บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม

เมื่อได้ยินหลี่เหลียนเอ๋อร์บอกว่าจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ผู้สูงศักดิ์จื่อหยางก็ตกใจรีบพาศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับ

ไม่ว่าอย่างไรก็พาแม่นางมันหวานร้อนมือนี่กลับไปก่อนค่อยว่ากัน

ถึงอย่างไรเมื่อกลับถึงแดนเทวา ตนจะหาข้ออ้างออกไปทำภารกิจทันที ออกห่างไปให้ไกล

ถ้ายัยหนูนี่หนีออกจากบ้านสำเร็จจริงๆ จะโทษอย่างไรก็มาไม่ถึงตัวเขาแล้ว!

ศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับแล้ว ผู้อาวุโสและศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับ การฝึกครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลง

“พี่เสิ่นเทียน ข้าจะหมั่นฝึกฝนเพื่อมีคุณสมบัติมายืนข้างกายพี่ให้เร็วที่สุด!”

เซียวหลิงสวมอาภรณ์สีเขียว ทุกย่างก้าวจะเกิดดอกบัว ทำให้ศิษย์ฝ่ายเซียนมากมายเคลิบเคลิ้ม ทว่าสายตานางกลับหยุดที่เสิ่นเทียนตลอด

ตอนนี้ในความคิดเซียวหลิงนึกถึงคำพูดของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่อีกครั้ง

ภายภาคหน้าโอรสสวรรค์เยี่ยงศิษย์พี่ฉู่เหอกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนจะต้องเหาะขึ้นเป็นเซียนอย่างแน่นอน หากไม่มีพรสวรรค์พอจะเป็นเซียนก็ไม่คู่ควรกับพวกเขา สายสัมพันธ์คู่ชีวิตเช่นนี้สร้างแต่ความเศร้าประหนึ่งหยินหยางแยกจากกันชั่วนิรันดร์

คำพูดนี้เล่าลือว่าเป็นคำกล่าวตอนที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หรงเหอใช้ชื่อปลอมว่าฉู่เหอพูดกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่

ส่วนคำพูดเดิมเป็นอย่างไร ผ่านการเติมแต่งมาเองหรือไม่…

ไม่มีใครรู้มานานแล้ว

เซียวหลิงก็ตามผู้อาวุโสและศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกลับไปเช่นกัน คนในเมืองเล็กเซียนมีน้อยลงเรื่อยๆ

“ทุกคนไปขึ้นเรือเหาะเทพสวรรค์ เราก็จะกลับกันแล้ว”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวยิ้มอ่อนๆ พลางกำกับศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขึ้นเรือเหาะอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เมื่อเรือเหาะลอยขึ้นอีกครั้ง บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน

“สนามรบบรรพกาลเร้าใจจริงๆ มีแต่สัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะแกร่งๆ เต็มไปหมด แกร่งกว่าสัตว์อสูรปกติอีก”

“เถอะน่า! ถึงวิญญาณมรณะพวกนี้จะแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาสู้สัตว์อสูรไม่ได้เลย ขอแค่ร่วมมือรู้ใจกัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามถึงห้าคนร่วมมือกันก็สังหารสัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองได้แล้ว”

“การฝึกครั้งนี้เราได้ของกันมาเยอะเลย พอจะฝึกฝนสิบกว่าปี หวังว่าการฝึกฝนครั้งหน้าจะมาเร็วๆ หน่อย”

“พูดเหมือนสบาย สัตว์ประหลาดในสนามรบมีไม่น้อย หากไม่ระวังได้ถูกปิดล้อมตายกันหมดแน่”

“ไม่ผิด เราบาดเจ็บในสนามรบ ถ้าไม่ได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้มา ครั้งนี้กลุ่มเล็กเราอาจจะไม่ได้ออกมาแล้ว”

“ใช่เลยๆ ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่ให้มามีฤทธิ์ยาสะเทือนฟ้า ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน!”

……………

ศิษย์เทพสวรรค์คนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนคุยโวโอ้อวดขึ้น “ข้าจางซานมีเรื่องต้องพูด การฝึกในสนามรบบรรพกาลครั้งนี้ พวกเราเจอศิษย์สาวกลัทธิวิญญาณร้ายในหุบเขามารโลหิต มันอันตรายมากจริงๆ!

ศิษย์สาวกลัทธิชั่วร้ายสมควรตายพวกนั้นไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร หามารโลหิตระดับดวงจิตดรุณบนสนามรบมาได้ แซ่จางพาพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสู้กับมารโลหิตนั้นสามร้อยกระบวนท่า ก็ยังสู้ไม่ไหว โดนมารโลหิตจับตัวไปต้องตกอยู่ในอันตราย

หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่เดินทางไกลมาพันลี้บุกหุบเขามารโลหิตด้วยความไม่หวั่นเกรง สังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าพวกเราคงรอดยาก

สรุปคือ นับจากนี้ไปชีวิตนี้ของแซ่จางเป็นของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางไปตะวันออก แซ่จางจะไม่ไปตะวันตกเด็ดขาด ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางตีสุนัข แซ่จางจะไม่จับนกเด็ดขาด!”

ใช้พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้ด้วยตัวคนเดียวรึ

แม้ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเก่งกาจ แต่คะแนนในสนามรบก็ฟังดูน่ากลัวเกินไปจริงๆ

“จริงรึ สนามรบบรรพกาลไม่ได้จำกัดพลังไว้ระดับสร้างฐานรึ เหตุใดศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสังหารระดับดวงจิตดรุณได้ห้าตนด้วยตัวคนเดียว”

มีคนสงสัย แต่ไม่นานก็ถูกเสียงสนทนากลบไป

“เจ้านี่จริงๆ เลย ยังไม่เชื่ออีก ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนระดับใด เทียบกับคนธรรมดาได้รึ”

“ใช่ บางทีแม้แต่กฎฟ้าดินก็อาจจะยังยอมให้กับเอกลักษณ์ของศิษย์พี่ อาจจะไม่ได้จำกัดศักยภาพของศิษย์พี่ไว้ก็ได้!”

“ตอนนั้นข้าอยู่ด้วย ข้าเป็นพยานได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีกำลังรบที่ระดับสร้างฐานจะมีได้เลย พลังนั่นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ปีกเทพสีทองคู่นั้นเร็วจนคนมองไม่ทัน ฆ่ามารโลหิตเหมือนกับเชือดสุนัข”

“ใช่ๆ พวกเจ้าไม่รู้หรอก! บุตรศักดิ์สิทธิ์ซ่อนแส้เทพที่ทั้งหนาและแข็งเอาไว้ในตัว สามารถยืดได้หดได้ ยาวได้สั้นได้ ทะลวงการป้องกันได้ทุกอย่าง

ถึงมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณพวกนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ไข่มุกแก่นโลหิตตรงหน้าอกก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน จึงใช้เกราะโลหิตป้องกัน

แต่แส้เทพของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยืดหดได้ตามใจ โค้งงอได้ตามใจ อ้อมเกราะโลหิตนั้นทะลวงหัวใจมารโลหิตแล้วก็เอาไข่มุกมารโลหิตออกมา นี่ก็เลยเอาชนะห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียวราวกับเทพสวรรค์ลงมาเยือน เรียกได้ว่าทั้งน่าตกใจและงดงาม!”

“ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยนะ ยืนยันได้ว่าศิษย์พี่หมิงไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยสักนิด บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ!”

……..

พอได้ฟังคำสนทนาของพวกจางซาน พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ยังแอบตกใจกัน

ท่านปรมาจารย์สวรรค์สมกับเป็นท่านปรมาจารย์สวรรค์จริงๆ

ในการฝึกฝนหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ดึงดูดผู้คลั่งไคล้มานับไม่ถ้วน

ศิษย์พวกนี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่เท่าไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายอื่นที่ถูกมารโลหิตจับตัวไปด้วย!

หากคนพวกนี้กลับสำนักก็คงจะกลายเป็นผู้เลื่อมใสของเสิ่นเทียน มีผลดีต่อการประกาศชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์สวรรค์

พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่กำลังคิดว่าควรจะติดต่อหลี่อวิ๋นเฟิงเรื่อง ‘มหาสงครามหุบเขามารโลหิต’ ดีหรือไม่ จากนั้นค่อยป่าวประกาศออกไป

ถึงอย่างไรก็มีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์อันโชติช่วงของเสิ่นเทียนอย่างมาก

ทุกคนบนดาดฟ้าเรือกำลังคุยกันเรื่องเสิ่นเทียน แต่ตัวเสิ่นเทียนเองตอนนี้กำลังฝึกบำเพ็ญในห้องอย่างจริงจัง

เขากำลังฝึกฝนคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงที่เยี่ยฉิงชางถ่ายทอดให้ นี่เป็นมรดกฉบับปรับปรุงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคัมภีร์คบเพลิง

คัมภีร์คบเพลิงที่เสิ่นเทียนใช้เงินห้าตำลึงเงินซื้อมาเป็นเพียงบทพื้นฐานคัมภีร์คบเพลิงที่แพร่หลายในห้าดินแดนเท่านั้น อย่างมากสุดก็ฝึกได้ถึงระดับกายทอง

เมื่อถึงระดับกายทองแล้ว จะไม่มีบทเกี่ยวกับการหลอมกายทองเทพมารเก้ารอบเลย

แต่คัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงเป็นมรดกของตำหนักเทพสงครามจากโลกเบื้องบน ทำให้เสิ่นเทียนฝึกถึงฝ่าด่านเคราะห์เป็นเทพได้

ไม่ใช่แค่นั้น ในคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงยังบันทึกทักษะโบราณที่มีอานุภาพแข็งแกร่งไว้อีกมากมาย สามารถแสดงกำลังรบทางกายได้ถึงจุดสูงสุด

ซึ่งเยี่ยฉิงชางไม่ได้เก็บวิธีการฝึกฝนของทักษะยุทธ์โบราณพวกนี้ไว้เอง แต่แทบจะถ่ายทอดให้เสิ่นเทียนทั้งหมด

ในนั้นมีมรดกสองวิชาที่เหมาะกับเสิ่นเทียนที่สุด แทบจะสร้างมาเพื่อเขา

วิชาแรกมีชื่อว่าหัตถ์กำเนิดทะลวงฟ้า บันทึกการใช้ฝ่ามือที่แกร่งที่สุด ‘หนึ่งพลังทะลวงหมื่นวิชา’

วิชาที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตใช้จับผู้อาวุโสเผ่าเผิงเป็นเพียงฉบับตัดตอนของวิชาหัตถ์นี้ แต่ก็มีอานุภาพไร้ขีดจำกัดแล้ว

มรดกนี้ไม่ได้เน้นที่การใช้วิชา แต่เน้นการรวมพลังสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินไว้ในฝ่ามือ จนมีอานุภาพหนึ่งฝ่ามือทะลวงฟ้า

เยี่ยฉิงชางใช้กายวิญญาณควบคุมไอม่วงเบิกฟ้าใช้วิชาหัตถ์นี้ ก็มีกำลังรบแก่กล้าคีบกระบี่ฟ้าสังหารได้

เสิ่นเทียนมีสิ่งมหัศจรรย์ปัญจธาตุสัมพันธ์กัน หากฝึกวิชาหัตถ์นี้สำเร็จจะเพิ่มศักยภาพขึ้นอย่างมาก

และมรดกที่สองมีชื่อว่า ‘เปลี่ยนเทพสงคราม’

วิชาลับหัวใจสำคัญของตำหนักเทพสงครามโลกเซียน เน้นการใช้สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินหรือสายเลือดสัตว์เทพโบราณเป็นหัวใจสำคัญ เพิ่มศักยภาพของตนเอง

หลักการพื้นฐานมีความคล้ายกับผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารระเบิดพลังเลือดลมในกายเพิ่มศักยภาพ แต่นี่มีความลึกล้ำยิ่งกว่า

ผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารที่ฝึกวิชาลับเปลี่ยนเทพสงครามจะหลอมสายเลือดสัตว์เทพเข้าสู่ในกายได้

เมื่อใช้เปลี่ยนเทพสงครามในยามจำเป็น ถึงขั้นกลายร่างเป็นสัตว์เทพทรงพลัง มีพลังน่าสะพรึงของสัตว์เทพที่สอดคล้องกัน

แต่หากมีสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินก็ใช้เปลี่ยนเทพสงครามได้เช่นกัน จะเป็นการหลอมรวมพลังของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินเข้าไปในกายอย่างสมบูรณ์และสำแดงพลังออกมา

ในยุคโบราณ เผ่ามนุษย์บางสายเลือดอาศัยวิชาลับนี้เคยรุ่งเรืองสุดขีดมาก่อน

ตอนนั้น วิชาลับนี้คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์และสูงศักดิ์!

วิชาลับนี้ เยี่ยฉิงชางถึงกับเน้นย้ำสามรอบว่าควรให้เสิ่นเทียนตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ เพราะมันเหมาะสมกับคุณสมบัติกายของเสิ่นเทียนมาก

ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังฝึกฝนเปลี่ยนเทพสงคราม หลอมรวมน้ำมวลหนักปฐมกาลอย่างสมบูรณ์

เมื่อโคจรวิชาไปเรื่อยๆ กลิ่นอายพลังของเสิ่นเทียนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกได้ว่าน้ำมวลหนักปฐมกาลบางส่วนในไตกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เปล่งแสงสว่างแวววาว

ทว่าภายนอกเสิ่นเทียนไม่ได้แผ่พลังแข็งแกร่งออกมา ในทางตรงข้ามกลับยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่เพราะศักยภาพของเสิ่นเทียนลดลง แต่เป็นเพราะเขาเก็บพลังทั้งหมดไว้ข้างใน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย

การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งศาสตร์หลอมกายเทพมารที่แท้จริง ความจริงแล้วจะไม่เกิดภูเขาถล่มแผ่นดินแยกเสมอไป เพราะนั่นหมายความว่าพลังในกายกำลังไหลออก ไม่ควบแน่นพอ จนเกิดการส่งพลังออกมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์

ก็เหมือนกับที่เสิ่นเทียนเผาพลังเลือดลมไปก่อนหน้านี้ เขาเผาอัสนีเทพกำเนิดฟ้าเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง ดูเหมือนมีไฟสีทองลุกท่วมตัว ดูโอ้อวดเกินจริง

แต่ความจริงคือเขาใช้พลังเลือดลมและอัสนีเทพมากเกินไปจนสิ้นเปลืองพลัง

หากเขาคุมการเผาพลังเลือดลมและอัสนีเทพได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ควรจะคืนสู่สภาพเดิม

ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังลองเดินก้าวนี้อยู่

…..

พลังที่แผ่มาจากเสิ่นเทียนอ่อนแอลงเรื่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ

หากตอนนี้มีผู้ฝึกบำเพ็ญคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ก็ถึงขั้นอาจจะคิดว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณธรรมดา

‘ถึงขีดจำกัดแล้วรึ’

เสิ่นเทียนยื่นมือขวาออกมาเหมือนมีความคิดบางอย่าง เขาเห็นกำปั้นของตนออกเป็นสีเงินอ่อนๆ

แหวนเวหาขยับประกายแสง ก่อนปรากฏกระดูกสีทองอันหนึ่งขึ้นในมือซ้ายเขา

กระดูกสีทองนี้เป็นกระดูกมารกระดูกระดับแก่นพลังทอง ระดับความแข็งแรงเทียบเท่ากับอาวุธวิเศษ

สาเหตุที่ฉินอวิ๋นตี๋ล่าวิญญาณมรณะในสนามรบบรรพกาลอย่างบ้าคลั่ง สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะอยากจะได้กระดูกพวกนี้มาศึกษาปรับแก้ด้ามปืน

และตอนนี้เสิ่นเทียนตัดสินใจว่าจะใช้มันลองวิชาใหม่ของตน

มือซ้ายกำกระดูกไว้แน่น มือขวางอนิ้วเบาๆ แสงสีเงินแผ่คลุมอย่างหนาทึบ

แก๊ง~!

นิ้วชี้ดีดที่กระดูกเบาๆ พลันเกิดรอยแตกหักชัดเจน กระดูกหักครึ่งกระเด็นออกไปทันที ปักลึกเข้ากับผนัง

“พลังทำลายล้างแกร่งมาก นี่ใช้แค่น้ำมวลหนักปฐมกาลจริงๆ รึ”

เสิ่นเทียนตาเป็นประกาย ยังอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้

เยี่ยฉิงชางลอยขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำมวลหนักปฐมกาลถูกเรียกว่า ‘น้ำที่หนักที่สุด’ ถือเป็นอาวุธในโลกเซียนเช่นกัน มีอานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกรึ เจ้าไม่เข้าใจถึงความอัศจรรย์ที่แท้จริงของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินห้าชนิดในตัวเจ้าเลย

ถ้าจะมุ่งแต่ตามหาโชคลิขิต สู้ใช้วิชาย่อยโชคลิขิตที่ได้มาแล้วเยอะๆ จะดีกว่า กลับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เมื่อไร ข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามสักสองสามเดือน

เอาชนะโอรสสวรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนได้เมื่อไร ตอนนั้นมองไปทั้งโลกเซียนและโลกมนุษย์สองโลก เจ้าก็ยังถือว่าเป็นโอรสสวรรค์ระดับสุดยอด!”

เอาชนะโอรสสววรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนรอบหนึ่งอย่างนั้นหรือ

เหอะๆ ตาแก่นี่พูดเหมือนง่าย

ตอนนี้ข้าเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียว ก็ต้องกังวลว่าจะถูกขุมอำนาจศัตรูหวั่นเกรงและมาลอบสังหารอยู่แล้ว ถ้าเอาชนะร่างเงาโอรสสวรรค์แปดดาวที่เยี่ยฉิงชางซ่อนไว้พวกนั้นอีก จะไม่สั่นสะเทือนไปทั้งห้าดินแดนเลยรึ

ไม่ได้ ต้องพูดกับตาแก่นี่ให้รู้เรื่อง ลบอันดับข้าในศิลาเทพสงครามออก

โอรสสวรรค์ที่แท้จริงก็ควรจะมีจิตใจที่กว้างเหมือนหุบเขา จะมีชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ไปเพื่ออะไร

ชั่วขณะที่เสิ่นเทียนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้น เรือเหาะเทพสวรรค์เกิดเสียงระฆังดังขึ้น นั่นหมายความว่าเรือเหาะเทพสวรรค์จะถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ศิษย์ทุกคนต้องเตรียมลงเรือ

ในเวลาเดียวกัน เยี่ยฉิงชางมองไปทางตะวันออกนอกเรือเหาะด้วยแววตามืดหม่น ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ

“โอ้ว ดวงดีใช้ได้! เพิ่งมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกเจ้าก็เจอสตรีฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะแล้วรึ

เจ้าหนูศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองเจ้าฝึกวิชาอัสนีเป็นหลักไม่ใช่รึ อาศัยโอกาสนี้เพิ่มสายฟ้าไปอีกหน่อย! อีกทั้งอัสนีเทพเคราะห์สวรรค์ยังเป็นของดี มีประสิทธิผลการขัดเกลากายทองดีมาก!

อย่าพลาดโอกาสนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเยี่ยฉิงชาง เสิ่นเทียนถึงกับผงะไป

แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีคนกำลังฝ่าด่านเคราะห์รึ

ไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใด

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 245 วิชาลับตำหนักเทพสงคราม เปลี่ยนเทพสงคราม

เมื่อได้ยินหลี่เหลียนเอ๋อร์บอกว่าจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ผู้สูงศักดิ์จื่อหยางก็ตกใจรีบพาศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับ

ไม่ว่าอย่างไรก็พาแม่นางมันหวานร้อนมือนี่กลับไปก่อนค่อยว่ากัน

ถึงอย่างไรเมื่อกลับถึงแดนเทวา ตนจะหาข้ออ้างออกไปทำภารกิจทันที ออกห่างไปให้ไกล

ถ้ายัยหนูนี่หนีออกจากบ้านสำเร็จจริงๆ จะโทษอย่างไรก็มาไม่ถึงตัวเขาแล้ว!

ศิษย์แดนเทวาดาวประกายพรึกกลับแล้ว ผู้อาวุโสและศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นๆ ก็ทยอยกันกลับ การฝึกครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลง

“พี่เสิ่นเทียน ข้าจะหมั่นฝึกฝนเพื่อมีคุณสมบัติมายืนข้างกายพี่ให้เร็วที่สุด!”

เซียวหลิงสวมอาภรณ์สีเขียว ทุกย่างก้าวจะเกิดดอกบัว ทำให้ศิษย์ฝ่ายเซียนมากมายเคลิบเคลิ้ม ทว่าสายตานางกลับหยุดที่เสิ่นเทียนตลอด

ตอนนี้ในความคิดเซียวหลิงนึกถึงคำพูดของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่อีกครั้ง

ภายภาคหน้าโอรสสวรรค์เยี่ยงศิษย์พี่ฉู่เหอกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนจะต้องเหาะขึ้นเป็นเซียนอย่างแน่นอน หากไม่มีพรสวรรค์พอจะเป็นเซียนก็ไม่คู่ควรกับพวกเขา สายสัมพันธ์คู่ชีวิตเช่นนี้สร้างแต่ความเศร้าประหนึ่งหยินหยางแยกจากกันชั่วนิรันดร์

คำพูดนี้เล่าลือว่าเป็นคำกล่าวตอนที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หรงเหอใช้ชื่อปลอมว่าฉู่เหอพูดกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่

ส่วนคำพูดเดิมเป็นอย่างไร ผ่านการเติมแต่งมาเองหรือไม่…

ไม่มีใครรู้มานานแล้ว

เซียวหลิงก็ตามผู้อาวุโสและศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกลับไปเช่นกัน คนในเมืองเล็กเซียนมีน้อยลงเรื่อยๆ

“ทุกคนไปขึ้นเรือเหาะเทพสวรรค์ เราก็จะกลับกันแล้ว”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวยิ้มอ่อนๆ พลางกำกับศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขึ้นเรือเหาะอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เมื่อเรือเหาะลอยขึ้นอีกครั้ง บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน

“สนามรบบรรพกาลเร้าใจจริงๆ มีแต่สัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะแกร่งๆ เต็มไปหมด แกร่งกว่าสัตว์อสูรปกติอีก”

“เถอะน่า! ถึงวิญญาณมรณะพวกนี้จะแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาสู้สัตว์อสูรไม่ได้เลย ขอแค่ร่วมมือรู้ใจกัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามถึงห้าคนร่วมมือกันก็สังหารสัตว์ประหลาดวิญญาณมรณะระดับแก่นพลังทองได้แล้ว”

“การฝึกครั้งนี้เราได้ของกันมาเยอะเลย พอจะฝึกฝนสิบกว่าปี หวังว่าการฝึกฝนครั้งหน้าจะมาเร็วๆ หน่อย”

“พูดเหมือนสบาย สัตว์ประหลาดในสนามรบมีไม่น้อย หากไม่ระวังได้ถูกปิดล้อมตายกันหมดแน่”

“ไม่ผิด เราบาดเจ็บในสนามรบ ถ้าไม่ได้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้มา ครั้งนี้กลุ่มเล็กเราอาจจะไม่ได้ออกมาแล้ว”

“ใช่เลยๆ ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ศิษย์พี่ให้มามีฤทธิ์ยาสะเทือนฟ้า ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็อาจจะไม่ไหวเหมือนกัน!”

……………

ศิษย์เทพสวรรค์คนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนคุยโวโอ้อวดขึ้น “ข้าจางซานมีเรื่องต้องพูด การฝึกในสนามรบบรรพกาลครั้งนี้ พวกเราเจอศิษย์สาวกลัทธิวิญญาณร้ายในหุบเขามารโลหิต มันอันตรายมากจริงๆ!

ศิษย์สาวกลัทธิชั่วร้ายสมควรตายพวกนั้นไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร หามารโลหิตระดับดวงจิตดรุณบนสนามรบมาได้ แซ่จางพาพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสู้กับมารโลหิตนั้นสามร้อยกระบวนท่า ก็ยังสู้ไม่ไหว โดนมารโลหิตจับตัวไปต้องตกอยู่ในอันตราย

หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่เดินทางไกลมาพันลี้บุกหุบเขามารโลหิตด้วยความไม่หวั่นเกรง สังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าพวกเราคงรอดยาก

สรุปคือ นับจากนี้ไปชีวิตนี้ของแซ่จางเป็นของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางไปตะวันออก แซ่จางจะไม่ไปตะวันตกเด็ดขาด ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้แซ่จางตีสุนัข แซ่จางจะไม่จับนกเด็ดขาด!”

ใช้พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้ด้วยตัวคนเดียวรึ

แม้ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะรู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเก่งกาจ แต่คะแนนในสนามรบก็ฟังดูน่ากลัวเกินไปจริงๆ

“จริงรึ สนามรบบรรพกาลไม่ได้จำกัดพลังไว้ระดับสร้างฐานรึ เหตุใดศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสังหารระดับดวงจิตดรุณได้ห้าตนด้วยตัวคนเดียว”

มีคนสงสัย แต่ไม่นานก็ถูกเสียงสนทนากลบไป

“เจ้านี่จริงๆ เลย ยังไม่เชื่ออีก ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนระดับใด เทียบกับคนธรรมดาได้รึ”

“ใช่ บางทีแม้แต่กฎฟ้าดินก็อาจจะยังยอมให้กับเอกลักษณ์ของศิษย์พี่ อาจจะไม่ได้จำกัดศักยภาพของศิษย์พี่ไว้ก็ได้!”

“ตอนนั้นข้าอยู่ด้วย ข้าเป็นพยานได้ว่าตอนนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีกำลังรบที่ระดับสร้างฐานจะมีได้เลย พลังนั่นยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ปีกเทพสีทองคู่นั้นเร็วจนคนมองไม่ทัน ฆ่ามารโลหิตเหมือนกับเชือดสุนัข”

“ใช่ๆ พวกเจ้าไม่รู้หรอก! บุตรศักดิ์สิทธิ์ซ่อนแส้เทพที่ทั้งหนาและแข็งเอาไว้ในตัว สามารถยืดได้หดได้ ยาวได้สั้นได้ ทะลวงการป้องกันได้ทุกอย่าง

ถึงมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณพวกนั้นจะแข็งแกร่ง แต่ไข่มุกแก่นโลหิตตรงหน้าอกก็เป็นจุดยุทธศาสตร์ของพวกมัน จึงใช้เกราะโลหิตป้องกัน

แต่แส้เทพของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยืดหดได้ตามใจ โค้งงอได้ตามใจ อ้อมเกราะโลหิตนั้นทะลวงหัวใจมารโลหิตแล้วก็เอาไข่มุกมารโลหิตออกมา นี่ก็เลยเอาชนะห้าตัวได้ด้วยตัวคนเดียวราวกับเทพสวรรค์ลงมาเยือน เรียกได้ว่าทั้งน่าตกใจและงดงาม!”

“ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยนะ ยืนยันได้ว่าศิษย์พี่หมิงไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยสักนิด บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพ!”

……..

พอได้ฟังคำสนทนาของพวกจางซาน พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ยังแอบตกใจกัน

ท่านปรมาจารย์สวรรค์สมกับเป็นท่านปรมาจารย์สวรรค์จริงๆ

ในการฝึกฝนหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ดึงดูดผู้คลั่งไคล้มานับไม่ถ้วน

ศิษย์พวกนี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่เท่าไร แต่ยังมีศิษย์ฝ่ายอื่นที่ถูกมารโลหิตจับตัวไปด้วย!

หากคนพวกนี้กลับสำนักก็คงจะกลายเป็นผู้เลื่อมใสของเสิ่นเทียน มีผลดีต่อการประกาศชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์สวรรค์

พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่กำลังคิดว่าควรจะติดต่อหลี่อวิ๋นเฟิงเรื่อง ‘มหาสงครามหุบเขามารโลหิต’ ดีหรือไม่ จากนั้นค่อยป่าวประกาศออกไป

ถึงอย่างไรก็มีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์อันโชติช่วงของเสิ่นเทียนอย่างมาก

ทุกคนบนดาดฟ้าเรือกำลังคุยกันเรื่องเสิ่นเทียน แต่ตัวเสิ่นเทียนเองตอนนี้กำลังฝึกบำเพ็ญในห้องอย่างจริงจัง

เขากำลังฝึกฝนคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงที่เยี่ยฉิงชางถ่ายทอดให้ นี่เป็นมรดกฉบับปรับปรุงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคัมภีร์คบเพลิง

คัมภีร์คบเพลิงที่เสิ่นเทียนใช้เงินห้าตำลึงเงินซื้อมาเป็นเพียงบทพื้นฐานคัมภีร์คบเพลิงที่แพร่หลายในห้าดินแดนเท่านั้น อย่างมากสุดก็ฝึกได้ถึงระดับกายทอง

เมื่อถึงระดับกายทองแล้ว จะไม่มีบทเกี่ยวกับการหลอมกายทองเทพมารเก้ารอบเลย

แต่คัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงเป็นมรดกของตำหนักเทพสงครามจากโลกเบื้องบน ทำให้เสิ่นเทียนฝึกถึงฝ่าด่านเคราะห์เป็นเทพได้

ไม่ใช่แค่นั้น ในคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิงยังบันทึกทักษะโบราณที่มีอานุภาพแข็งแกร่งไว้อีกมากมาย สามารถแสดงกำลังรบทางกายได้ถึงจุดสูงสุด

ซึ่งเยี่ยฉิงชางไม่ได้เก็บวิธีการฝึกฝนของทักษะยุทธ์โบราณพวกนี้ไว้เอง แต่แทบจะถ่ายทอดให้เสิ่นเทียนทั้งหมด

ในนั้นมีมรดกสองวิชาที่เหมาะกับเสิ่นเทียนที่สุด แทบจะสร้างมาเพื่อเขา

วิชาแรกมีชื่อว่าหัตถ์กำเนิดทะลวงฟ้า บันทึกการใช้ฝ่ามือที่แกร่งที่สุด ‘หนึ่งพลังทะลวงหมื่นวิชา’

วิชาที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตใช้จับผู้อาวุโสเผ่าเผิงเป็นเพียงฉบับตัดตอนของวิชาหัตถ์นี้ แต่ก็มีอานุภาพไร้ขีดจำกัดแล้ว

มรดกนี้ไม่ได้เน้นที่การใช้วิชา แต่เน้นการรวมพลังสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินไว้ในฝ่ามือ จนมีอานุภาพหนึ่งฝ่ามือทะลวงฟ้า

เยี่ยฉิงชางใช้กายวิญญาณควบคุมไอม่วงเบิกฟ้าใช้วิชาหัตถ์นี้ ก็มีกำลังรบแก่กล้าคีบกระบี่ฟ้าสังหารได้

เสิ่นเทียนมีสิ่งมหัศจรรย์ปัญจธาตุสัมพันธ์กัน หากฝึกวิชาหัตถ์นี้สำเร็จจะเพิ่มศักยภาพขึ้นอย่างมาก

และมรดกที่สองมีชื่อว่า ‘เปลี่ยนเทพสงคราม’

วิชาลับหัวใจสำคัญของตำหนักเทพสงครามโลกเซียน เน้นการใช้สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินหรือสายเลือดสัตว์เทพโบราณเป็นหัวใจสำคัญ เพิ่มศักยภาพของตนเอง

หลักการพื้นฐานมีความคล้ายกับผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารระเบิดพลังเลือดลมในกายเพิ่มศักยภาพ แต่นี่มีความลึกล้ำยิ่งกว่า

ผู้ฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารที่ฝึกวิชาลับเปลี่ยนเทพสงครามจะหลอมสายเลือดสัตว์เทพเข้าสู่ในกายได้

เมื่อใช้เปลี่ยนเทพสงครามในยามจำเป็น ถึงขั้นกลายร่างเป็นสัตว์เทพทรงพลัง มีพลังน่าสะพรึงของสัตว์เทพที่สอดคล้องกัน

แต่หากมีสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินก็ใช้เปลี่ยนเทพสงครามได้เช่นกัน จะเป็นการหลอมรวมพลังของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินเข้าไปในกายอย่างสมบูรณ์และสำแดงพลังออกมา

ในยุคโบราณ เผ่ามนุษย์บางสายเลือดอาศัยวิชาลับนี้เคยรุ่งเรืองสุดขีดมาก่อน

ตอนนั้น วิชาลับนี้คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์และสูงศักดิ์!

วิชาลับนี้ เยี่ยฉิงชางถึงกับเน้นย้ำสามรอบว่าควรให้เสิ่นเทียนตั้งใจฝึกฝนอย่างเต็มที่ เพราะมันเหมาะสมกับคุณสมบัติกายของเสิ่นเทียนมาก

ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังฝึกฝนเปลี่ยนเทพสงคราม หลอมรวมน้ำมวลหนักปฐมกาลอย่างสมบูรณ์

เมื่อโคจรวิชาไปเรื่อยๆ กลิ่นอายพลังของเสิ่นเทียนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกได้ว่าน้ำมวลหนักปฐมกาลบางส่วนในไตกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เปล่งแสงสว่างแวววาว

ทว่าภายนอกเสิ่นเทียนไม่ได้แผ่พลังแข็งแกร่งออกมา ในทางตรงข้ามกลับยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่เพราะศักยภาพของเสิ่นเทียนลดลง แต่เป็นเพราะเขาเก็บพลังทั้งหมดไว้ข้างใน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย

การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งศาสตร์หลอมกายเทพมารที่แท้จริง ความจริงแล้วจะไม่เกิดภูเขาถล่มแผ่นดินแยกเสมอไป เพราะนั่นหมายความว่าพลังในกายกำลังไหลออก ไม่ควบแน่นพอ จนเกิดการส่งพลังออกมากเกินไปอย่างไร้ประโยชน์

ก็เหมือนกับที่เสิ่นเทียนเผาพลังเลือดลมไปก่อนหน้านี้ เขาเผาอัสนีเทพกำเนิดฟ้าเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง ดูเหมือนมีไฟสีทองลุกท่วมตัว ดูโอ้อวดเกินจริง

แต่ความจริงคือเขาใช้พลังเลือดลมและอัสนีเทพมากเกินไปจนสิ้นเปลืองพลัง

หากเขาคุมการเผาพลังเลือดลมและอัสนีเทพได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ควรจะคืนสู่สภาพเดิม

ตอนนี้เสิ่นเทียนกำลังลองเดินก้าวนี้อยู่

…..

พลังที่แผ่มาจากเสิ่นเทียนอ่อนแอลงเรื่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ

หากตอนนี้มีผู้ฝึกบำเพ็ญคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา ก็ถึงขั้นอาจจะคิดว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณธรรมดา

‘ถึงขีดจำกัดแล้วรึ’

เสิ่นเทียนยื่นมือขวาออกมาเหมือนมีความคิดบางอย่าง เขาเห็นกำปั้นของตนออกเป็นสีเงินอ่อนๆ

แหวนเวหาขยับประกายแสง ก่อนปรากฏกระดูกสีทองอันหนึ่งขึ้นในมือซ้ายเขา

กระดูกสีทองนี้เป็นกระดูกมารกระดูกระดับแก่นพลังทอง ระดับความแข็งแรงเทียบเท่ากับอาวุธวิเศษ

สาเหตุที่ฉินอวิ๋นตี๋ล่าวิญญาณมรณะในสนามรบบรรพกาลอย่างบ้าคลั่ง สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะอยากจะได้กระดูกพวกนี้มาศึกษาปรับแก้ด้ามปืน

และตอนนี้เสิ่นเทียนตัดสินใจว่าจะใช้มันลองวิชาใหม่ของตน

มือซ้ายกำกระดูกไว้แน่น มือขวางอนิ้วเบาๆ แสงสีเงินแผ่คลุมอย่างหนาทึบ

แก๊ง~!

นิ้วชี้ดีดที่กระดูกเบาๆ พลันเกิดรอยแตกหักชัดเจน กระดูกหักครึ่งกระเด็นออกไปทันที ปักลึกเข้ากับผนัง

“พลังทำลายล้างแกร่งมาก นี่ใช้แค่น้ำมวลหนักปฐมกาลจริงๆ รึ”

เสิ่นเทียนตาเป็นประกาย ยังอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้

เยี่ยฉิงชางลอยขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “น้ำมวลหนักปฐมกาลถูกเรียกว่า ‘น้ำที่หนักที่สุด’ ถือเป็นอาวุธในโลกเซียนเช่นกัน มีอานุภาพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกรึ เจ้าไม่เข้าใจถึงความอัศจรรย์ที่แท้จริงของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินห้าชนิดในตัวเจ้าเลย

ถ้าจะมุ่งแต่ตามหาโชคลิขิต สู้ใช้วิชาย่อยโชคลิขิตที่ได้มาแล้วเยอะๆ จะดีกว่า กลับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เมื่อไร ข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามสักสองสามเดือน

เอาชนะโอรสสวรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนได้เมื่อไร ตอนนั้นมองไปทั้งโลกเซียนและโลกมนุษย์สองโลก เจ้าก็ยังถือว่าเป็นโอรสสวรรค์ระดับสุดยอด!”

เอาชนะโอรสสววรรค์ในหอคอยเทพสงครามทุกคนรอบหนึ่งอย่างนั้นหรือ

เหอะๆ ตาแก่นี่พูดเหมือนง่าย

ตอนนี้ข้าเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียว ก็ต้องกังวลว่าจะถูกขุมอำนาจศัตรูหวั่นเกรงและมาลอบสังหารอยู่แล้ว ถ้าเอาชนะร่างเงาโอรสสวรรค์แปดดาวที่เยี่ยฉิงชางซ่อนไว้พวกนั้นอีก จะไม่สั่นสะเทือนไปทั้งห้าดินแดนเลยรึ

ไม่ได้ ต้องพูดกับตาแก่นี่ให้รู้เรื่อง ลบอันดับข้าในศิลาเทพสงครามออก

โอรสสวรรค์ที่แท้จริงก็ควรจะมีจิตใจที่กว้างเหมือนหุบเขา จะมีชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ไปเพื่ออะไร

ชั่วขณะที่เสิ่นเทียนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้น เรือเหาะเทพสวรรค์เกิดเสียงระฆังดังขึ้น นั่นหมายความว่าเรือเหาะเทพสวรรค์จะถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ศิษย์ทุกคนต้องเตรียมลงเรือ

ในเวลาเดียวกัน เยี่ยฉิงชางมองไปทางตะวันออกนอกเรือเหาะด้วยแววตามืดหม่น ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ

“โอ้ว ดวงดีใช้ได้! เพิ่งมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกเจ้าก็เจอสตรีฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะแล้วรึ

เจ้าหนูศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองเจ้าฝึกวิชาอัสนีเป็นหลักไม่ใช่รึ อาศัยโอกาสนี้เพิ่มสายฟ้าไปอีกหน่อย! อีกทั้งอัสนีเทพเคราะห์สวรรค์ยังเป็นของดี มีประสิทธิผลการขัดเกลากายทองดีมาก!

อย่าพลาดโอกาสนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเยี่ยฉิงชาง เสิ่นเทียนถึงกับผงะไป

แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีคนกำลังฝ่าด่านเคราะห์รึ

ไม่รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใด

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+