บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ 95 บังอาจรังแกจูนจิ่วต่อหน้า

Now you are reading บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ Chapter 95 บังอาจรังแกจูนจิ่วต่อหน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 95 บังอาจรังแกจูนจิ่วต่อหน้า

“องค์รัชทายาทเฟิ่งเทียนฉี ในงานฉลองวันเกิดตระกูลจูนนำปะการังพันปีที่ประมูลจากตระกูลหยูนไป และกล่าวอ้างว่าเป็นตัวเองใช้แรงกายหลายปีเฟ้นหามาได้ ช่างหน้าไม่อายได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าตกตะลึงยิ่งนัก!ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทตรัสแล้วต้องไม่คืนคำ เขาเอ่ยสู่ขอราชาภิเษกกับคุณหนูใหญ่จูนหยูนเสวี่ยต่อหน้าผู้คน”

ในเวลานั้น สายตาทุกคนพุ่งตรงไปยังจูนหยูนเสวี่ยและเฟิ่งเทียนฉี สีหน้าของทั้งสองเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำดำ ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

ผู้คนต่างสูดหายใจด้วยความประหลาดใจ เฟิ่งเทียนฉีช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!ใช้ของที่ประมูลมาได้ กลับไปโกหกหลอกลวง ยังดีที่ความตั้งใจเป็นไปเพื่อสู่ขอจูนหยูนเสวี่ยในงานฉลองวันเกิด ช่างหน้าหนาเหลือเกิน ไม่อาจรู้เลยว่า เจ้าตระกูลจูนจะรู้สึกอย่างไร?

ชายปากดี “เป็นอย่างนี้แต่ต้นจนจบ ก็ยังนับว่าจบลงด้วยดี ทว่าเมื่อองค์รัชทายาทพบกับจูนจิ่ว ทันใดนั้นกลับนึกอยากให้ตัวเองมีงานแต่งกับจูนจิ่วขึ้นมา ภายในงานนั้นเองรีบทอดทิ้งคุณหนูใหญ่ตระกูลจูน กลับอิงคำสัญญาที่เคยมู่ขอจูนจิ่ว!”

แซ่ด!

เสียงเซ็งแซ่ขึ้น !บรรยากาศถึงจุดเดือด ผู้คนต่างตะลึงงันไปแล้ว

แท้จริงแล้วความจริงเป็นแบบนี้!จูนจิ่วมิใช่นางเพศยาเป็นน้อย และไม่ได้ยั่วยวนองค์รัชทายาท เป็นเฟิ่งเทียนฉีเองที่เลวร้ายเหนือโลก ตอนแรกต้องการสู่ขอจูนหยูนเสวี่ย ภายหลังจะสู่ขอจูนจิ่ว!

ดูแคลนคนสารเลวเฟิ่งเทียนไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ที่ทำให้เหล่าลูกศิษย์สำนักเทียนโจ้งรับไม่ได้ นั่นคือความสกปรกโสมมของตระกูลจูน!

หญิงราวกับเทพธิดาที่พวกเขาเคารพยกย่อง ท่าทางงดงามบริสุทธิ์ ใสสะอาดสูงสาง เป็นคู่ครองที่หญิงและชายนับไม่ถ้วนมาดหวัง ดังนั้นจึงเชื่อในคำเล่าลือตั้งแต่แรก และเมื่อรับรู้ว่าจูนหยูนเสวี่ยถูกกลั่นแกล้ง ทุกคนต้องเป็นเดือดเป็นร้อน รีบออกมาเรียกร้องให้จูนจิ่วรับโทษ ขับไสออกจากสำนัก

ทว่าไม่คาดคิดเลยว่า ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวกลับตาลปัตรเยี่ยงนี้!จู๋หมู่ตระกูลจูนจะฆ่าแม่นางจูนหลายครั้งหลายครา พวกเขาหลอกตัวเองไม่ได้เลยว่าจูนหยูนเสวี่ยจะไม่รู้เรื่องนี้ ในตอนนี้ เทพธิดาได้ร่วงหล่นลงมาจากบัลลังค์แล้ว

จูนหยูนเสวี่และเฟิ่งเทียนฉีเรียกได้ว่า ตัวเองไม่ได้อะไรมีแต่เสียกับเสีย

ใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงจูนจิ่วหรือ?ท้ายที่สุดกลับเปิดเผยตัวเอง ราวกับถูกตบหน้า ผู้คนที่ช่วยปกป้องในตอนแรก ตอนนี้กลับกลายเป็นสงสัย

“ไม่!นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!” จูนหยูนเสวี่ยสงบสีหน้า กัดฟันรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งของตัวเอง นางสีหน้าแปรเปลี่ยนแปรไป ในสายตาประกอบด้วยน้ำตาแห่งความโกรธและความเสียใจ จูนหยูนเสวี่ยชี้และจดจ้องไปยังชายปากดี “เจ้าพูดเรื่องเหลวไหล!”

“ถูกต้อง ทุกคนอย่าได้เชื่อคนเล่าเรื่องเช่นข้า พูดจาอะไรจะเชื่อได้อย่างไร พูดจาเหลวไหล จะเชื่ออะไรได้?” เฟิ่งเทียนก็รีบตะโกนเสียงดัง

“ทำไมจะไม่เชื่อเล่า ชายปากดีมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นเทียนโจ้ง มีคุณธรรมจริยธรรมสูงส่ง ไม่เคยโกหกมาเลย หรือเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง?” จูนจิ่วยิ้มเยาะเยียบเย็น สายตาเย็นเยียบจดจ้องไปยังพวกเขาทั้งสอง

“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!จูนจิ่ว ต้องเป็นเจ้า!เป็นเจ้าที่ซื้อตัวชายปากดี ตั้งใจจะใส่ร้ายข้า!ตัวเจ้าเองที่ชั้นต่ำอวดโอหัง กอบกู้ชื่อเสียงตัวเองไม่ได้ ก็ดึงลากข้าไปด้วย?เพื่อใส่ร้ายข้า บิดเบือนเป้าสายตา เจ้าช่างร้ายอำมหิตจริงๆ !”

จูนหยูนเสวี่ยถนัดแสร้งน่าสงสาร นางเพียงถอดภาพลักษณ์บัวสีบริสุทธิ์ออก ทำตาแดงทำทีน่าสงสาร เหล่าบรรดาลูกศิษย์ก็เจ็บปวดใจขึ้นมาทันที เท่านั้นกลับสับสนขึ้นต้องการจะกลับไปอยู่ฝ่ายนาง

เฟิ่งเทียนฉีเอ่ยขึ้น “จูนจิ่ว เจ้าให้ชายปากดีพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร?คนที่ข้าต้องการสู่ขอคือเจ้า เจ้าคือฮองเฮาของข้าในภายภาคหน้า!เสว่เอ๋อร์ก็เป็นพระชายารองที่รักของข้า ต่อไปก็จะเป็นถึงสนมเอก พวกเจ้าต่างก็เป็นคนตระกูลจูน ควรปกป้องช่วยเหลือกันถึงจะถูก ทำไมถึง…”

พรึบ!

จูนจิ่วยกเท้าขึ้นพร้อมจะเตะเฟิ่งเทียนฉีไปไกลๆ นางยิ้มเย็นพลางสะบัดชายเสื้อขึ้น “ขออภัยที่อดทนต่อไปไม่ไหว ช่างโง่งี่เง่าน่ารังเกียจจริงๆ”

สมองของเฟิ่งเทียนฉีน่ากลัวว่าจะมีแต่น้ำ!คิดว่าตนเป็นองค์รัชทายาท ก็จะยกตนเหนือกว่าผู้อื่น คิดว่าทุกคนจะต้องประจบสอพลอเขา ปรนนิบัติเขา เอาใจเขาหรือ?ไสหัวไปซะ!องค์รัชทายาทอย่างนี้ อนาคตของแคว้นเทียนโจ้งคงจบสิ้นกันในเวลาอันสั้น!

จูนจิ่วมองไปยังจูนหยูนเสวี่ย สายตาสบเข้ากับนาง ราวกับจูนหยูนเสวี่ยกลับรู้สึกกลัวขึ้นพลันถอยหลังไปครึ่งก้าว กำปั้นในมือกำแน่นจนมือสั่นอยู่ใต้ชายเสื้อ เมื่อพบว่าเรื่องราวทั้งหลายต่างถูกเปิดเผยออกมาหมดหน้าตัก นางกลับไม่ได้รับความดีความชอบอะไรเลย

จูนจิ่วยิ้มเย้ยหยัน “จูนหยูนเสวี่ย เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ ว่าสิ่งที่ชายปากดีเอ่ยออกมาทุกๆ คำ ต่างโกหกขึ้นมา?”

“จูนจิ่วเจ้าทำไมต้องบีบบังคับข้า เรื่องพวกนั้นข้าไม่รู้เรื่อง เจ้าจะบังคับข้าไม่ทำไมกัน?เจ้าคิดว่าตัวเจ้าไม่มีปัญญาทดแทนบุญคุณบิดามารดาข้า จึงเลือกทำร้ายข้า เจ้าช่างเลือดเย็นยิ่งนัก!” ทั้งคำพูดและการกระทำของจูนหยูนเสวี่ยต่างแสร้งทำเป็นน่าสงสาร

พลันผลักเรื่องราวในอดีตทั้งหมดไว้เป็นความผิดของจูนจิ่ว นางต้องแสดงท่าทางเป็นดอกบัวขาวบริสุทธิ์ ทว่าจูนจิ่วกลับต้องเป็นนางร้ายผิดบาปมหันต์ เป็นดาวอัปมงคลจอมวายร้าย

มนุษย์ต่างชมชอบความสวยงามอ่อนหวาน ยิ่งจูนจิ่วยึดจับนางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางดุดันป่าเถื่อนมากเท่านั้น!เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วจูนหยูนเสวี่ยดูน่าสงสารยิ่งนัก นางคิดได้ดังนี้ สายตาพลันมีประกายตาวาวขึ้น ถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น!

นางจะสามารถถอนตัวเองออกไปได้อย่างสง่างาม!

จูนจิ่วเห็นแผนการเบื้องลึกของจูนหยูนเสวี่ยอย่างทะลุปรุโปร่ง นางยิ้มอย่างดูแคลนพลางเอ่ยปากขึ้น “จูนหยูนเสวี่ย เจ้าไม่รู้จริงๆหรือ?”

“ถูกต้อง ข้าไม่รู้ จูนจิ่วแม้เรื่องที่เล่ากันทั่วในสำนักเทียนโจ้งช่วงนี้จะเป็นเพียงข่าวลือ เจ้าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม แต่ว่าที่เท่าทำร้ายศิษย์สำนักจนบาดเจ็บในห้องเรียน ทั้งยังข่มขู่ท่านอาจารย์ซือถูซิว เรื่องนี้เจ้าจะอธิบายอย่างไร?”

“ถูกต้อง!นางก่อเรื่องที่ห้องเรียน ทำลูกศิษย์สำนักบาดเจ็บหลายสิบคน ทั้งยังใช้กระบี่ข่มขู่ข้า ท่านเจ้าสำนักท่านดูสิ ทั้งหมดนี่ต่างเป็นหลักฐานทั้งสิ้น!” ซือถูซิวรีบก้าวออกมา ชี้ไปยังรอยเลือดบริเวณลำคอตัวเอง

จูนจิ่วถูกใส่ร้ายแล้วทำไมกัน?นางมิใช่คนสารเลวแล้วจะทำไมหรือ?

นางก่อเรื่องขึ้นในห้องเรียน ทำร้ายลูกศิษย์ และยังข่มขู่อาจารย์!สายตาของซือถูซิวฉายแววอำมหิตชั่วร้าย เขาต้องกำจัดจูนจิ่วออกไปให้ได้ มิเช่นนั้นจะรักษาภาพลักษณ์อาจารย์ผู้น่าเกรงขามของเขาอย่างไร?ยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนเองตกใจกลัวจนปัสสาวะรดกางเกง ต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหา ใบหน้าของซือถูซิวก็บิดเบี้ยวไปทันที

ซือถูซิวรีบเอ่ยสำทับ “ท่านเจ้าสำนัก ท่านรองเจ้าสำนัก จูนจิ่วหญิงนางนี้ฝีมือร้ายกาจจิตใจต่ำช้า ความชั่วร้ายเหลือคณานับ สำนักเทียนโจ้งของข้าแห่งนี้เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนผู้มากพรสวรรค์และทรงคุณวุฒิ ต้องไม่มีคนอัปรีย์เช่นนี้ ก่อเรื่องวุ่นวาย!”

“ท่านอาจารย์ซือถูซิวพูดได้ถูกต้อง ท่านเจ้าสำนัก ข่าวลือนั้นไม่อาจเกิดขึ้นจากลมหรืออากาศธาตุ บางเรื่องต่างต้องมีเหตุจริงท่านว่าจริงหรือไม่?”

เฟิ่งเซียวได้ยินดังนั้นโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด นี่นับว่าเขาตายไปแล้วหรืออย่างไร?

บังอาจรังแกจูนจิ่วต่อหน้าเขา!

เฟิ่งเซียวสืบเท้ายาวเดินไป ตรงไปคว้าคอเสื้อซือถูซิวแล้วดึงขึ้นจนร่างเขาลอยพื้น เขาเบิกตาจ้องไปยังซือถูซิว ตะโกนเสียงดังขึ้น “แล้วเรื่องต่างๆ ที่ผ่านไปแล้วเล่า?เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเจ้าใส่ร้ายเสี่ยวจิ่ว ทำลายชื่อเสียงของนาง และยังไม่ให้นางเข้าห้องเรียน ที่เสี่ยวจิ่วลงมือ นั่นนับเป็นเรื่องสมควรกระทำแล้ว!”

“แล้วได้ทำร้ายพวกเจ้าจนถึงตายไหม?ไม่!ยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าได้มาพูดพร่ำเพรื่อ แม้เจ้าจะตาย เสี่ยวจิ่วก็ไม่ผิด!นางสั่งสอนพวกเจ้า เพราะเป็นความผิดของพวกเจ้า!”

ซือถูซิวตกใจกลัวลนลานไปแล้ว มิกล้าเอ่ยคำใดอีกต่อไป

เฟิ่งเซียวปกป้องราวกับลูกหลานตัวเอง เรียกได้ว่าบ้าอำนาจ และปกป้องอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้ว เหล่าลูกศิษย์สำนักที่อยู่ท่ามกลางสนามใหญ่ทั้งหมดต่างตะลึงอ้าปากค้างไปแล้ว

เฟิ่งเซียวมองไปยังเหอจงพลางเอ่ยข่มขู่ “วันนี้ พวกเจ้าจงดีใจที่ผมเสี่ยวจิ่วยังไม่ร่วงหล่นซักเส้นเดียว มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็คงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ ปริปากพูดพล่อยๆ ป้ายสีรังแกเสี่ยวจิ่วเช่นนี้!”

“เฟิ่งเซียวเจ้า เจ้า!” เหอจงโมโหจนพูดอะไรไม่ออก เฟิ่งเซียวแค่นเสียงเย็นชา พลันสะบัดมือซือถูซิวร่วงหล่นลงกับพื้น เข้าปัดมือไปมา แล้วเดินไปเบื้องหน้าจูนจิ่ว “เสี่ยวจิ่วไปกันเถิด พระอัยยาจะส่งเจ้ากลับไป!พวกเราอย่าได้ลดตัวลงคลุกคลีกับพวกโง่เง่าเช่นนี้เลย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด