บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ 464 ใครขุดหลุมล่อใครกันแน่

Now you are reading บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ Chapter 464 ใครขุดหลุมล่อใครกันแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แน่นอนว่าตู๋กูชิงไม่ได้เพียงแต่จะให้จูนจิ่วอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข เขาต้องการให้จูนจิ่วชื่นชอบเขา หลงรักเขาด้วย

เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง และทุกวิถีทาง

ผางเจียเยว่เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากวังยู่หลันไป ก็ถูกเมี่ยวยู่เอ๋อขวางเอาไว้ทันที เมี่ยวยู่เอ๋อพาหยิงสาวคนหนึ่งตามหลังมาด้วย นางมีท่าทีราวกับกิ้งก่าได้ทอง มองผางเจียเยว่ด้วยสายตาดูแคลน เอ่ยขึ้นว่า “ผู้ดูแลผาง คนที่นั่งรถหงส์เก้าม้ามาเป็นใครกัน แล้วทำไมจึงได้เข้าไปอยู่ในวังยู่หลัน”

วังยู่หลันเป็นหนึ่งในตำหนักที่พักหลายแห่งของตู๋กูชิง ที่งดงามหรูหราที่สุดตำหนักหนึ่ง เมี่ยวยู่เอ๋อที่เป็นบ่าวรับใช้ที่ใกล้ชิดที่สุดมีอำนาจมากที่สุด ตั้งความหวังกับที่แห่งนี้มานานแล้ว

ปรากฏว่าตัวเองแม้แต่ประตูวังก็ไม่ได้ก้าวเข้าไป แต่วันนี้กลับมีคนเข้าไปอยู่ข้างในแล้ว เป็นใครกัน เมี่ยวยู่เอ๋อกัดฟันอย่างอิจฉาริษยา

แล้วก็พูดว่า “เมื่อครู่ข้ายังเห็นลี่หยุนซูมาด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้น บอกข้ามาก”

ต่อหน้าเมี่ยวยู่เอ๋อนั้นผางเจียเยว่วางตัวได้อย่างเหมาะสมไม่ดูต่ำต้อยหรือสูงส่งกว่า นางยิ้มและพูดว่า “คนที่อยู่ในวังยู่หลันเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าตำหนัก เมี่ยวยู่เอ๋อถ้าเจ้าอยากจะรู้ละก็ สามารถไปถามเจ้าตำหนักได้ ส่วนเรื่องอื่น ข้ารับคำสั่งมาไม่สามารถพูดได้”

หมับ

ลงมืออย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เมี่ยวยู่เอ๋อบีบคอของผางเจียเยว่เอาไว้ พลังนั้นแรงพอที่จะบีบคอของนางแล้วดันให้ไปชนกับประตูตำหนักข้างหลัง สีหน้าเย็นชาโอหัง เมี่ยวยู่เอ๋อยิ้มชั่วร้าย “พูด แม้ว่าข้ากับเจ้าจะเป็นแค่สุนัขรับใช้ข้างกายเจ้าตำหนักตัวหนึ่ง แต่เจ้าเป็นตัวที่ต่ำต้อยที่สุด ข้าสามารถฆ่าเจ้าทิ้งได้ตลอดเวลา”

“เชื่อหรือไม่ แม้ข้าจะบีบเจ้าให้ตายตอนนี้ เจ้าตำหนักก็ไม่มีทางโทษข้า ผู้ดูแลผางคิดให้ดี บอกข้ามาว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นใคร”น้ำเสียงของเมี่ยวยู่เอ๋อเต็มไปด้วยการข่มขู่ มือที่บีบคอของผางเจียเยว่ไม่เพียงจะไม่คลายลงแต่กลับบีบแน่นขึ้นไปอีก

กระทั่งบีบคนผางเจียเยว่ตาจะเหลือกขึ้นแล้ว จึงคลายมือพร้อมฮึเสียงเย็น ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นหญิงสาวที่ยืนห่างอยู่หลังเมี่ยวยู่เอ๋อเพียงสามก้าว เงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลง ไร้สุ้มไร้เสียง

เมี่ยวยู่เอ๋อเช็ดมือด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ “พูด เป็นใครมาจากที่ใด”

มองเมี่ยวยู่เอ๋อด้วยความขยาดหวาดกลัว ผางเจียเยว่จับที่ลำคอด้วยสีหน้าเจ็บปวด นางกระแอมหนึ่งเสียง พอเปิดปากพูดน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแหบแห้งไปแล้ว ผางเจียเยว่กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เมี่ยวยู่เอ๋อ ข้าบอกกับเจ้าได้แค่ว่านางแซ่จูน เรื่องอื่น ถ้าข้าบอกให้เจ้ารู้ เจ้าตำหนักก็คงไม่ไว้ชีวิตข้าเช่นกัน ”

สีหน้ามีความไม่พอใจ แต่เมี่ยวยู่เอ๋อรู้ดีว่านางเองก็สามารถรู้ได้เพียงเท่านี้ แซ่จูน นี่หมายความว่าอย่างไร

คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เอง หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังนางก็เงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนใจและโหดเหี้ยมว่า “แซ่จูน จูนจิ่วใช่หรือไม่ มาจากสำนักศึกษาทั้งสาม ”

สีหน้าของผางเจียเยว่ตกตะลึง เห็นดังนั้น เมี่ยวยู่เอ๋อก็ละความสนใจจากผางเจียเยว่ทันที นางหันหน้ากลับไปทางหญิงสาวคนนั้น

“เห็นทีหงยิงเจ้าจะรู้จักสินะ มา พูดให้ข้าฟังซะดีดีว่าจูนจิ่วคนนี้เป็นใคร ทำไมนางจึงมาที่ตำหนักไท่หวง ”อีกทั้งยังนั่งรถหงส์เก้าม้ามา อาศัยอยู่ในวังยู่หลัน

หงยิงก้มหน้าลงอีกครั้ง สายตามีแววเคียดแค้นชิงชังเข้ากระดูกวาบผ่าน นางพูดว่า “เป็นนางที่ฆ่าซิงโล่เฉิน ”

อะไรนะ

สีหน้าของเมี่ยวยู่เอ๋อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เป็นโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นนางเองหรือที่ฆ่าซิงโล่เฉิน

……

จูนจิ่วสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ช้าก็หายไป เร็วจนเหมือนคิดไปเองอย่างไรอย่างนั้น

สายตาเย็นชา จูนจิ่วยกน้ำชาขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง อันตราย ตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวเท้าเข้าสู่ตำหนักไท่หวง นางก็ได้เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในอันตรายแล้ว จูนจิ่วเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรก และคิดวิธีการตอบโต้ไว้แล้ว สมองของนางเป็นเหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง ไม่มีเวลาใดที่ไม่หมุนเวียนอย่างรวดเร็วเพื่อคิดวิเคราะห์

“แม่นางจูน พวกเรามาถึงตำหนักไท่หวงแล้ว ท่านมีแผนการอะไรหรือไม่”เหลิ่งยวนเปิดปากเอ่ยถามขึ้น

เสี่ยวอู่กำลังรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ นอนราบอ้าขากว้างกรนไม่หยุด ให้จูนจิ่วลูบที่ท้องของมัน พอได้ยินสิ่งที่เหลิ่งยวนพูด เสี่ยวอู่ก็ลืมตาแมวขึ้นมองไปยังจูนจิ่ว

ยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม จูนจิ่วตอบว่า “คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ นั่งรอให้ตู๋กูชิงมาหาถึงที่ จากนั้นเหลิ่งยวนเจ้าช่วยข้ายืนยันให้แน่ใจเรื่องหนึ่ง ”

นางมาถึงตำหนักไท่หวงแล้ว ตู๋กูชิงยังรอต่อไปได้หรือ

“ได้”เหลิ่งยวนตอบ

จูนจิ่วทายได้แม่นมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ตู๋กูชิงก็มาถึงด้วยการนำของผางเจียเยว่

จูนจิ่วมองเห็นผางเจียเยว่เป็นอันดับแรก หางตามีแววโหดเหี้ยมของนางมองเห็นผางเจียเยว่ได้เปลี่ยนเป็นชุดปกคอสูง บริเวณคอเสื้อมีรอยสีม่วงช้ำที่ซ่อนอยู่เผยให้เห็นเล็กน้อย

เป็นนักกลั่นยา แค่พริบตาเดียวจูนจิ่วก็มีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่ร่องรอยความรักที่อ่อนโยนอะไร แต่ถูกคนอื่นบีบคั้นมา

ใคร ตู๋กูชิงทำหรือ

“จูนจิ่ว”อ่อนโยนดุจสายน้ำ เรียกขานด้วยน้ำเสียงล้ำลึกดุจมหาสมุทร แววตาของจูนจิ่วขรึมลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองตู๋กูชิงด้วยสายตาราบเรียบ

ตู๋กูชิงไม่ใส่ใจความเย็นชาของจูนจิ่วเลยสักนิด เหมือนเขากำลังใช้ความอบอุ่นมาหลอมละลายคนที่เย็นชาดุจก้อนหิน ใบหน้ามีรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นลึกซึ้งเผยให้เห็นอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มนั่น ทำให้เสี่ยวอู่พองขนรู้สึกขนลุกจนต้องสะบัดตัวทิ้งความขนลุกนั้นไป

ตอนไหนจึงจะไม่ต้องทนเขาอีก จะได้ใช้กรงเล็บทั้งสี่ข้าง ข่วนให้เขากลายเป็นนกยูงรำแพนจะได้เลิกหลงตนเอง

เสี่ยวอู่พึมพำ ทนมองดูตู๋กูชิงต่อไปไม่ไหวแล้ว มันหันหน้าไปมองเจ้านายของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อล้างตา

ตู๋กูชิง “จูนจิ่วเจ้ายินดีมาที่ตำหนักไท่หวง ข้ารู้สึกดีใจมาก ”

“ข้าได้ยินมาว่า ท่านกำลังเตรียมงานแต่งงานหรือ”จูนจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบตัวเสี่ยวอู่ด้วยท่าทีเกียจคร้านเชื่องช้า แต่สายตาที่มองไปยังตู๋กูชิงนั้น กลับเย็นชาไร้ซึ่งอุณหภูมิโดยสิ้นเชิง

ตู๋กูชิงกวาดมองผางเจียเยว่แวบหนึ่ง ผางเจียเยว่จึงถอยออกไปและปิดประตูลง ตู๋กูชิงจึงนั่งลง พูดกับจูนจิ่วว่า “ใช่ ข้าอยากจะจัดการแต่งอย่างยิ่งใหญ่อลังการเพื่อเจ้า เพื่อชดเชยความผิดที่ข้าหาตัวเจ้าได้ช้าไป เจ้าวางใจได้ งานแต่งงานนี้ต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างน้อยสองสามปี ข้าจะรอให้เจ้าเติบใหญ่แล้วค่อยตัดสินใจ ไม่บีบบังคับเจ้าแน่ ”

จูนจิ่ว :หึ

เสี่ยวอู่:หึหึ

เริ่มเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ยังไม่เรียกว่าบีบบังคับอีกหรือ เห็นได้ชัดว่าตู๋กูชิงกำลังขุดหลุมปักเสา คิดจะขังตายจูนจิ่ว

หลุบเปลือกตาลง ปิดบังแววตาที่เย็นยะเยือก จูนจิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าอยากจะชดเชยก็มีตั้งหลายวิธี วางเรื่องสัญญาแต่งงานไว้ก่อน ข้าต้องการแน่ใจว่าของแทนคำมั่นสัญญานั้นเป็นของจริงหรือไม่ ”

ตู๋กูชิงรีบยื่นมือไปเอาหุยสู้ออกมาทันที ทันใดนั้นจูนจิ่วก็ยกมือขึ้นตัดบทการกระทำของเขา จูนจิ่วพูดต่อไปว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าของแทนคำมั่นสัญญาในมือของข้าคืออะไร”

“กุญแจเวลา ”น้ำเสียงของตู๋กูชิงแน่วแน่ แฝงอายแห่งความต้องการอยู่ลึกๆ

จากนั้น เขาก็เห็นจูนจิ่วกางฝ่ามือออก เผยให้เห็นกุญแจเวลา พอเห็นกุญแจเวลา ตู๋กูชิงควบคุมดวงตาที่ลุกโชนขึ้นดุจเปลวไฟของตัวเองไม่ได้ นี่มันกุญแจเวลา ห้าปีมานี้ เขาได้แต่คาดหวังในของล้ำค่านี้ทุกคืนวัน ที่แท้เหยียนม่านตงก็ให้กุญแจเวลาไว้กับจูนจิ่วจริงๆ

มือข้างหนึ่งของตู๋กูชิงซ่อนเอาไว้ข้างหลัง กำเป็นหมัดแน่น เขากลืนน้ำลาย ฉีกยิ้มเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ดุร้ายตื่นเต้นเกินไป

“จูนจิ่ว ข้าขอดูได้หรือไม่”

“ได้”จูนจิ่วยิ้มเย็น ยิ้มอย่างมีเลศนัย

นางยกมือขึ้นโยนกุญแจเวลาให้กับตู๋กูชิง ตู๋กูชิงรีบยื่นสองมือออกไปทันที ทั้งรีบร้อนทั้งระมัดระวังในการกอบกุมเอาไว้ ชั่วขณะที่กุญแจเวลาอยู่ในมือ ตู๋กูชิงสามารถรับรู้ได้ว่าพลังในร่างกายได้ถูกดูดกลืนเข้าไป แต่ขณะที่เขาทำการใช้สติเพื่อจะจับต้อง กลับถูกปิดกั้นไว้ข้างนอก

ตู๋กูชิงไม่พอใจ

แต่แค่อึดใจเดียวเขาลองมาหมดทุกวิถีทางแล้ว ก็ไม่สามารถแตะต้องกุญแจเวลาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปิดใช้งานมัน ใบหน้าของตู๋กูชิงบิดเบี้ยวไปชั่วพริบตาหนึ่ง ที่แท้สิ่งนี้มีแต่คนตระกูลเหยียนเท่านั้นที่สามารถใช้ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด