ปฏิญญาค่าแค้น 19 เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน
นอกเสียจากหลี่ซิ่วฉาย ทุกคนซึ่งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่างพากันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด ในที่สุดก็เป็นอันเข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนตระกูลจางจึงได้กลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของมณฑลเฟิงอาน การเก็บออมเงินที่แท้ก็เก็บกันเช่นนี้นี่เอง ช่างเป็นผู้ที่ละโมบโลภมาก เพียงอ้าปากก็เป็นห้าร้อยสองเงิน แม้ว่าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเจี้ยนซีจะนำเงินมาลงขันกันทั้งหมดรวมๆ กันแล้วก็ยังได้ไม่ถึงห้าร้อยสองเงินด้วยซ้ำไป นี่มันไม่ได้หมายถึงการบังคับให้หลินหลันจำเป็นต้องยอมขึ้นรถเกี้ยวไปชัดๆ เช่นนั้นหรอกหรือ
หลินหลันได้แต่พูดในใจ เจ้าตาสามเหลี่ยมนี่ไม่ใช่ย่อย โหดร้ายเสียจริงนะ หลินหลันหันมองไปยังหลี่ซิ่วฉายพลางกะพริบตาปริบปริบ เจ้ามีไพ่ไม้ตายอะไรก็ควรหยิบออกมาได้แล้ว ! หลี่ซิ่วฉายเลิกคิ้วขึ้น ในทางตรงกันข้ามกลับเผยท่าทีไร้ซึ่งความกังวล และมองนางอย่างสนอกสนใจ
เอ่อ…พ่อหนุ่มนี่หมายความว่าอะไรกันแน่ แค่มองดูแล้วมันจะช่วยอะไรได้ หรือว่า…ยังไม่ถึงโอกาสที่เหมาะสม? หลินหลันรู้สึกหดหู่และไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก มิอาจอดทนรอได้อีกต่อไป จึงจัดการด้วยตนเอง
นางก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว มือสองข้างเท้าเอวเอาไว้ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย โดยมองไปยังผู้ดูแลหลิว แสดงท่าทีซึ่งดูแข็งแกร่งและหยิ่งผยองเสียยิ่งกว่าผู้ดูแลหลิว แล้วกล่าวขึ้น “เจ้าบอกว่าพี่สะใภ้ข้าเขียนใบสำคัญ แต่ข้าไม่เชื่อหรอก พี่สะใภ้ข้าไม่โง่ได้ถึงขั้นนี้เป็นแน่ ใบสำคัญนั่นเป็นพวกเจ้าที่ปลอมแปลงทำขึ้นมาใช่ไหม”
ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้วจนลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม เผยสีหน้าดูถูกเหยียดยามเป็นอย่างมาก “หมึกดำบนกระดาษขาวเขียนไว้อย่างชัดเจน หากแม่นางหลินหลันไม่เชื่อ นำเอาไปดูก็ได้”
หลินหลันก้าวเข้าไปคว้าใบสำคัญนั่นมาอย่างไม่เกรงใจ อีกทั้งยังส่งสายตาสงสัยมองไปยังผู้ดูแลหลิว แล้วจึงหันมาตั้งใจจ้องมองอย่างละเอียดบนใบสำคัญ ขณะนั้นเองภายใจเกิดอดไม่ได้ที่จะด่าทอโดยความโมโห เหยาจินฮวาตัวร้าย ช่างโง่เสียยิ่งกว่าโง่จริงๆ ใบสำคัญเช่นนี้ยังเขียนขึ้นมาได้
ภายใต้สายตาเป็นกังวลใจของทุกคนซึ่งกำลังจับจ้องไม่วางตา จู่ๆ หลินหลันก็เคลื่อนไหวทำให้สิ่งที่ไม่คาดคิด
เห็นเพียงนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนำใบสำคัญนั่นฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงบนพื้นก่อนจะใช้ฝ่าเท้าเหยียบหมุนไปร้อยแปดสิบองศาบดขยี้จมลงไปยังขี้โคลนในที่สุด
คนไม่รู้กี่สิบคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันเงียบกริบไปชั่วขณะ
เหล่าชาวบ้านของหมู่บ้านเจี้ยนซีตกตะลึง เช่นนี้ก็ได้หรือ
ส่วนทางด้านตระกูลจางนั้น ผู้หญิงนางนี้…ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียเหลือเกิน !
หลี่หมิงอวินรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย วันใดที่นางเกิดอารมณ์ไม่ดี ก็จะเป็นประมาณนี้หรือไม่ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าสัญญาถูกเขียนไว้สองฉบับ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เป็นเพราะความฉลาดรอบคอบที่ช่วยไว้จริงๆ
ผู้ดูแลหลิวและแม่สื่อหวังจ้องมองชิ้นส่วนบนพื้นอยู่เป็นเวลานานและถึงกับพูดไม่ออก ใครจะไปคิดว่าหลินหลันจะทำลายหลักฐานท่ามกลางฝูงชนที่กำลังจับจ้อง
“เจ้า…เจ้ามันใช้กลโกง” ผู้ดูแลหลิวตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะเค้นเสียงของเขากลับมา และเอ่ยตำหนิด้วยความโกรธ ที่ผ่านมาเป็นผู้ดูแลหลิวคนเดียวที่ใช้กลโกงมาโดยตลอด ใครกันจะกล้าใช้กลโกงต่อหน้าเขา? ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้กลโกงได้อย่างบ้าบิ่นและโจ่งแจ้งเสียยิ่งกว่าเขาอีกด้วย นั่นทำให้เขารู้สึกเหลืออดเหลือทนจริงๆ
หลันหลันปรบมือปัดๆ อย่างไม่ไยดี หลังจากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างมั่นใจ “ข้าดูแล้ว ใบสำคัญฉบับนี้เป็นของปลอม พี่สะใภ้ข้าไม่รู้จักอักษรตัวเต็มแม้แต่ตัวเดียว ชื่อตัวเองยังเขียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป แล้วจะเซ็นชื่อลงไปในใบสำคัญได้อย่างไรกัน พวกเจ้าอยากเอาใบสำคัญจอมปลอมนี่มาข่มขู่ข้า ฝันไปเสียเถอะ”
หลินเฟิงเอ่ยสนับสนุนขึ้นทันที “ใช่ เมียของข้าไม่มีทางเซ็นชื่อลงในใบสำคัญเช่นนี้เป็นแน่”
เหยาจินฮวาพยักหน้าอย่างแรง แสดงการยืนยันว่านางไม่ได้เซ็น เวลานี้ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน นางยังคงยืนอย่างเชื่อฟังข้างหลินเฟิงจะค่อนข้างปลอดภัยกว่า
แม่สื่อหวังโกรธจนพูดอย่างตะกุกตะกักไปหมดแล้ว “พวกเจ้า…พวกเจ้ามันต่ำทรามเกินไปแล้ว ถึงขั้นทำลายใบสำคัญ…”
หลินหลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งขึ้นมากะทันหัน และเผยสีหน้าเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง “ใช่น่ะสิ! ทำไมข้าถึงฉีกเสียได้ล่ะ ข้าควรที่จะเก็บใบสำคัญเอาไว้แล้วส่งให้ทางการเพื่อฟ้องร้องพวกเจ้าโทษฐานหลอกลวงการแต่งงานถึงจะถูกต้อง”
หลักฐานก็ถูกนางทำลายไปหมดแล้ว ตอนนี้ดันถูกเล่นงานกลับขึ้นมาหนึ่งกระทง ผู้ดูแลหลิวรู้สึกถึงความโกรธที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ต่อให้เจ้าทำลายใบสำคัญไปแล้ว แม่สื่อหวังก็ยังสามารถเป็นพยานได้ เจ้าหนีไปไม่พ้นหรอก” ผู้ดูแลหลิวกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อระงับอารมณ์โกรธ และข่มอารมณ์เอาไว้ขณะเอ่ยออกไป
มีคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเยาะเย้ย “ปากนั้นของแม่สื่อหวังพูดออกมาในสิบประโยคก็ล้วนไม่มีความจริงเลยแม้แต่ประโยคเดียว เชิญนางไปเป็นพยานยังไม่สู้เชิญหุ่นไล่กาในท้องทุ่งไปเป็นพยานเสียยังดีกว่า ที่แน่ๆ หุ่นไรกาก็ไม่สามารถพูดปดได้”
ผู้พูดคือลุงเฉินเหลียง หลังจากนั้นบรรดาชาวบ้านของหมู่บ้านเจี้ยนซีจึงต่างพากันหัวเราะเยาะขึ้นมา จนทำให้แม่สื่อหวังอับอายขายหน้าถึงขั้นหูหน้าตาแดง
ใบหน้าของผู้ดูแลหลิวเปลี่ยนไปเนื่องจากความโกรธ จ้องมองไปที่หลินหลัน “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็วางแผนที่จะยกเลิกการแต่งงานแล้วใช่หรือไม่”
หลินหลันเฉดหน้าพลางขยับศีรษะเล็กน้อย “เรื่องการแต่งงานนี้ไม่ได้รับการเห็นชอบจากข้า เดิมทีก็เท่ากับไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว การแต่งงานที่ไม่มีผลสามารถนับได้ว่าเป็นการยกเลิกงานแต่งงั้นหรือ”
ผู้ดูแลหลิวยิ้มออกมาแม้จะโกรธเป็นอย่างมาก “แม่นางหลินหลัน วันนี้นับว่าเจ้าทำให้ข้าได้เปิดตาเห็นโลกกว้างมากขึ้น แต่ทว่าอย่างไรก็ตามต่อให้เจ้าจะหาข้ออ้างอย่างไร ทองหมั้นก็ได้ส่งมอบไปแล้ว เกิงเถี่ยก็แลกเปลี่ยนกันแล้ว เรื่องการแต่งงานนี้เป็นอันเท่ากับได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ แม่นางหลินหลัน หากยังพอมองสถานการณ์ออกก็รีบขึ้นเกี้ยวเสียเถอะ ข้าสามารถคิดเสียว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น…เจ้านายของบ้านข้าเกิดขุ่นเคืองใจขึ้นมาแล้วล่ะก็ พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
“น้องสาวข้ามีคนสู่ขอแล้ว แล้วใยเล่าจะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวของบ้านเจ้าได้อีก” หลินเฟิงเอ่ยปากขึ้น
“ถุย! เจ้าพูดเหลวไหล เป็นเมียของเจ้าเองที่วันก่อนไปหาข้าเพื่อให้ช่วยหาสามีให้หลินหลันสักคน แล้วเมื่อวานนี้ก็มาส่งของกำนัลให้ เมียของเจ้ายังดีอกดีใจแล้วก็รับเอาทองหมั้นไปแล้ว พอวันนี้มาบอกว่ามีคนสู่ขอแล้ว ใครจะเชื่อห๊ะ” แม่สื่อหวังตะเบงคอโก่ง กระทืบเท้าด้วยความโกรธเอ่ยโต้แย้ง
หัวหน้าหมู่บ้านจินฟู่กุ้ยเอ่ยขึ้น “ผู้ดูแลหลิว เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ อันที่จริงแล้ว ไม่กี่วันก่อนหลินหลันได้กำหนดที่จะหมั้นหมายกับหลี่ซิ่วฉายของหมู่บ้านเราไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเพราะว่าภรรยาของหลินเฟิงไม่ชื่นชอบหลี่ซิ่วฉายมาโดยตลอด ดังนั้น ก่อนหน้านี้ทุกคนจึงปิดบังนาง เรื่องนี้ พวกเราสามารถเป็นพยานได้” หัวหน้าหมู่บ้านกำลังพูดออกไป อย่างอ้อมค้อมเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ภรรยาหลินเฟิง เจ้าช่วยออกมาพูดด้วยตนเองให้ชัดๆ ”
เหยาจินฮวาที่กำลังก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองไปยังแม่สื่อหวังซึ่งกำลังส่งสายตาราวกับจะกินคนได้ทั้งคน แล้วพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ใช่…เป็นเช่นนี้ล่ะ”
ตอนนี้นางสนใจแค่เอาตัวเองให้รอด ใครจะยังสนว่าแม่สื่อหวังเจ้าจะเป็นเช่นไร
แม่สื่อหวังทั้งโกรธทั้งผิดหวัง “เหยาจินฮวา นี่เจ้าต้องการหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้างั้นรึ?”
บรรดาฝูงชนต่างเอ่ยในใจว่า สมน้ำหน้า!
ผู้ดูแลหลิวสบท ฮึ ทำเป็นเผยสีหน้าอย่างมองออกว่าพวกเจ้ากำลังเล่นละครอะไรกันอยู่ แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลี่ซิ่วฉาย? หลี่ซิ่วฉายคิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนกันรึ”
หลี่หมิงอวิทถูกเอ่ยนามขึ้นแล้ว เขาทำเพียงค่อยๆ เดินก้าวไปเบื้องหน้าสองฝีก้าวอย่างใจเย็น ไปหยุดยืนอยู่ที่ตำแหน่งด้านข้างของหลินหลัน ภายใต้อารมณ์ไม่แยแส แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ผู้ดูแลหลิว ดูเหมือนว่าเจ้าในตอนนี้จะมีสถานการณ์ชีวิตที่ไม่เลว น่าจะสามารถคืนเงินจากความละโมบโลภมากจำนวนเก้าร้อยเหลี่ยงเงินให้แก่ตระกูลเจ้านายเก่าได้แล้วสินะ”
สีหน้าของผู้ดูแลหลิวเปลี่ยนไปอย่างมาก ห้าปีก่อน เขาอยู่ที่ตระกูลเยี่ยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านผ้าไหม แอบทำการปลอมแปลงคุณภาพของสินค้าแล้วกอบโกยเอากำไร ถูกหัวหน้าตระกูลเยี่ยจับได้ ด้วยความใจบุญของหัวหน้าตระกูลเยี่ยที่เห็นว่าเขามีแม่ชราที่ป่วยหนัก และยังมีลูกชายคนเล็กที่ยังต้องหาเลี้ยงดู (แน่นอนว่าทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาหลอกลวง) จึงไม่ได้ให้เขาชดใช้เงินในส่วนที่ขาดทุนไป และก็ไม่ได้ป่าวประกาศต่อภายนอก ทำเพียงไล่เขาออกจากงาน เรื่องนี้แม้แต่ภรรยาของเขาก็ไม่รับรู้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุอันใดหลี่ซิ่วฉายถึงไปรับรู้เข้าได้ ผู้ดูแลหลิวรู้สึกถึงเพียงความหนาวเย็นที่พุ่งขึ้นจากฝ่าเท้าของเขา ภายในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่”
มุมปากของหลี่หมิงอวินกระตุกขึ้น ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่เคยได้ยินว่าตระกูลเจ้านายเก่ามีลูกเขยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วังหลวงในเมืองหลวงหรอกหรือ”
ผู้ดูแลหลิวตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อตอนที่เขาอยู่บ้านตระกูลเยี่ยก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาจริงๆ บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเยี่ยแต่งงานไปกับนักปรัชญาคนจน ทำให้สองสามีคู่ภรรยาโกรธเคืองเป็นอย่างมาก เกือบที่จะไม่สายสัมพันธ์กับบุตรสาวผู้นี้ ต่อมาภายหลังนักปรัชญาคนจนผู้นั้นก็ผ่านการสอบของจักรวรรดิ จึงได้เป็นเจ้าหน้าที่วังหลวง จากตำแหน่งเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยับขึ้นมาจนถึงตำแหน่งผู้ดูแลเมืองหลวง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตอนนี้จางต้าฮู่ไม่กล้าระรานตระกูลเยี่ย เขามีผู้ที่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ในวังหลวง! เมื่อมองดูหลี่ซิ่วฉายอีกครั้ง แม้ว่ากำลังสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ แต่ทว่าท่าทีช่างดูสง่างามสูงส่ง ทั้งอารมณ์และท่าทางดูไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป หรือว่า เขากับเจ้าหน้าที่ดูแลเมืองหลวงมีความเกี่ยวข้องอะไรกันเช่นนั้นหรือ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้ดูแลหลิวก็ไม่กล้ามองอย่างดูถูกเหยียดหยันหลี่ซิ่วฉายท่านผู้นี้อีก กลับแสดงท่าทีนอบน้อมให้การเคารพขึ้นมา ยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าเพื่อทำท่าคาราวะอย่างเกรงใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอเรียนถามว่ากับตระกูลเยี่ยท่านเป็น…”
Comments