บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ 277 ข้าจูนจิ่วแต่ไรมาไม่เคยเก็บของไร้ค่าไว้

Now you are reading บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ Chapter 277 ข้าจูนจิ่วแต่ไรมาไม่เคยเก็บของไร้ค่าไว้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 277 ข้าจูนจิ่วแต่ไรมาไม่เคยเก็บของไร้ค่าไว้

“จูนจิ่ว!!” เจ้าสำนักเจี้ยนจงร้องคำรามปานแทบขาดใจ แต่เพิ่งจะตะโกนชื่อของจูนจิ่วออกมา เส้นเลือดบนลำคอของเขาก็แตกระเบิดออกทันที จนไม่มีเสียง เจ้าสำนักเจี้ยนจงเงยหน้าและพุ่งเข้าหาจูนจิ่วอย่างแรง แขนด้วนขาด้วนกวาดลากสะเปะสะปะ

จูนจิ่วเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่แยแส มองดูเจ้าสำนักเจี้ยนจงกลิ้งหลุนๆ เสี่ยงอันตรายไปริมหน้าผาก่อนที่เขาจะหยุดกะทันหัน ตลอดทางล้วนเป็นเลือดสดพราวตา

เจ้าสำนักเจี้ยนจงมองไม่เห็นหน้าผา เส้นเลือดดวงตาของเขาปตะระเบิดพร้อมกับลูกตา เจ้าสำนักเจี้ยนจงดิ้นพล่าน แผดตะโกนแหกปากอย่างไร้สุ้มเสียงไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่าจักต้องกำลังสบถด่าจูนจิ่วอยู่เป็นแน่

สำนักเจี้ยนจงเป็นถึงเลือดเนื้อตลอดชีวิตของเจ้าสำนักเจี้ยนจง เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อนำพาสำนักเจี้ยนจงให้กลายเป็นสำนักแข็งแกร่งที่สุดในห้าสำนัก ตอนนี้จูนจิ่วถึงขนาดบอกว่าจะให้สำนักเจี้ยนจงกลายเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง ต่อให้ตายเจ้าสำนักเจี้ยนจงก็รับไม่ได้ ถ้าหากเขามีมือมีเท้า คงอดรนทนไม่ไหวอยากพุ่งถลาไปตายพร้อมกับจูนจิ่วให้รู้แล้วรู้รอด!

จูนจิ่วกระตุกริมฝีปาก “แค่นี้ก็รับไม่ได้แล้ว? ข้ายังไม่ได้พูดว่าข้าจะให้สำนักเจี้ยนจงลงมือต่อกรกับตันจง ชางไห่จง และเทียนฉิวแทนสำนักเทียนอู่จงเลย ถ้าหากตอนสุดท้ายสำนักเจี้ยนจงยังมีคนรอดชีวิตอยู่ละก็ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยมันไป”

ครั้นได้ยินเข้าเจ้าสำนักเจี้ยนจงก็ยิ่งรู้สึกเดือดพล่าน เขาขัดขืนอย่างดุเดือด กายครึ่งซีกโงนเงนเจียนร่วงลงจากริมหน้าผา มีเปลวเพลิงที่ยังไม่ทันมอดดับถูกลมพัดเข้ามา ม้วนเกลียวบนร่างของเจ้าสำนักเจี้ยนจงโดยตรง เพลิงระอุลุกไหม้ ความเจ็บปวดยิ่งเพิ่มทวีคูณ! เจ้าสำนักเจี้ยนจงพลิกกลิ้งร่วงตุบลงจากหน้าผา

เหยียนไห่เบิกตากว้าง อ้าปากค้างพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

เกรงว่าถึงคราวตายเจ้าสำนักเจี้ยนจงก็ยังคิดไม่ถึงว่าตนไม่เพียงตายด้วยน้ำมือของจูนจิ่วที่เขาดูถูก ซ้ำยังร่วงตกลงไปตายเป็นศพไม่สมบูรณ์ด้วย!

จูนจิ่วว่า “เหยียนไห่ คำที่ข้าเพิ่งพูดไปเจ้าได้ยินหมดแล้วหรือไม่” จูนจิ่วมองไปทางเจ้าสำนักเจี้ยนจงที่กลิ้งตกหน้าผาจนไม่เหลือเงาอีกต่อไป ก่อนจะหมุนกายชำเลืองมองเหยียนไห่

ครั้นเหยียนไห่ได้ยินร่างกายพลันแข็งทื่อ เขาเงยหน้ามองจูนจิ่วอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนเอ่ยปากด้วยอารามตกใจ “เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าจะให้สำนักเจี้ยนจงเป็น…เป็นของเล่นจริงๆ หรือ?” เหยียนไห่อ้ำอึ้งเป็นนาน ไม่สามารถพูดคำว่าเป็นหมาออกมาจึงได้แต่เลือกใช้คำว่าของเล่นแทน

เขาก็เป็นศิษย์สนักเจี้ยนจงเหมือนกัน! ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นสำนักเจี้ยนจงแกว่งเท้าหาเสี้ยน รนหาที่ตายเองทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับได้ไปชั่วขณะอยู่ดี

“เจ้าได้ยินแล้วและได้เห็นแล้ว เจ้าสำนักเจี้ยนจงตายไปแล้ว ตอนนี้สำนักเจี้ยนจงเป็นฝูงมังกรไร้ผู้นำ เหยียนไห่ เจ้าสามารถสนับสนุนโจ๋วชิวขึ้นเป็นเจ้าสำนักเจี้ยนจง ทั้งยังช่วยเขาควบคุมสำนักเจี้ยนจงทั้งบนล่างได้หรือไม่” จูนจิ่วสาวเท้าหนึ่งก้าวเงาร่างไหววูบมาหยุดต่อหน้าเหยียนไห่ นางยกมือขึ้นน้อยๆ พาดปลายกระบี่ป๋ายเย่ลงบนลำคอของเหยียนไห่

จูนจิ่วหัวเราะเย็นชาไร้ปรานี “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักคน แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ข้าจูนจิ่วแต่ไรมาไม่เคยเก็บของไร้ค่าไว้”

“ข้าทำได้!” เหยียนไห่พยักหน้าทันควัน เขายังลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูด “แต่ข้าคนเดียวสนับสนุนรองเจ้าสำนักโจ๋ว…อ๋าไม่สิ! เจ้าสำนักต่างหาก ข้าคนเดียวเกรงว่าอาจจะมีแรงกายแรงใจไม่เพียงพอ”

“คงไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียว หวางฉี่อ๋างและจูนเสี่ยวเหลยจะลงมาช่วยเจ้าด้วย จากนั้นข้าเองก็จะให้ศิษย์พี่ส่งคนมาช่วยหนุนโจ๋วชิวด้วยเช่นกัน ตอนนี้เจ้ากลับไปบอกเรื่องนี้แก่โจ๋วชิวฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าอยากให้เขาควบคุมสำนักเจี้ยนจงอย่างสมบูรณ์แบบภายในวันนี้!”

นัยน์ตาเย็นชา กลางดวงตาฉายเจตจำนงสังหารแวบผ่านไป จูนจิ่วเอ่ย “ถ้ามีผู้ไม่ทำตาม จงฆ่า! ในเมื่อบทบาทของสำนักเจี้ยนจงก็เป็นหมาตัวหนึ่ง เช่นนั้นก็เหลือไว้แต่หมาที่เชื่อฟังก็เพียงพอแล้ว”

เฮือก! เหยียนไห่สูดลมหายใจเย็นเยียบ ร่างกายแข็งทื่อเสียยิ่งกว่าก้อนหิน

สำนักเจี้ยนจงยั่วโมโหศัตรูที่น่ากลัวแบบไหนกันแน่? เพิ่งไม่พ้นสิบห้าปี เพิ่งเป็นแค่นักจิตชั้นสี่ เพิ่งจะเข้าเป็นศิษย์สำนักเทียนอู่จงได้ไม่ถึงขวบปี ก็มีความสามารถพลิกเมฆาครอบพิรุณ พลิกผันสถานการณ์เปลี่ยนโลกได้เสียแล้ว!

เหยียนไห่ไม่เพียงแต่ยอมแพ้ หากแต่กริ่งเกรงเสียมากกว่า!

เขาเคยถูกจูนจิ่วสยบในภาพลวงตาเขาวงกต ในสมองยังทิ้งเงาอรชรสีแดงอันงดงามหยาดเยิ้มสายนั้นหยั่งรากฝังลึก ตัวอยู่ในเจี้ยนจง ก็มองว่าจูนจิ่วเป็นเป้าหมายที่อยากก้าวแซงหน้าอยู่ตลอดเวลา ทว่าหลังจากผ่านไปครึ่งปี จูนจิ่วได้ทิ้งเขาไว้อยู่ตีนเขาอันไกลลิ่ว ตอนนี้ เขาเหลือแต่คุณสมบัติคุกเข่ายอมจำนนเท่านั้น

จูนจิ่วเอ่ย “เหยียนไห่ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจ” เหยียนไห่เก็บซ่อนความซับซ้อนในดวงตาเอาไว้ ก้มหน้างุดรับบัญชา

จากนั้นจูนจิ่วหันไปทางเหลิ่งยวนพลางเอ่ยว่า “เหลิ่งยวน รบกวนเจ้าไปรับสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้ามาที”

“ได้ แค่เรื่องเล็กน้อย แม่นางจูนท่านรอประเดี๋ยว” เหลิ่งยวนเงาร่างไหววูบ พลันไปรับจูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างเข้ามาทั้งสองคน พวกเขาอยู่หน้าผาฝั่งตรงข้าม รู้สึกร้อนรนจนแทบบ้าแล้ว

จู่ๆ ก็ถูกเหลิ่งยวนหิ้วหลังคอเข้ามาเหมือนหิ้วกระตายป่าลูกเจี๊ยบไม่มีผิด ครั้นมองเห็นซากศพเกลื่อนพื้น และยังมีคนที่ตายแหล่รอดแหล่ไม่ทราบแน่ชัด และถนนเปื้อนเลือดกลิ้งลากไปที่ริมหน้าผา ทั้งสองต่างเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เนิ่นนานก็ไม่อาจคืนสติกลับมา

จูนจิ่วออกคำสั่งทันที ให้พวกเขาพาเหยียนไห่กลับไปสำนักเจี้ยนจงอีกครั้ง ส่วนสาเหตุให้ถามเหยียนไห่ระหว่างทางเอาเอง

มองส่งเงาร่างพวกเขาไกลออกไปด้วยสายตาเย็นชา เงาร่างที่แผ่นหลังเหยียดตรงเรื่อยมาของจูนจิ่วพลันโงนเงน ทำเอาเหลิ่งยวนตกใจรีบร้อนเข้ามายื่นมือไปรอบๆ ตัวจูนจิ่ว เตรียมพร้อมรับนางเอาไว้ตอนที่เซล้มทุกเมื่อ จูนจิ่วทรงตัวมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว นางเทยาลูกกลอนออกมากินสามเม็ด

สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากราวกระดาษขาว น้ำเสียงจูนจิ่วเย็นเยียบ “เหลิ่งยวน ลำบากเจ้าหาที่ปลอดภัยพาข้าไปรักษาอาการเจ็บที”

“ได้ แม่นางจูนโปรดอภัยที่ข้าล่วงเกิน” เหลิ่งยวนหันหลังให้จูนจิ่วอย่างระมัดระวัง จูนจิ่วเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้ว “เจ้าทำอะไร”

“ข้าจะแบกท่าน” เหลิ่งยวนอ้าปากพูดอย่างละอายและสั่นเทา ถึงเขาจะสามารถรวบเอวอุ้มขึ้นโดยตรง แต่เขากลัวว่าพอเจ้านายรู้จะฉีกเขาด้วยมือเปล่า! ดังนั้นเขาแบกเอาจะดีกว่า อยากรอดชีวิตก็จงอย่าไปท้าทายความปรารถนาเป็นเจ้าของของชาวมังกรเชียว

จูนจิ่วส่ายหน้า “ข้ายังเดินไหว ไม่ต้องแบก”

กล่าวพลาง จูนจิ่วหมุนกายงอเข่าเตรียมการเคลื่อนไหวสำหรับพุ่งกระโดด ทำเอาเหลิ่งยวนเห็นจนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน รีบร้อนหมายจะขัดขวางทว่าจูนจิ่วก็บินออกไปราวลูกดอกกระโดดออกจากคันโค้งเต็มมสมบูรณ์สู่ห้วงอากาศ สุดท้ายก็โรยตัวอยู่ที่หน้าผาฝั่งตรงข้ามอย่างมั่นคง แม้จะบาดเจ็บ นางก็สามารถกระโดดออกไปด้วยตัวเอง แต่เสี่ยวอู่ต้องการแบกนาง นางดีใจมากและชอบใจมากด้วย เสี่ยวอู่…เมื่อนึกถึงเสี่ยวอู่ นัยน์ตาของจูนจิ่วพลันฉายแววสลัวรำไร

“แม่นางจูน!” เหลิ่งยวนกระโดดเข้ามาอย่างร้อนรน เขาตรวจสอบจูนจิ่วว่ามีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาหรือไม่อย่างระมัดระวังเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงถอนหายใจโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “แม่นางจูนข้านำทางอยู่เบื้องหน้าดีกว่า! ท่านวางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคนคงไม่มีใครมารบกวนท่านได้อีกแล้ว”

“อืม” น้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกถึงสภาพอารมณ์ปรวนแปร

เหลิ่งยวนเบี่ยงกายเดินนำทางอยู่เบื้องหน้า ด้วยสติอันว่องไวเขาหาสถานที่ที่สามารถพักรักษากายได้ในกลางภูเขา หันหลังให้จูนจิ่ว หัวคิ้วของเหลิ่งยวนขมวดมุ่น

แม่นางจูนแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนปวดใจ! ทั้งที่อายุเสมือนดอกไม้แรกแย้มแท้ๆ กลับคคล้ายคลึงกับเจ้านาย อำมหิตไร้ปรานี โหดเหี้ยมเด็ดขาด เลือดเย็นกระหายเลือด คุณสมบัติเหล่านี้ แม่นางจูนผ่านอดีตแบบไหนมากันแน่ ถึงได้แข็งแกร่งขึ้นเสียขนาดนี้?

เหลิ่งยวนเบือนสายตาพลางกล่าวในใจ เจ้านายเหตุใดท่านถึงยังไม่กลับมา ตอนนี้แม่นางจูนต้องการท่าน

“ใครบอกว่าข้าต้องการเขากัน?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังลอยมาจากด้านหลัง เหลิ่งยวนร่างแข็งทื่อโดยพลัน เมื่อครู่เขาพูดโพล่งความในใจออกมาแล้วหรือ? ก่อนหันขวับไปด้วยสีหน้างุนงง เห็นสายตาของจูนจิ่วมองมาที่เขาอย่างเย็นชา เหลิ่งยวนหน้าแดงจนแทบระเบิด

เขากล่าวประโยคถัดมาอย่างแห้งๆ “พูดผิดแล้ว เจ้านายต้องการท่านต่างหาก!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด