บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ 275 ทนไม่ได้ที่สุด…คือมีคนรังแกแมวของข้า

Now you are reading บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ Chapter 275 ทนไม่ได้ที่สุด...คือมีคนรังแกแมวของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 275 ทนไม่ได้ที่สุด…คือมีคนรังแกแมวของข้า

“อย่า อย่าฆ่าข้า” ศิษย์ชายสำนักเจี้ยนจงขาสั่นกึกๆ ทั้งสองข้าง สีหน้าหวาดกลัวเป็นที่สุด เขามองไปที่ ‘แมว’ ยักษ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบ ตกใจจนกางเกงเปียกชื้นเป็นวงใหญ่

เพียะ!

อุ้งเท้าซัดศิษย์ชายลอยปลิวหนึ่งที เสี่ยวอู่เช็ดกรงเล็บอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจ ถึงขั้นตกใจจนฉี่ราด…ขี้ขลาดเอ้ย!

ก่อนเงยหัวแมวมองไปรอบบริเวณ เสี่ยวอู่มองไปยังคนที่เซล้มเกลื่อนพื้นด้วยความพึงพอใจ ไม่ถูกกรงเล็บของมันซัดจนตาย ก็ถูกมันขยี้ส่ำเสียรอดแหล่ไม่รอดแหล่ ไม่มีใครลุกขึ้นยืนได้สักคน ในที่สุดก็พึงพอใจแล้ว เสี่ยวอู่เบือนหน้ามองไปทางเจ้านายของตน สาวเท้าเดินเข้าหาอย่างออดอ้อน “เหมียว~”

จูนจิ่วกำลังกินยาทำสมาธิอยู่ ถูกเสี่ยวอู่เคล้าคลอแผ่วเบาเยี่ยงนี้ ก็พลอยโซซัดโซเซไปด้วยเล็กน้อย

เสี่ยวอู่ตอบสนองไวยิ่งกว่า กรงเล็บข้างหนึ่งยืนไปเบื้องหน้าของจูนจิ่วอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เผื่อจูนจิ่วเซล้มขึ้นมา เขาก็สามารถกอดเจ้านายเอาไว้ได้ แมวตัวผู้มีพละกำลังบึกบึนนัก! เสี่ยวอู่คิดฝันอย่างสวยงาม กลับลืมไปเสียสนิทว่าผู้ก่อการร้ายก็คือมันเอง

จูนจิ่วเงยหน้ามองไปทางสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ดูไม่ใคร่เหมือนมองเท่าใดนัก ก่อนลูบปลาคาง “เสี่ยวอู่เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปได้”

“เหมียว?” เสี่ยวอู่เอียงคอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและน่าสงสาร มันร้องเหมียวๆ พูดว่า เจ้านายท่านจะพูดว่าเปลี่ยนไปเพียงเพราะแก้มของข้าอ้วนขึ้นไม่ได้เชียว! เจ้านายเจ้านายท่านไม่รักหวานใจตัวน้อยของท่านแล้วกระนั้นหรือ?

จูนจิ่ว “….”

ดูเหมือนจะจริง ส่วนแก้มอ้วนขึ้นแล้ว แต่แกนกระดูกก็อ้วนขึ้นได้ด้วยหรือ? กรงเล็บก็อ้วนพีขึ้นได้ด้วย? รูปร่างใหญ่ขึ้นแล้วยังเรียนรู้วิธีการรร้องแบบเสือได้ด้วย?

หากไม่ใช่เพราะทั่วตัวสีขาวหิมะของเสี่ยวอู่ปราศจากลายเสือ จูนจิ่วยังคงอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเสี่ยวอู่ตัวใหญ่ขึ้นจนกลายร่างเป็นเสือขาวตัวหนึ่งไปเสียแล้ว ไม่ใช่แมวเลย ถูกจูนจิ่วสำรวจเสียจนส่วนลึกของหัวใจรู้สึกละอาย เสี่ยวอู่รีบร้องเหมียวๆ ทันที เจ้านายข้าจะพาท่านกระโดดข้ามไปแล้ว!

ไม่มีสะพานไม้แล้ว ถึงแม้หน้าผาจะกว้าง แต่ก็เป็นระยะกระโดดช่วงตัวของเสี่ยวอู่พอดี เรื่องกระจ้อยร่อย!

หน้าผาฝั่งตรงข้ามเสียงร้องตะโกนของจูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างก็ไม่เตยหยุดลงเลย เพลิงไหม้ลุกลามขยายวงกว้าง ซ้ำยังมีควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นมา พวกเขามองไม่เห็นสถานการณ์ทางหน้าผาฝั่งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

ในที่สุดหลังจากที่จูนจิ่วตอบพวกเขาไปว่าจัดการได้แล้ว ทั้งสองคนจึงถอนหายใจโล่งอก และยังได้ยินจูนจิ่วบอกว่าเสี่ยวอู่จะพานางข้ามมา จูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างต่างสบสายตากันปราดหนึ่ง

หวางฉี่อ๋างเลิ่กลั่กงงงวย “อาจารย์อาหมายความว่าอะไรกัน? เสี่ยวอู่? ตัวเล็กขนาดนั้น ใหญ่เท่าฝ่ามือจะพาอาจารย์อาข้ามเข้ามาได้อย่างไร”

“อะแฮ่ม! นี่เป็นความลับ ประเดี๋ยวเจ้าเห็นเองกับตาก็จักเข้าใจเอง” จูนเสี่ยวเหลยปิดปากหัวเราะร่วน เก็บเป็นความลับอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย

หวางฉี่อ๋างยังไม่เคยเห็นร่างจริงของเสี่ยวอู่มาก่อน นางอธิบายไปหวางฉี่อ๋างก็อาจจะยังไม่เชื่อ ไม่สู้ปล่อยให้เขาเห็นเองกับตาดีกว่า เสี่ยวอู่ทั้งใหญ่ทั้งขาวและงดงาม น่าตื่นตกใจยิ่งนัก!

เสี่ยวอู่ว่า ทั้งๆ ที่พลังอำนาจน่าเกรงขามแท้ๆ ทรงพลานุภาพเหมือนอย่างเจ้านาย!

หวางฉี่อ๋างไม่เข้าใจว่าจูนเสี่ยวเหลยอมพะนำอะไรอยู่ เขาชะโงกคอออกไป ซ้ำยังเขย่งปลายเท้า และปีนขึ้นบนต้นไม้ยื่นหน้ามองไปทางหน้าผาฝั่งตรงข้ามอย่างพากเพียร ทำไมอาจารย์อากับเสี่ยวอู่ยังไม่ข้ามมากันอีก?

หน้าผาฝั่งตรงข้าม เสี่ยวอู่ย่อกายลงยื่นหางออกมาเพื่อใช้เป็นบันไดให้กับจูนจิ่ว “เหมียว เจ้านายท่านรีบขึ้นมา เสี่ยวอู่จะพาท่านบินข้ามไปเอง!”

“กระโดดก็ว่ากระโดด บินอะไรกัน” จูนจิ่วกล่าวพลางกระตุกยิ้มมุมปาก

เสี่ยวอู่กะพริบตาปริบๆ เงยหน้าขึ้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “เจ้านาย เสี่ยวอู่บินได้จริงๆ นะ! ตอนนี้ยังทำไม่ได้ แต่จากนี้ไปจะต้องบินได้แน่ๆ และพาเจ้านายบินไปพร้อมกันได้ด้วย!”

จูนจิ่วว่า “ดี ข้าจะรอวันนั้น”

ขณะที่นางสาวเท้าหมายจะขึ้นหลังเสี่ยวอู่นั้น จู่ๆ พลันรู้สึกเสียวสันหลังวูบ อันตรายถึงแก่ชีวิตแผ่ขยายจากปลายเท้าจรดปลายกระหม่อม ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ รวดเร็วเสียจนผู้คนไม่ทันตอบสนอง

ข้างโสตหูได้ยินเพียงเสียงแผดร้องลั่น “จูนจิ่ว ไปตายเสียเถอะ!”

จูนจิ่วเพิ่งกำป๋ายเย่เอาไว้แน่นก็ถูกสีขาวโพลนครอบฟ้าคลุมดินเบื้องหน้าครอบงำเอาไว้เสียแล้ว เสี่ยวอู่พุ่งถลาไปเบื้องหน้า ใช้หน้าท้องนุ่มนิ่มและขนปุกปุยของตัวเองปกคลุมจูนจิ่วเอาไว้

“โคร่ง!” เสี่ยวอู่ปกป้องจูนจิ่วก่อนเป็นสิ่งแรก มันเงยหน้าร้องคำราม นัยน์ตารี่ตรงเป็นเส้นเดียว เงาทะมึนรวดเร็ว แต่ความเร็วของเสี่ยวอู่รวดเร็วยิ่งกว่า! กรงเล็บแหลมคมดีดพุ่งออกมาจากแผ่นเนื้อ ตบไปทางผู้มาใหม่อย่างโหดเหี้ยม

ปัง!

เสียงระเบิดกึกก้องดังทั่วผืนฟ้าพสุธา คลื่นเสียงปะทุพลุ่งพลาน เกลียวเพลิงที่ระเบิดถูกมอดดับในชั่วขณะ ควันสีดำก็ไปล่ปลิวมลายสิ้น หน้าผาฝั่งตรงข้าม จูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างถูกซัดสะเทือนจนเซล้มลงกับพื้น

พลังเกรี้ยวกราดประหัตประหารระดับไหนกัน! นี่จัดเป็นการโจมตีสุดกำลังของนักจิตชั้นเก้า ทำลายย่อยยับอย่างง่ายดายเชียว

จูนจิ่วถูกเสี่ยวอู่ทับเอาไว้ รู้สึกถึงเพียงเสียงระเบิดข้างโสตหู และร่างของเสี่ยวอู่สั่นระริกอย่างแรงสองที เสี่ยวอู่! ในสมองว่างเปล่าขาวโพลนเสียงดังหึ่ง จูนจิ่วตะกายออกมาจากใต้ท้องของเสี่ยวอู่โดยพลัน

“เหมียว” เจ้านาย! ข้าไม่เป็นไร!

เสี่ยวอู่ปั้นน้ำเสียงแสร้งทำเป็นหนักแน่น ทว่าจูนจิ่วรับรู้แต่เพียงความอ่อนแอของมัน แล้วไหนจะเลือดสีแดงบาดตาบนมุมปากของเสี่ยวอู่อีก มันหมอบลงกับพื้น ไม่ว่าพยายามอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น

เสี่ยวอู่บาดเจ็บ!

กลางดวงตาปรากฏสีชาดแดง จูนจิ่วยืนอยู่หน้าเสี่ยวอู่ก่อนหมุนกายมองเข้าไป เจ้าสำนักเจี้ยนจงยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง เขาหัวเราะลั่นอย่างอำมหิต ดวงตาสองข้างจับจ้องจูนจิ่วไม่วางตา เจ้าสำนักเจี้ยนจงเอ่ย “จูนจิ่วเจ้าหนีไม่พ้นหรอก! เจ้าคิดว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้จะช่วยชีวิตเจ้าได้หรอกหรือ?”

“เจ้ามันสมควรตาย!” กระแสเสียงเย็นเยียบกระหายเลือด ปรากฏไอสังหารอันรุนแรง

เจ้าสำนักเจี้ยนจงไม่เห็นการข่มขู่ของจูนจิ่วอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาบากหน้าครึ่งซีกที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำทะมึนปูดโปนขึ้นมา เสมือนคนไม่เป็นอะไรเลย ระเบิดหัวเราะพลางจ้องจูนจิ่ว “ฮ่าๆๆ! จูนจิ่ว ต่อให้เจ้าพลิกฟ้า เป็นจอมมาร มีพรสวรรค์อีกเพียงใด ก็ไม่อาจต่อสู้กับข้าได้ทั้งนั้น!”

“ข้าเป็นถึงนักจิตชั้นเก้า ผู้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักทั้งห้า! แล้วเจ้าเป็นตัวอะหไรกัน? แต่ว่าหากฆ่าอัจฉริยะอย่างเจ้าได้ ข้าก็มีต้นทุนให้คุยโวไปชั่วชีวิตแล้ว ฮ่าๆ น้อมรับคามตายเสียเถิด!” เจ้าสนักเจี้ยนจงหัวเราะเหี้ยมเกรียม

เขาเป็นนักจิตใหญ่ชั้นเก้าความแข็งแกร่งโดเด่น พลังอำนาจโหมกระพือพายุกาฬวาตพัดโบกจนจูนจิ่วโคลงเคลงแทบทรุด เวลานี้เสียงของเหลิ่งยวนลอยเข้ามา เขากล่าวว่า “แม่นางจูน ข้าละลาบละล้วงแล้ว”

เหลิ่งยวนยื่นมือออกมาปลายนิ้วหนึ่งแตะทาบลงบนไหล่ของจูนจิ่วเบาๆ เขาลากมาเบื้องหลัง ขณะนั้นเงาร่างไหววูบและแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันกับจูนจิ่ว เงยหน้าขึ้นมองเห็นเจ้าสำนักเจี้ยนจงพุ่งปราดเข้ามา เหลิ่งยวนยกเท้าเตะเข้าไปหนึ่งที

ปึง…ตุบตับ!

การโมตีของเจ้าสำนักเจี้ยนจงนักจิตชั้นเก้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเหลิ่งยวนก็ไม่พ้นเป็นเพียงหมอกควันผ่านตา แม้แต่เรือนผมของเขายังไม่พัดกระดิกสักเส้น เตะเจ้าสำนักเจี้ยนจงลอยออกไป เหลิ่งยวนหมุนกายไปโดยไม่ชายตาแล เพียงแวบเดียวนี้ ทำเอาเหลิ่งยวนนิ่งงัน

เห็นเพียงแต่จูนจิ่วนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเสี่ยวอู่ ยกมือขึ้นลูบกระหม่อมของเสี่ยวอู่เบาๆ พลางร้องเหมียวหง่าว~ อย่างออดอ้อนออเซาะ เสี่ยวอู่คลอเคลียฝ่ามือของจูนจิ่ว นัยน์ตาวิฬารของมันเปี่ยมด้วยความอ้อยอิ่งและปลอบโยนต่อจูนจิ่ว ครู่ต่อมา เสี่ยวอู่กลายร่างเป็นแสงดาราทีละน้อยก่อนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา

นัยน์ตาเบิกโพลง เหลิ่งยวนสูดลมหายใจเย็นเยียบ เสี่ยวอู่หายไปแล้ว??

“เหลิ่งยวน” จูนจิ่วหยัดกายขึ้นมองไปทางเหลิ่วยวน สายตาของนางเย็นชากรีดแกนกระดู ก ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตและแสนทารุณ

เหลิ่งยวนสบสายตากับจูนจิ่ว ร่างกายพลันแข็งทื่อ เขารีบเอ่ยปากทันใด “ข้าทำลายกระดูกของเขา ตอนนี้เขาขยับไม่ได้แล้ว สุดแล้วแต่แม่นางจูนจะจัดการเถิด!”

“ดี” จูนจิ่วสาวเท้าเดินไปทางเจ้าสำนักเจี้ยนจง

นางไม่มองสีหน้าท่าทางของเจ้าสำนักเจี้ยนจงเลยสักนิด ยกเท้าขึ้นเตะเข้าที่หน้าแข็งของเจ้าสำนักเจี้ยนจง ออกแรงเหยียบขยี้กระดูกทีละน้อย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเจ้าสำนักเจี้ยนจงอย่างสุดแสนเย็นชาและโหดร้าย จูนจิ่วเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าทนไม่ได้ที่สุดในโลก…ก็คือมีคนรังแกแมวของข้า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด