข้ารับใช้ก็ยังรู้จักเขา’ เฉินซีลอบคิดพลางเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อด้วยความประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะประเมินอิทธิพลของหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรเสียใหม่
“ช่วยเตรียมห้องพักให้หน่อย พี่น้องของข้าต้องการขายสมบัติบางอย่าง อืม เชิญผู้ประเมินมาด้วย” ต้วนมู่เจ๋อสั่งออกไป
“นายน้อย โปรดตามข้ามาได้เลย” ตอนนี้สาวใช้เพิ่งสังเกตเห็นเฉินซี นางประเมินเขาเล็กน้อยก่อนจะที่ถอนสายตา รอยยิ้มของนางก็สงวนท่าทีมากขึ้น นางไม่กล้าหมิ่นใครก็ตามที่อยู่กับต้วนมู่เจ๋อ แม้ว่าเฉินซีจะแต่งตัวซอมซ่อก็ตาม
เฉินซีและคนอื่น ๆ ตามหลังสาวใช้เข้าไปในหอขุมทรัพย์สวรรค์ ผ่านทางเดินคดเคี้ยวกว้างขวางซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จนกระทั่งไปถึงห้องพักที่ดูโอ่อ่าห้องหนึ่ง
ถึงจะเรียกว่าห้องพัก แต่พื้นที่ข้างในนั้นกว้างกว่าร้อยฉื่อ พื้นปูด้วยพรมสีแดงเข้มและมีกระถางธูปลายสัตว์มงคลที่มีควันลอยขึ้นมา ห้องถูกล้อมรอบไปด้วยฉากกั้นที่มีภาพวาดทิวทัศน์ และเสียงดนตรีที่ไพเราะน่าฟังก็ค่อย ๆ บรรเลงขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบและหรูหรา
หญิงรับใช้นำผลไม้สดและสุราชั้นดีมาส่งก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
ช่างเป็นสถานที่ที่ดีนัก!
เฉินซีลอบถอนหายใจ เขามองแวบเดียวก็พบว่าทั้งห้องถูกวางค่ายกลขนาดใหญ่ ซึ่งควบแน่นปราณวิญญาณปริมาณมากเอาไว้ และยังสามารถขจัดการดักฟังจากภายนอกได้อีกด้วย
“ผู้ประเมินของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เล่อฉีขอเข้าพบนายน้อยต้วนมู่!” หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงทุ้มดังออกมาจากภายนอกประตู
“เชิญเข้ามา” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวตอบ
ต่อจากนั้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาผลักประตูเข้ามา เขาป้องมือคารวะให้แก่ทุกคน ขณะที่เอ่ยถาม “ข้าขอเรียนถาม ผู้มีเกียรติท่านไหนที่ต้องการขายสมบัติบ้าง? ข้าขอดูเพื่อประเมินราคาได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทานี้มีนามว่า ‘เล่อฉี’ แม้คนผู้นี้จะไม่ถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ยโส ท่าทีของเขาไม่กระตือรือร้นและไม่ร้อนรน ซึ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้านการประเมินอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์เล่อฉีเป็นผู้ประเมินที่มากไปด้วยประสบการณ์ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เขามีดวงตาเฉียบแหลมซึ่งเต็มไปด้วยภูมิปัญญาและทักษะสูงที่สุดในการประเมินสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้รับการประเมินจากเขา เฉินซีเจ้าวางแผนที่จะขายสมบัติอะไร”
ต้วนมู่เจ๋อหันไปมองเฉินซีด้วยสายตาที่เร่าร้อน ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นว่าเขาต้องการขายสิ่งใดบ้าง
ไม่ใช่แค่ต้วนมู่เจ๋อ แม้แต่ตู้ชิงซีและซ่งหลินก็อยากรู้เช่นกัน ท้ายที่สุด หากมันเป็นของธรรมดาทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องมาขายที่นี่ ถึงแม้หอขุมทรัพย์สวรรค์นับว่าไม่เลว แต่ก็เก็บค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
“มากมาย” คำตอบของเฉินซีเถรตรงเด็ดขาด จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อ
ทันใดนั้น สมบัติล้ำค่ามหาศาลที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงแห่งปราณวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนพื้น มีทั้งสมุนไพรวิญญาณ ไม้วิญญาณ วัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างสมบัติวิเศษ วัตถุดิบที่หายากและล้ำค่า… พวกมันถูกกองรวมกันราวกับภูเขาสมบัติ ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสีที่เปล่งประกาย
เฮือก!
นอกจากเฉินซี ทุกคนในห้องต่างก็อ้าปากค้าง
สวรรค์! สมบัติมากมายขนาดนี้เลยหรือ?
“สิ่งของเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ข้าต้องการแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณ ท่านอาจารย์เล่อโปรดตรวจสอบด้วย” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
สมบัติเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าแสนชิ้น ซึ่งยึดมาจากราชาวานรทมิฬและราชาอสูรอีกสามตน นอกจากนี้ บางส่วนก็เป็นของกำนัลจากเหล่าสัตว์อสูรในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ที่มอบให้เขาเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่เป็นของจำพวกสมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าของโลกภายนอก
แต่น่าเสียดายที่คุณภาพของพวกมันไม่สูงนักและไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะแลกเปลี่ยนพวกมันทั้งหมดกับวารีจิตวิญญาณ เพื่อใช้สำหรับการบ่มเพาะของตนเอง
“ขอ… ขอเวลาข้านับมันสักครู่” เล่อฉีสูดลมหายใจเข้าลึก เขาแทบไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ จากนั้นเขาก็เป็นเหมือนเสือที่หิวโหยกระโจนเข้าหาอาหารของมัน ขณะลุยเข้าไปในกองภูเขาสมบัติและทำรายการทีละชิ้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้ประเมินเช่นเล่อฉี การมีสมบัติมากมายให้เขาได้ประเมิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย
Comments
บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] บทที่ 92 ตราขุมทรัพย์สวรรค์ทองคำม่วง
บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
บทที่ 91 เมืองทะเลหมอก
แสงไฟที่สว่างไสวอยู่ในขณะนี้มันคือเมืองทะเลหมอก
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี เมื่อเรือเหาะสมบัติอยู่ห่างจากตัวเมืองราวยี่สิบห้าลี้ เฉินซีก็สามารถเห็นป้ายชื่อเมืองได้อย่างชัดเจน และข้อมูลของเมืองทะเลหมอกก็ปรากฏขึ้นในใจเขาทันที
เมืองทะเลหมอกเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในดินแดนทางตอนใต้รองลงมาจากเมืองทะเลสาบมังกร มันได้นามนี้จากทะเลหมอกที่อยู่ใกล้เคียง เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของทางตอนใต้ บรรดาสินค้าของตอนใต้จะถูกรวบรวมไว้ที่นี่ก่อนจะถูกกระจายไปยังเมืองต่าง ๆ ทุกสารทิศ การค้าขายนับว่าเจริญรุ่งเรืองทำให้บรรดาพ่อค้ามักมารวมตัวกันที่เมืองนี้
หากพูดถึงความหรูหรา แม้แต่เมืองทะเลสาบมังกรก็นับว่าด้อยกว่าเมืองทะเลหมอกมาก!
แน่นอนว่าเมืองทะเลสาบมังกรเป็นหัวใจของดินแดนทางตอนใต้ นิกายโบราณ ตระกูลและสำนักต่าง ๆ มักก่อตั้งอยู่ที่นั่น มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่อยู่ในใจของเหล่าผู้บ่มเพาะในดินแดนทางตอนใต้เสมอ
“มันคือเมืองทะเลหมอกจริง ๆ นับว่าเป็นเมืองที่หรูหราที่สุดในดินแดนทางตอนใต้ และเจ้าสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการในที่แห่งนี้ เช่นสมบัติวิเศษ หุ่นเชิด โอสถ เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ… และแม้แต่นารีผู้งามงดหรือสมบัติหายากของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จากท้องทะเล ตราบใดที่กระเป๋าของเจ้าหนาพอ เจ้าก็สามารถหาซื้ออะไรก็ได้!” ดวงตาของต้วนมู่เจ๋อเป็นประกาย เพียงเท่านี้ก็รับรู้ได้ว่า นายน้อยต้วนมู่ผู้นี้มักมาเที่ยวเล่นในเมืองทะเลหมอกเป็นประจำ และรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้จึงสามารถเล่าได้อย่างละเอียด
“โอ้ ข้าอยากไปภัตตาคารเซียนหลงระเริง ที่นั่นมีพ่อครัววิญญาณระดับห้าใบไม้ประจำอยู่ อาหารที่ปรุงโดยพ่อครัววิญญาณคนนั้นเป็นที่ต้องการของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำอยู่เสมอ” เมื่อซ่งหลินกล่าวถึงอาหาร ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที สายตาคู่นั้นดูเร่าร้อนและตื่นตัว หาได้มีอาการง่วงซึมเช่นที่ผ่านมา
“เมืองทะเลหมอกอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรเพียงเจ็ดพันห้าร้อยลี้ แต่อยู่ห่างจากเมืองหมอกสนอย่างน้อยสองหมื่นห้าพันลี้” ตู้ชิงซีมองไปที่เฉินซีและกล่าวว่า “เหตุใดเราไม่พักที่เมืองนี้สักวัน แล้วค่อยออกเดินทางต่อ?”
เฉินซีรู้สึกกังวลและต้องการที่จะกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่า มีสมบัติมากมายที่ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋ามิติที่เขาต้องการขาย ดังนั้นท้ายที่สุดเขาจึงตอบตกลง
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ยินผู้คนพูดถึงหอขุมทรัพย์สวรรค์ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองทะเลหมอก ภายในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่าง และขายทุกสิ่งตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีวิธีค้าขายในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การประมูลหรือการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และยังมีสาขาอยู่มากมายที่สามารถพบเจอได้ทั่วราชวงศ์ซ่ง
หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลหมอกก็เป็นหนึ่งในสาขาของมัน และเป็นสถานที่สำหรับใช้จ่ายเงินทองที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดงทางตอนใต้
ต้วนมู่เจ๋อถูฝ่ามือเข้าด้วยกันขณะกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หืม? เจ้าต้องการไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์หรือ? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้ารู้จักสถานที่แห่งนั้นดี”
“ตกลง ข้าคงต้องรบกวนพี่ต้วนมู่แล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ จะเป็นการดี ถ้ามีคนที่เขาคุ้นเคยตามไปด้วย มันย่อมปลอดภัยกว่า
“ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“พวกข้าว่างพอดี ดังนั้นเราไปด้วยกันเถอะ”
ซ่งหลินกับตู้ชิงซีก็กล่าวเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาต้องการติดตามเฉินซี
เฉินซีตกตะลึงแล้วหันกลับไปมองเซวี่ยจิง โม่หาน และตี้หงถู่ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ระหว่างทางมาที่นี่ เขาได้ทราบที่มาของคนทั้งสาม เซวี่ยจิงเป็นศิษย์ของนิกายนิรันดร์ โม่หานเป็นศิษย์ของนิกายพิภพกระจ่าง และตี้หงถู่เป็นศิษย์นิกายสุริยันคราม นิกายของทั้งสามล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนิกายใหญ่ทั้งแปดของเมืองทะเลสาบมังกร ซึ่งมีทรัพยากรและมรดกเก่าแก่ซุกซ่อนอยู่มากมาย นิกายของพวกเขาเหนือกว่าตระกูลใหญ่ทั้งหกที่อยู่เบื้องหลังพวกตู้ชิงซีเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาทั้งสามคนอยู่กลุ่มเดียวกับซูเจียว เฉินซีจึงถือว่าเป็นฝ่ายศัตรู ถึงแม้จะไม่เคยมีข้อบาดหมางระหว่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลายเป็นสหาย
“สหายเต๋าเฉินซี ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกข้า ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือพวกเราออกจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องขอตัวลาไปก่อน หากมีโอกาสพบเจอที่เมืองทะเลสาบมังกรอีกครั้ง พวกเราจะจัดงานต้อนรับอย่างอบอุ่นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเจ้าที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” โม่หานผู้มีนิสัยมั่นคงเดินมาข้างหน้าและโค้งคำนับขณะที่เขากล่าว
เฉินซีป้องมือรับแต่ไม่ได้กล่าวอะไร การไม่ฆ่าพวกเขาก็นับว่าปรานีแล้ว ส่วนคำชื่นชมที่โม่หานกล่าว เฉินซีไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ตราบใดที่ไม่แทงข้างหลังกันก็เพียงพอ
กลุ่มของโม่หานไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นพวกเขาก็กระโดดลงจากเรือเหาะสมบัติก่อนจะบินไปยังเมืองทะเลหมอก
“อันที่จริง สามคนนี้มีความสัมพันธ์กับซูเจียวเพียงผิวเผิน และเหตุผลที่พวกเขาอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซู” ตู้ชิงซีกล่าวเบา ๆ
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “อย่ากล่าวถึงนางอีกเลย มันทำให้อารมณ์ขุ่นมัว แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเจ้า”
“ใครให้เราเป็นสหายกันล่ะ” ตู้ชิงซียิ้มตอบเช่นกัน
หลังจากที่เฉินซีเก็บเรือเหาะสมบัติ พวกเขาก็ไม่รอช้าและพุ่งทะยานไปยังเมืองทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเมือง พื้นที่โล่งกว้างก็ได้ปรากฏสู่สายตาพวกเขา พื้นดินในรัศมีหนึ่งลี้ครึ่งราบเรียบไม่มีหินกรวดสักก้อน แถวของอาคารต่าง ๆ คดเคี้ยวไปตามถนนหินปูนที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
แม้ยามนี้จะพลบค่ำ แต่เมืองก็ยังสว่างไสวเหมือนยามเช้า
ทั้งเมืองถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและของประดับตกแต่งหลากสีสัน แสงไฟหลากสีสันต่างส่องประกายระยิบระยับอยู่ตามทุกมุมถนน ทำให้มันสว่างไสวราวกับมังกรไฟนับไม่ถ้วนที่กำลังบิดตัวไปมา
มันช่างงดงาม เจิดจรัสและตระการตา…
เมื่อเห็นฉากที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งเช่นนี้ เฉินซีไม่อาจกล่าววาจาใด ๆ เขาเดินผ่านประตูเมืองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ราวกับว่าเขากำลังก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง
ผู้บ่มเพาะมากหน้าหลายตาสามารถพบเห็นได้ทุกที่บนถนนอันกว้างขวาง พวกเขาสวมเสื้อผ้าและมีตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่ามาจากนิกายต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีผู้บ่มเพาะหลายคนที่เป็นเหมือนพ่อค้าเร่กางแผงขายของอยู่ข้างถนนร้องเรียกลูกค้าจนเสียงดังไปทั่ว บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
เฉินซีเห็นผู้บ่มเพาะบางคนที่มาจากดินแดนอื่นกำลังขี่ม้าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดไปตามถนนอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ เท่าที่สังเกต ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าทาง รูปพรรณ หรือเครื่องแต่งกาย ล้วนแปลกตานัก จึงสรุปได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้บ่มเพาะจากดินแดนทางตอนใต้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปชายหนุ่มก็ต้องผวาอยู่ในใจ เพราะเวลานั้น เขาได้พบเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างน้อยสามสิบคน มีแม้กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสองสามคนที่ผ่านตาเขาไป!
ที่แห่งนี้มีปรมาจารย์มากมายราวกับมวลเมฆ!
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองนี้แล้ว เมืองหมอกสนเปรียบเสมือนเมืองกันดารไร้ซึ่งอารยธรรมไปเลย
ในเมืองหมอกสน ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคือตัวตนที่เรียกได้ว่าอยู่บนจุดสุงสุด ในขณะที่เมืองทะเลหมอก ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลกลับพบเห็นได้ทั่วไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเมืองนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
พวกเขาเดินและมองไปรอบ ๆ ทั้งวัน ไม่นานนัก กลุ่มของเฉินซีก็มาถึงเบื้องหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่อันโดดเด่นที่สุดในระแวก
“เฮ้ นี่ไง หอขุมทรัพย์สวรรค์” ต้วนมู่เจ๋อมีท่าทางตื่นเต้น
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงในทันที อาคารที่อยู่ข้างหน้าเขาสูงอย่างน้อยราวร้อยจั้ง ครอบคลุมพื้นที่กว่ายี่สิบห้าลี้ ดูเหมือนมันจะทำมาจากหยกขาวทั้งหลัง โคมผลึกแก้วจำนวนมากซึ่งแขวนอยู่ใต้หลังคาอันวิจิตรงดงามต่างหมุนไปมา ลำแสงเรืองรองส่องสว่างไปทุกทิศทุกทางและมีกลิ่นอายของสมบัติวิเศษพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น ความผันผวนอันน่าตกตะลึงของพลังแผ่กระจายออกมาอย่างน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่ามีการจัดวางค่ายกลป้องกันที่ทรงอานุภาพไว้
“หอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งนี้ได้รวบรวมสมบัติล้ำค่ามากมาย และราชวงศ์ซ่งก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะนอกจากจะมีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำเจ็ดคนคอยรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติรั้งอยู่เช่นกัน” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับหอขุมทรัพย์สวรรค์เป็นอย่างดี
“อ๊ะ! คุณชายต้วนมู่นี่นา! โปรดเชิญเข้ามา โปรดเชิญเข้ามา!” เมื่อเห็นต้วนมู่เจ๋อ ดวงตาของสาวใช้ที่มีรูปลักษณ์งดงามก็เปล่งประกาย จากนั้นนางก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส
ต้วนมู่เจ๋อพยักหน้าอย่างสบาย ๆ อย่างสงวนท่าที
‘ไม่นึกเลยว่าคนผู้นี้จะมีชื่อเสียงขนาดนี้ แม้แต่ข้ารับใช้ก็ยังรู้จักเขา’ เฉินซีลอบคิดพลางเหลือบมองต้วนมู่เจ๋อด้วยความประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะประเมินอิทธิพลของหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรเสียใหม่
“ช่วยเตรียมห้องพักให้หน่อย พี่น้องของข้าต้องการขายสมบัติบางอย่าง อืม เชิญผู้ประเมินมาด้วย” ต้วนมู่เจ๋อสั่งออกไป
“นายน้อย โปรดตามข้ามาได้เลย” ตอนนี้สาวใช้เพิ่งสังเกตเห็นเฉินซี นางประเมินเขาเล็กน้อยก่อนจะที่ถอนสายตา รอยยิ้มของนางก็สงวนท่าทีมากขึ้น นางไม่กล้าหมิ่นใครก็ตามที่อยู่กับต้วนมู่เจ๋อ แม้ว่าเฉินซีจะแต่งตัวซอมซ่อก็ตาม
เฉินซีและคนอื่น ๆ ตามหลังสาวใช้เข้าไปในหอขุมทรัพย์สวรรค์ ผ่านทางเดินคดเคี้ยวกว้างขวางซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม จนกระทั่งไปถึงห้องพักที่ดูโอ่อ่าห้องหนึ่ง
ถึงจะเรียกว่าห้องพัก แต่พื้นที่ข้างในนั้นกว้างกว่าร้อยฉื่อ พื้นปูด้วยพรมสีแดงเข้มและมีกระถางธูปลายสัตว์มงคลที่มีควันลอยขึ้นมา ห้องถูกล้อมรอบไปด้วยฉากกั้นที่มีภาพวาดทิวทัศน์ และเสียงดนตรีที่ไพเราะน่าฟังก็ค่อย ๆ บรรเลงขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบและหรูหรา
หญิงรับใช้นำผลไม้สดและสุราชั้นดีมาส่งก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
ช่างเป็นสถานที่ที่ดีนัก!
เฉินซีลอบถอนหายใจ เขามองแวบเดียวก็พบว่าทั้งห้องถูกวางค่ายกลขนาดใหญ่ ซึ่งควบแน่นปราณวิญญาณปริมาณมากเอาไว้ และยังสามารถขจัดการดักฟังจากภายนอกได้อีกด้วย
“ผู้ประเมินของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เล่อฉีขอเข้าพบนายน้อยต้วนมู่!” หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงทุ้มดังออกมาจากภายนอกประตู
“เชิญเข้ามา” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวตอบ
ต่อจากนั้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาผลักประตูเข้ามา เขาป้องมือคารวะให้แก่ทุกคน ขณะที่เอ่ยถาม “ข้าขอเรียนถาม ผู้มีเกียรติท่านไหนที่ต้องการขายสมบัติบ้าง? ข้าขอดูเพื่อประเมินราคาได้หรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทานี้มีนามว่า ‘เล่อฉี’ แม้คนผู้นี้จะไม่ถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ยโส ท่าทีของเขาไม่กระตือรือร้นและไม่ร้อนรน ซึ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้านการประเมินอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์เล่อฉีเป็นผู้ประเมินที่มากไปด้วยประสบการณ์ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ เขามีดวงตาเฉียบแหลมซึ่งเต็มไปด้วยภูมิปัญญาและทักษะสูงที่สุดในการประเมินสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้รับการประเมินจากเขา เฉินซีเจ้าวางแผนที่จะขายสมบัติอะไร”
ต้วนมู่เจ๋อหันไปมองเฉินซีด้วยสายตาที่เร่าร้อน ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นว่าเขาต้องการขายสิ่งใดบ้าง
ไม่ใช่แค่ต้วนมู่เจ๋อ แม้แต่ตู้ชิงซีและซ่งหลินก็อยากรู้เช่นกัน ท้ายที่สุด หากมันเป็นของธรรมดาทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องมาขายที่นี่ ถึงแม้หอขุมทรัพย์สวรรค์นับว่าไม่เลว แต่ก็เก็บค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
“มากมาย” คำตอบของเฉินซีเถรตรงเด็ดขาด จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อ
ทันใดนั้น สมบัติล้ำค่ามหาศาลที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงแห่งปราณวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนพื้น มีทั้งสมุนไพรวิญญาณ ไม้วิญญาณ วัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างสมบัติวิเศษ วัตถุดิบที่หายากและล้ำค่า… พวกมันถูกกองรวมกันราวกับภูเขาสมบัติ ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยแสงสีที่เปล่งประกาย
เฮือก!
นอกจากเฉินซี ทุกคนในห้องต่างก็อ้าปากค้าง
สวรรค์! สมบัติมากมายขนาดนี้เลยหรือ?
“สิ่งของเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ข้าต้องการแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณ ท่านอาจารย์เล่อโปรดตรวจสอบด้วย” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
สมบัติเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าแสนชิ้น ซึ่งยึดมาจากราชาวานรทมิฬและราชาอสูรอีกสามตน นอกจากนี้ บางส่วนก็เป็นของกำนัลจากเหล่าสัตว์อสูรในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ที่มอบให้เขาเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่เป็นของจำพวกสมุนไพรวิญญาณและไม้วิญญาณที่เป็นสมบัติล้ำค่าของโลกภายนอก
แต่น่าเสียดายที่คุณภาพของพวกมันไม่สูงนักและไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับเฉินซี จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะแลกเปลี่ยนพวกมันทั้งหมดกับวารีจิตวิญญาณ เพื่อใช้สำหรับการบ่มเพาะของตนเอง
“ขอ… ขอเวลาข้านับมันสักครู่” เล่อฉีสูดลมหายใจเข้าลึก เขาแทบไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ จากนั้นเขาก็เป็นเหมือนเสือที่หิวโหยกระโจนเข้าหาอาหารของมัน ขณะลุยเข้าไปในกองภูเขาสมบัติและทำรายการทีละชิ้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้ประเมินเช่นเล่อฉี การมีสมบัติมากมายให้เขาได้ประเมิน ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างไม่ต้องสงสัย
Comments