ปฏิญญาค่าแค้น 290 ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี
หลินจื้อย่วนถูกนางเฝิงพร่ำพรรณนาใส่อยู่พักหนึ่ง พออ้าปากทีถึงกับลิ้นพันกันและหูหน้าตาแดงด้วยความหงุดหงิด “เจ้าพูดเยี่ยงนี้ ล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูกหรือ”
นางเฝิงกล่าวด้วยอารมณ์อึดอึดใจ “หากมิใช่ท่านที่ทำไม่ถูก แล้วผู้ใดทำไมถูกหรือเจ้าคะ หรือว่าเป็นตัวน้อง? ตัวน้องมิได้ร้องห่มร้องไห้โวยวายต้องการเร่งรีบแต่งกับท่านให้ได้เสียหน่อย”
หลินจื้อย่วนถูกพูดตอกหน้า ถึงกับพูดไม่ออก จึงเอนกายนอนลงอย่างเต็มแรง ปิดเปลือกตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ แผงอกยุบและนูนขึ้นตามจังหวะลมหายใจที่หนักหน่วง
นางเฝิงยังคงเอาแต่เอื้อนเอ่ยต่อไป “ท่านคงกำลังคิดว่า ทำไมบรรดาลูกๆ ถึงไม่สามารถเข้าใจความทุกข์ยากลำบากของท่าน ทำไมท่านอุตส่าห์อ่อนข้อนอบน้อมเพียงนี้แล้ว บรรดาลูกๆ ถึงยังคงไม่ให้อภัย? ดังนั้นจะว่าไปแล้ว ท่านกำลังมองปัญหาจากจุดยืนของตัวท่านเองทั้งนั้น ท่านพี่ นี่มิใช่การสู้รบที่ชายแดนนะเจ้าคะ ที่ทุกคนล้วนเชื่อฟังท่าน และยึดท่านเป็นศูนย์กลาง แน่นอนว่า หากท่านคิดว่ามันไม่ได้สำคัญอันใดว่าบุตรสาวบุตรชายคู่นี้จะยอมรับหรือไม่ เช่นนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไป หากท่านคิดว่าอยากให้พวกเขายอมรับ อยากอยู่เป็นครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา ท่านก็จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการคิดของตนเอง โดยคิดเพื่อพวกเขาอย่างแท้จริง คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเจ้าค่ะ…”
ความโกรธเกรี้ยวของหลินจื้อย่วนค่อยๆ สงบลง ดูเหมือนที่นางเฝิงพูดก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เขาจึงเอ่ยขึ้นซึ่งออกจะเหมือนการบ่นโอดครวญเล็กน้อย “คำพูดเหล่านี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดกับข้าแต่แรก?”
นางเฝิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพี่เคยถามไถ่ตัวน้องหรือไม่เจ้าคะ ไม่ทันไรท่านก็ตัดสินใจด้วยตนเองไปเสียแล้ว พอแม่ลูกเหยาจินฮวามาถึงประตูบ้านแล้ว ตัวน้องถึงได้รับรู้เรื่องราวนี้ ท่านจะให้ตัวน้องพูดกับท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนขอโทษขอโพยครั้งแล้วครั้งเล่า “ใช่ๆ ล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก ปัญหาคือจากนี้ข้าควรทำเช่นไรหรือ”
นางเฝิงวางหมาดท่าทาง “ท่านพี่จะยอมเชื่อฟังที่น้องพูดหรือเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาใจ “ที่ฮูหยินพูดล้วนเป็นคำชี้แนะอันล้ำเลิศทั้งนั้น สามีต้องรับฟังแน่นอนอยู่แล้ว”
นางเฝิงกรอกตามองบนใส่ พอต้องการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเขาถึงได้รู้จักพูดจาน่าฟังเยี่ยงนี้ ช่างเถอะ นางก็ไม่อยากบึ้งตึงเช่นนี้กับหลินหลันไปชั่วชีวิตเช่นกัน นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือหลินหลัน แล้วยังเป็นการช่วยเหลือตนเองอีกด้วย
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ตัวน้องขอบังอาจพูดเลยแล้วกันนะเจ้าคะ ประการแรง เรื่องนี้ป้าใหญ่ไม่อาจหลุดพ้นความผิดไปได้ จะลงโทษพวกเขาเช่นไร ท่านควรกำหนดบทลงโทษออกมาเสีย”
หลินจื้อย่วนพยักหน้าและกล่าวเสริม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว จะอภัยให้นางโดยง่ายมิได้เป็นอันขาด ข้าถึงได้อยากฟังความนึกคิดของหลินหลันอยู่นี่ไง”
นางเฝิงขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านคิดว่าหลินหลันยังยินดีที่จะพบเจอป้าใหญ่อีกหรือเจ้าคะ พบเจอแล้วอย่างไรหรือ ด่าทอสักยก หรือตบตีสักยก? ความแค้นเคืองโกรธภายในใจก็จะมลายไปได้เช่นนั้นหรือ”
“เข้าใจแล้วๆๆ พรุ่งนี้ข้าจะขับไล่ครอบครัวป้าใหญ่กลับบ้านเกิด และนับแต่นี้ข้าก็จะถือว่าไม่มีพี่สาวผู้นี้อีก” หลินจื้อย่วนกล่าวทันควัน
นางเฝิงสบถฮึ “แค่นี้น่ะหรือเจ้าคะ นี่ไม่เป็นการประเมินพวกเขาต่ำเกินไปหรือ ทำเช่นนี้มันก็แค่พวกเขาจะไม่ได้ตักตวงประโยชน์อันใดจากท่านแล้วเท่านั้นเองมิใช่หรือ พวกเขากลับบ้านเกิดไปก็ยังได้ใช้ชีวิตเช่นเคยมิใช่หรือเจ้าคะ”
“เช่นนั้นความหมายของฮูหยินคือ?”
“อย่างน้อยๆ ต้องทำให้พวกเขาไปคาราวะขอโทษที่หน้าหลุมศพนางเฉินด้วยตนเอง จากนั้นป่าวประกาศพฤติกรรมเลวร้ายของพวกเขาในหมู่บ้าน และประกาศตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ท่านพี่ ท่านอย่ากล่าวว่าตัวน้องใจร้ายใจดำเลยนะเจ้าคะ ท่านก็เห็นแล้ว ครอบครัวพี่ใหญ่เป็นคนนิสัยใจคอเช่นไร พวกเขาคว้าประโยชน์อันใดไม่ได้จากท่านก็จริง ทว่าตราบใดที่พวกเขาโพนะในหมู่บ้านว่า ตนเองมีน้องชายเป็นแม่ทัพใหญ่ คนบางคนที่คิดจะประจบประแจงพวกเขา ถึงตอนนั้นพวกเขาคงได้อาศัยชื่อเสียงของท่าน มาทำบางเรื่องที่เป็นการทำลายชื่อเสียงของท่านจนได้ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเจ้าคะ มีเพียงทางเดียวนี้ ถึงสามารถทำให้พวกเขาสงบปากสงบคำได้ ทำให้คนเหล่านั้นที่มีความนึกคิดจะประจบประแจงได้ล้มเลิกความคิดไปเสีย ถึงสามารถทำให้ครอบครัวป้าใหญ่สงบเสงี่ยมเจียวตัวขึ้นมาหน่อย นี่มิใช่เพราะเกรงกลัวพวกเขา แต่เป็นการช่วยเหลือพวกเขา” คำพูดที่นางเฝิงอัดอั้นมาเนิ่นนาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ระบายออกมาจนหมดเสียที
หลินจื้อย่วนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานพอตัว ก่อนถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ก็ทำตามความคิดเห็นที่เจ้าว่าแล้วกัน”
“อีกอย่าง เหยาจินฮวาผู้นั้น ข้าว่าไม่ใช่สตรีที่ดีเด่อะไรเช่นกัน ท่านไม่ได้เห็นกับตา ท่าทางที่นางอาละวาดในจวนหลี่วันนี้ ทำให้หลินหลันเดือดดาลเลือดขึ้นหน้าก็ว่าได้ หลินเฟิงก็โกรธเกรี้ยวมากเช่นกัน พูดตามความจริง สตรีประเภทนี้ไม่คู่ควรกับหลินเฟิงเลยเจ้าค่ะ ดังนั้น จากนี้ท่านช่วยสนใจเรื่องของพวกเขาให้น้อยๆ หน่อยนะเจ้าคะ” นางเฝิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
หลินจื้อย่วนกล่าว “หากไม่ใช่เพราะข้าพุ่งประเด็นไปที่เฟิงเอ๋อร์ ข้าหรือจะแยแสสตรีนางสตรีประเภทนั้น ได้ยินว่าตอนแรกนางยังคิดจะขายหลันเอ๋อร์ให้จางต้าฮู่ บัญชีนี้ไว้ภายหลังข้าค่อยจัดการนาง”
นางเฝิงหงุดหงิดจนเกือบยกนิ้วขึ้นจิ้มไปบนหน้าผากเขา แต่ดีที่ยังอดกลั้นไว้ได้ “ท่านพี่ ท่านว่าข้าควรตำหนิท่านอย่างไรถึงจะดีเจ้าคะ! ทั้งๆ ที่ท่านรู้ว่าเหยาจินฮวาไม่ใช่คนดีอะไร ท่านยังรับเข้ามาในบ้าน แล้วยังใช้นางไปรั้งหลินเฟิงไว้ นี่มิยิ่งทำให้คนเขาโกรธเคืองหรอกหรือ แล้วท่านจะให้หลินหลันคิดกับท่านเยี่ยงไรเจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนถึงกับเหงื่อตก “เรื่องนี้ เป็นข้าเองที่คิดไตร่ตรองไม่รอบครอบ ตามจริงฮานเอ๋อร์เป็นคนที่ข้าแยแสต่างหาก หลานชายที่น่าเอ็นดูเพียงนั้น เสมือนตอนเฟิงเอ๋อร์ยังเด็กๆ ไม่ผิดเพี้ยน กำยำจั้มมั้มน่าเอ็นดู”
นางเฝิงรู้สึกหมดคำจะพูดเหลือเกิน นางเงยหน้าขึ้นแล้วทิ้งตัวนอนลง และกระชับผ้าห่มไว้แน่น ไม่สนใจใยดีเขาอีก
“เอ้…เจ้าพูดต่อสิ!”
“ไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ” นางเฝิงเขยิบเข้าด้านใน ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิดจริงๆ
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าสลด นั่งอยู่ตรงนั้นตามลำพังและถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเขาที่มองปัญหาง่ายดายเกินไปจริงๆ คิดว่าตนเองทำเช่นนี้ก็จะสามารถได้รับการให้อภัยจากบุตรทั้งสองคนได้ คาดไม่ถึงว่าอยากจะทำให้ได้ดี แต่ผลกลับทำให้เรื่องราวแย่ไปกันใหญ่ ให้ตายเถอะ เรื่องนี้มันชวนปวดกระบาลยิ่งกว่าสู้รบเสียอีก
ฟ้ายังไม่ทันสร่าง หลี่หมิงอวินก็ตื่นนอนเสียแล้ว เมื่อวานพลิกไปพลิกมาจนถึงครึ่งคืน หลินหลันเหน็ดเหนื่อยจนดวงตาลืมไม่ขึ้น ขณะสะลึมสะลืออยากลุกขึ้นมา กลับถูกหมิงอวินกดกลับลงไปดังเดิม “เจ้านอนพักต่ออีกหน่อย อย่าเพิ่งตื่นนอนเลย”
หลินหลันกอดผ้าห่มไว้พลางบ่นอุบอิบ “เป็นขุนนางนี่มันเหนื่อยจริงๆ ทุกวันตอนตื่นแต่เช้าเสียยิ่งกว่าไก่อีก” อดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณที่ภายในบ้านไม่มีผู้อาวุโส มิเช่นนั้นตัวนางเองก็คงต้องตื่นแต่เช้าไปคาราวะตามธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกัน
หลี่หมิงอวินลูบใบหน้ารูปไข่ของนางด้วยความเอ็นดู และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะพยายามกลับมาโดยเร็วที่สุด”
หลังหลี่หมิงอวินเดินออกไป หลินหลันก็นอนหลับต่อไม่ได้นานมากนัก ก็ถูกเสียงร้องกระจองงอแงของเด็กน้อยปลุกให้ตื่น หลินหลันถึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีฮานเอ๋อร์อยู่ด้วย จึงรีบร้องเรียกหยินหลิ่ว “คุณชายน้อยฮานเอ๋อร์เป็นไรไปแล้วหรือ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “พอคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาไม่เห็นท่านแม่เขา ก็ร้องไห้หาท่านแม่เลยเจ้าค่ะ! แม่โจวจะปลอบเท่าใดก็เอาไม่อยู่เจ้าค่ะ”
หลินหลันรีบลุกขึ้นทันที และให้หยินหลิ่วช่วยเปลี่ยนชุด ล้างหน้าและหวีผมเพร้า
แม่โจวพยายามสุดความสามารถเท่าที่มีแล้ว ขนของเล่นออกมาก็แล้ว ตงจึแสร้งทำเป็นลิงกระโดดโลดเต้นในลานบ้านเพื่อหยอกล้อฮานเอ๋อร์ก็แล้ว กลับยิ่งทำให้ฮานเอ๋อร์ร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
“ตงจึ ใครเขาปลอบเด็กกันเยี่ยงนี้หรือ ไม่รู้จักทำก็รีบๆ ออกไปเลย” หลินหลันเดินออกมา เห็นตงจึกำลังปั้นหน้าปั้นตาเกือบจะไม่ต่างกับฮานเอ๋อร์เจ้านายตัวน้อยที่กำลังร้องกระจองงอแง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดและน่าขำขันในเวลาเดียวกัน
ตงจึรู้สึกเสมือนยกภูเขาออกจากอก รีบกล่าวขอตัวลาทันที แต่แล้วหลินหลันกลับเรียกเขาไว้ “ตงจึ เจ้าไปตลาดริมทางซื้อของเล่นดีๆ กลับมาหน่อย รีบไปเร็วเข้า”
ตงจึขานรับแล้วจากไป
แม่โจวอุ้มฮานเอ๋อร์เดินมายังเบื้องหน้าหลินหลันด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นี่…จะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันรับฮานเอ๋อร์มา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับน้ำตาให้ฮานเอ๋อร์ พลางปลอบประโลม “ฮานเอ๋อร์เด็กดี ฮานเอ๋อร์ไม่ร้องนะ อาจะพาเจ้าไปดูปลาดีหรือไม่ ปลาตัวน้อยๆ ปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ส่ายหางไปส่ายหางมา พนักหน้าหงึกหงัก หงึกหงัก ประเดี๋ยวผุดขึ้น ประเดี๋ยวผุดลง ดูเหมือนสหายตัวน้อยที่กำลังสุขสันต์…”
ขณะฮานเอ๋อร์สดับรับฟังเพลง ร่างน้อยๆ ยังคงสะอึกสะอื้น และเบะปาก เผยท่าทางเศร้าเสียใจอย่างมาก ทว่ากลับไม่ร้องไห้อีกแล้ว
หลินหลันพาฮานเอ๋อร์เดินไปยังสวนหลังบ้านเพื่อดูปลา เด็กน้อยล้วนชื่นชอบสัตว์ตัวเล็กๆ ฮานเอ๋อร์เริ่มแรกยังมองดูอย่างเงียบๆ ต่อมาภายหลังก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือน้อยๆ ต้องการไปจับตัวปลา หยินหลิ่วจึงโยนอาหารปลาอย่างรู้งาน เพื่อดึงดูดปลาในสระน้ำให้มารวมตัวกันแย่งอาหาร มองดูฮานเอ๋อร์ปรบมือและหัวเราะชอบใจ ในที่สุดก็สามารถปลอบเขาได้อยู่หมัดเป็นการชั่วคราวเสียที
“วิธีของเอ๋อร์เส้าหน่ายนายยังคงได้ผลเช่นเคยเลยนะเจ้าคะ” แม่โจวซึ่งคอยติดตามอยู่ด้านหลังยิ้มด้วยความโล่งอก
“นั่นเป็นเพราะฮานเอ๋อร์ของพวกเราเป็นเด็กดีอย่างไงละ…” หลินหลันเอ่ยด้วยเสียงเล็กและอ่อนโยน ลูบศีรษะน้อยๆ ของฮานเอ๋อร์ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของตนเอง หลินกลันจึงชื่นชอบฮานเอ๋อร์อย่างไม่ต้องสรรหาเหตุผล
“อย่างที่ท่านว่า เด็กๆ ที่ว่านอนสอนง่านเพียงนี้เสมือนคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์พบเจอได้น้อยนิดจริงๆ เจ้าค่ะ เมื่อคืน บ่าวยังกังวลใจว่าคุณชายน้อยฮานเอ๋อร์จะร้องไห้งอแงไม่เลิก คาดไม่ถึงว่า พอคุณชายน้อยซานเอ๋อร์นอนหลับก็หลับยาวถึงฟ้าสร่างเลยเจ้าค่ะ” แม่โจวมองดูฮานเอ๋อร์ด้วยความรู้สึกชื่นชอบหมดหัวใจเช่นกัน ขณะเดียวกันภายในใจก็เฝ้ารอให้นายหญิงสะใภ้รองรีบให้กำเนิดคุณชายน้อยออกมาบ้างเช่นกันถึงจะดี
“จริงสิ พวกเจ้าทุกคนต้องระแวดระวังเข้าไว้หน่อยด้วยละ หากพี่สะใภ้ข้ามาขอเจอฮานเอ๋อร์ อย่าให้นางอุ้มออกไปเป็นอันขาด” หลินหลันคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมาได้ จึงรีบกำชับลงไป
“เจ้าค่ะ ไม่ได้รับการอนุญาตของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ใครหน้าไหนก็อย่าคิดที่จะอุ้มคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไปได้เจ้าค่ะ” แม่โจวขานรับด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” มีคนส่งเสียงตะโกนลั่นอย่างร้อนรนใจ
“ดูเหมือนจะเป็นหงซางนะเจ้าคะ” หยินหลิ่วกล่าว
หงซางวิ่งกระหืดกระหอมมา และเอ่ยขึ้นแม้จะหายใจหายคอแทบไม่ทัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านรีบไปดูเร็วเข้าเจ้าค่ะ เหมือนว่าต้าเส้าหน่ายนายจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตระหนกตกใจ รีบส่งฮานเอ๋อร์ให้แม่โจว แล้วหันไปสั่งการหยินหลิ่ว “หยินหลิ่ว เจ้ารีบไปหยิบกล่องยาข้ามาเร็วเข้า”
แม่โจวกล่าวด้วยความกังวลใจ “เหตุใดถึงคลอดก่อนกำหนดหลายวันเลยล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันไม่มีเวลามาสนใจตอบความข้องใจของแม่โจวอยู่ได้ ว่ากันตามหลักอีกประมาณเจ็ดแปดวันถึงจะถึงกำหนดคลอดของติงหลั้วเหยียน ทว่านี่ก็ยังอยู่ในขอบเขตระยะเวลาที่เป็นปกติอยู่เช่นกัน
หลินหลันเดินไปพลางเอ่ยถามหงซาง “ต้าเส้าหน่ายนายปวดท้องหรือว่าเห็นเลือดออกมาหรือ”
หงซางกล่าว “เห็นเลือดเจ้าค่ะ ยามเช้าตื่นขึ้นมาถึงเห็นเจ้าค่ะ ส่วนท้องยังไม่เริ่มปวดแต่อย่างใดเจ้าค่ะ”
หลินหลันค่อยรู้สึกวางใจลง ไม่เริ่มปวดขึ้นมากะทันหันก็ยังดี
ติงหลั้วเหยียดเกรงกลัวสุดขีด แม้ว่าหลินหลันได้กำชับกับนางไว้แล้วเกี่ยวกับประเด็นบางส่วนที่ต้องระมัดระวังในการคลอดบุตร รวมไปถึงการสอนนางว่าจะต้องหายใจเข้าออกอย่างไร และกล่าวว่าตำแหน่งเด็กในครรภ์อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม น่าจะคลอดได้อย่างราบรื่น ทว่านางก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี ประเด็นสำคัญคือไม่มีหมิงเจ๋ออยู่ข้างกายด้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกดีอยู่หรือไม่ ปวดท้องขึ้นมาบ้างแล้วหรือไม่เจ้าคะ” หลินหลันขึ้นไปบนเรือน เห็นติงหลั้วเหยียนนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง ภายใต้สภาพอารมณ์หวาดกลัว
“น้องสะใภ้? ทำอย่างไรดีล่ะ เจ้าเคยเอ่ยไว้ว่าถ้าเห็นเลือดออกมาก็ใกล้คลอดแล้วมิใช่หรือ แต่พี่ชายเจ้ายังไม่กลับมาเลย” ติงหลั้วเหยียนรีบกอบกุมมือของหลินหลัน นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หลินหลันกล่าวปลอบประโลม “พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ มีข้าอยู่ทั้งคน! ให้ข้าช่วยตรวจท่านดูก่อนนะเจ้าคะ”
หลินหลันตรวจดูอยู่สักพัก สัญญาณทั้งหมดล้วนแสดงถึงว่า ติงหลั้วเหยียนกำลังจะคลอดแล้วจริงๆ หลินหลันจึงกล่าวสั่งการอย่างเด็ดขาด “หงซาง ไปเชิญหมอตำแยจางและหมอหลิวมาที ข้าต้องการผู้ช่วย แม่เหยา รีบสั่งการลงไปว่าให้ต้มน้ำร้อน และเตรียมผ้าสะอาดไว้ อีกอย่างให้คนไปจวนติง เรียนเชิญฮูหยินติงมาที่นี่”
ทุกคนเร่งรีบไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ทันใดนั้นความอลหม่านก็บังเกิดขึ้นมา
“กำลังจะ..จะคลอดแล้วจริงหรือ” สีหน้าของติงหลั้วเหยียนซีดเผือด
หลินหลันแตะมือของติงหลั้วเหยียนขณะฉีกยิ้มให้ “พี่สะใภ้ เด็กน้อยเตรียมออกมาพบเจอท่านแล้วนะเจ้าคะ ท่านอย่าได้ตื่นกลัวไป ท่านและลูกของท่านต้องร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อให้ลูกของท่านลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้อย่างปลอดภัย”
ติงหลั้วเหยียนขมวดคิ้ว “พอเจ้าพูดเยี่ยงนี้ ข้าก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาเสียแล้วสิ…”
Comments