ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 335 หยางกั้ว! ห้ามทำเช่นนี้กับท่านอาเยี่ยของเจ้า!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 335 หยางกั้ว! ห้ามทำเช่นนี้กับท่านอาเยี่ยของเจ้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 335 หยางกั้ว! ห้ามทำเช่นนี้กับท่านอาเยี่ยของเจ้า!

เมื่อเห็นหยางกั้วเป็นแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าท่านยายซุนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ก็ยังถามอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อเจ้ากับเขามีความแค้นเรื่องฆ่าบิดา เหตุใดจึงต้องหลอกข้า”

หยางกั้วกลับยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะข้ารู้ว่าคนคนนี้เจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนขนาดไหน แต่ท่านยายกลับเป็นผู้อาวุโสที่ซื่อสัตย์ใจดี ไม่เข้าใจว่าจะปกปิดตัวเองอย่างไร หากข้าไม่หลอกท่าน ท่านจะหลอกเขาสำเร็จหรือ”

“เอ่อ…”

หลังจากท่านยายซุนลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเลือกยืนฝั่งหยางกั้ว ถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วหันตัวถอยไปด้านข้าง เพียงแต่สายตาดูแก่ชราลงกว่าเดิมมาก

มองออกเลยว่ายายเฒ่าจิตใจดีผู้นี้ถือสาเรื่องที่ตนวางกับดักเยี่ยเว่ยหมิงมาก

พอเห็นหยางกั้วยืนขึ้นอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้แต่ถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าเพิ่งบอกว่าจะรอให้ข้าฟื้นตัวก่อน เจ้าพูดคำไหนคำนั้นหรือเปล่า”

“สำหรับจุดนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเลย” หยางกั้วกล่าวอย่างทะนงตัว “ที่จริงแล้ว นี่ก็เป็นข้อจำกัดของระดับภารกิจเอง ในภารกิจระดับเจ็ดดาวนี้ ข้าต้องให้เวลาเจ้าฟื้นตัว เกี่ยวข้องกับกฎพื้นฐานของฟ้าดิน ข้าทำได้เพียงคล้อยตาม แต่กลับเปลี่ยนแปลงไม่ได้”

อ้อ?

พอได้ยินจากปากหยางกั้ว แล้วเปรียบเทียบกับลักษณะของการหมุนเวียนในเกมที่ตัวเองวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกกระจ่างขึ้นหลายเรื่องทันที

แต่ในฐานะที่เป็นคนคว้าโอกาสเก่ง ในเมื่อเจอกับคนที่รู้เรื่องราวภายในแล้ว ก็ย่อมไม่พอใจที่รวบรวมข้อมูลได้น้อยขนาดนี้

อย่างไรเสียร่างกายของเขาต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัว จึงแสร้งถามต่อเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่เพิ่มระดับภารกิจให้เป็นแปดดาวหรือเก้าดาวไปเสียเลยล่ะ”

หากเจ้าทำอย่างนั้น ก็จะหมายความว่าสุดยอดวิชาของข้ามีบทสรุปแล้วน่ะสิ

หยางกั้วได้ยินแล้วกลับแสยะยิ้มดูถูก “เพราะภารกิจระดับเจ็ดดาว คือภารกิจระดับต่ำสุดที่ข้าจะเพิ่มบทลงโทษภารกิจเป็นไล่สังหารเจ้าสามวันได้ ทั้งยังมั่นใจว่าจะสังหารเจ้าให้ตายตรงนี้ได้ด้วย หากไม่ใช่เพราะเช่นนี้ ข้าคงกำหนดให้เป็นระดับหกดาวไปแล้ว ถึงขั้นกำหนดให้เป็นระดับห้าดาวด้วยซ้ำ”

“ส่วนความยากของระดับแปดดาวหรือระดับเก้าดาว หึ!” หยางกั้วถามอย่างจนใจ “คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าจะตกหลุมพรางได้หรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงสัมผัสความรู้สึกสมจริงของประกาศิตกระบี่บุปผาโรยที่อยู่ในฝ่ามือขวาอีกครั้ง จากนั้นตอบอย่างจริงจังมากว่า “ได้สิ!”

หยางกั้วแสยะยิ้ม สื่อว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันต่อแผนหลอกลวงระดับต่ำแบบนี้โดยสมบูรณ์แล้ว

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็จนใจมากเช่นกัน

ยุคสมัยนี้ ทำไมเวลาพูดความจริงถึงไม่มีใครเชื่อล่ะ

ตอนที่กำลังโคจรวิชชาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา ถามต่อว่า “ข้ายังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง จากที่ข้ารู้มา ตอนนี้เจ้าน่าจะยังอยู่ในท้องของฉินหนานฉินสิ เหตุใดจึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ในช่วงพริบตาเดียว ทั้งยังมาโผล่ในสุสานโบราณอีก มิหนำซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าพวกผู้เล่นของสำนักสุสานโบราณไม่มีใครเคยเห็นเจ้าสักคน…

…หรือว่าตัวแทนเจ้าสำนักสุสานโบราณคนปัจจุบัน ก็คือแม่นางหลงที่อายุสิบกว่าปีเท่านั้น อย่าบอกนะว่านางเป็นเพียงหุ่นเชิด”

หยางกั้วได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มที่เกิดขึ้นไม่บ่อยออกมา เขาไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับว่า “อยากรู้หรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ!”

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองตอบแบบนี้แล้วจะตกหลุมพราง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะพูดตรงๆ อย่างไรเสียการถูกอีกฝ่ายปั่นหัวครั้งเดียวก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากอีกฝ่ายตอบคำถามขึ้นมาจริงๆ ตนก็จะได้รู้ข้อมูลสำคัญโดยไม่ต้องจ่ายอะไรไม่ใช่หรอกหรือ

หยางกั้วได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้ากลับสดใสยิ่งกว่าเดิม “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือเปล่า”

“บอกสิ!”

หยางกั้วสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง กลับมามีท่าทางอาฆาตพยาบาท เหมือนตอนแรก หลังจากเงียบไปห้าวินาที ถึงได้ตอบว่า “อย่าฝันกลางวันนักเลย!”

แม้ประโยคนี้จะด่าได้ดูดีมีระดับมาก แต่หยางกั้วก็ยังรู้สึกว่าในการปะทะฝีปากครั้งนี้เขาไม่มีความได้เปรียบใดๆ

เมื่อมองออกแล้วว่าหยางกั้วไม่มีทางตอบคำถามอื่นที่ตนถามอีก เยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วเช่นกัน เพียงจ้องอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังพร้อมโคจรวิชาเพื่อช่วยเสริมฤทธิ์ยาฟื้นฟูการบาดเจ็บ

หลังจากนั้นประมาณยี่สิบกว่านาที อาการบาดเจ็บทั้งภายนอกภายในก็หายดีหมดแล้ว ค่าพลังชีวิตกลับมาเต็มอีกครั้ง

พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงลุกจากพื้นอย่างเฉื่อยชา จิตสังหารที่สื่อในแววตาของหยางกั้วก็สมจริงมาก ยกมุมปากเผยรอยยิ้มสะใจแล้วเย้าว่า “ในเมื่อเจ้าฟื้นฟูสถานะของตัวเองแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมตัวรับฝ่ามือที่สองที่กรอกพลังสองส่วนของข้าได้แล้วสินะ!”

“รอสักครู่!”

พอเยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็โบกมือหยุดเขา จากนั้นกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ตามที่เจ้าบอกก่อนหน้านี้ ขีดจำกัดของภารกิจระดับเจ็ดดาวส่งผลให้เจ้าทำตามอำเภอใจตอนทดสอบไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะเข้าใจอย่างนี้ได้หรือไม่ ตราบใดที่ข้ายังคิดว่าตัวเองเตรียมตัวไม่พร้อม ฝ่ามือที่สองของเจ้าก็ปล่อยออกมาไม่ได้”

ตอนนี้หยางกั้วเริ่มนึกเสียใจทีหลังแล้วที่ก่อนหน้าตัวเองพูดมากเกินไป แต่ในฐานะที่เป็น BOSS เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ เขาก็ยังมีความมั่นใจในตัวเองอยู่ “อย่างที่ข้าบอกก่อนหน้านี้ ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วโมง ในระหว่างนั้น เจ้าทำทุกวิถีทางเพื่อถ่วงเวลาได้จริงๆ แต่เมื่อหมดเวลา หากเจ้าไม่ได้เตรียมตัวให้ดี นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”

“แล้วก็…!” หลังจากผ่านความกลุ้มใจตอนแรกมาแล้ว จู่ๆ หยางกั้วก็พบว่าการเพิ่มแรงกดดันทางจิตใจให้ศัตรูที่ฆ่าพ่อก่อนที่อีกฝ่ายจะโชคร้ายนั้นเป็นเรื่องที่สะใจมากจึงพูดต่อว่า “ตอนนี้ เจ้ายังเหลือเวลาให้ถ่วงได้อีกสามนาที ตั้งใจฉวย…”

นี่กำลังบอกใบ้ให้ตนวิ่งหนี?

เยี่ยเว่ยหมิงไม่ตกหลุมพรางหรอก!

เขาเชื่อหมดใจเลยว่า ขอเพียงเขากล้าหนี ก็จะถือว่าเขาเป็นฝ่ายทำผิดกติกาก่อน เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าหยางกั้วคงไม่เพียงแค่ลงมือล่วงหน้าได้ ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องควบคุมพลังตัวเองตอนที่โจมตีเขาแล้วด้วย

เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะกลายเป็นการทำภารกิจเจ็ดดาว แต่เผชิญหน้ากับศัตรูระดับเก้าดาวแล้ว!

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา ถามคำถามที่ทำให้หยางกั้วคาดไม่ถึง “หยางกั้ว ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าสังหารพ่อของเจ้า แล้วเจ้าไม่อยากรู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับพ่อเจ้าสักหน่อยหรือ”

หยางกั้วแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าจะฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงไม่เถียงกับเขาแล้วเช่นกัน เพียงนำจดหมายฉบับหนึ่งออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ทำความเข้าใจเรื่องราวระหว่างพ่อกับแม่เจ้าสักหน่อย เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”

ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ดีดนิ้ว จดหมายฉบับนั้นลอยไปหาหยางกั้วแล้ว

หยางกั้วรับจดหมายมา เห็นบนหน้าซองเป็นตัวอักษสวยงามเล็กๆ ที่เขียนว่าฉินหนานฉิน

หยางกั้วจำได้ว่าเป็นชื่อของมารดาเขา และเป็นลายมือของมารดาเขาเช่นกัน!

และด้านข้างของตัวอักษรสามตัวนี้ ยังมีรอยริมฝีปากสีแดงสดอยู่หนึ่งรอยด้วย ราวกับดอกเหมยกลางหิมะกำลังแบ่งบานรับลม

หยางกั้วยืนอยู่ที่เดิม ในหัวของเขาปรากฏฉากน้ำเน่าที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมต่างๆ นานา ถึงขั้นว่ารอยประทับริมฝีปากที่เดิมทีเหมือนดอกเหมย ตอนนี้ก็กลายเป็นดอกซิ่ง[1]แล้วเช่นกัน

ชั่วขณะนั้น ลูกตาของหยางกั้วเริ่มแดงก่ำแล้ว

พอเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่อีกด้านเห็นสถานการณ์ดังนั้น ในหัวก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลขึ้นทันที

เขาจึงรีบถามว่า “เจ้าไม่เปิดดูเนื้อหาในจดหมายสักหน่อยหรือ”

พอได้ยินดังนั้น หยางกั้วก็ไม่เพียงแค่เปิดจดหมายตามที่เขาบอก กลับใช้กำลังภายในทำลายจดหมายจนขาดกระจายเป็นชิ้นๆ ตอนที่หันกลับไปมองเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง ในดวงตาก็แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดฝอยแล้ว “เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าบังอาจหยามเกียรติแม่ข้า ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!”

ขณะที่พูด พลังที่โหมซัดสาดก็ก่อตัวอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว กลิ่นอายสังหารล็อคเป้าหมายไปที่เยี่ยเว่ยหมิงอย่างแน่นหนา

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน

แม่งเอ๊ย ข้าถอดกางเกงไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมกลายเป็นหยามเกียรติแม่เจ้าแล้วล่ะ

ความจนใจนับหมื่นพรั่งพรูอยู่ในอก มือที่เยี่ยเว่ยหมิงกุมประกาศิตกระบี่บุปผาโรยออกแรงมากขึ้น แม้จะเสียดายไอเทมช่วยชีวิตชิ้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาปกติทั่วไปแล้ว

ของบางอย่าง เวลาที่สมควรใช้ก็ต้องใช้

ถ้ามัวเสียดายประกาศิตกระบี่ก็จะถูกหยางกั้วพาทั้งครอบครัวมาไล่สังหาร!

ใกล้ถึงกำหนดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ตกลงกันไว้ หยางกั้วรวบรวมพลังฝ่ามือเพื่อเตรียมโจมตีแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงเองก็เตรียมเรียกมารเฒ่าหวงมาป้องกันหายนะแล้วเช่นกัน

ตอนนี้เอง ความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงกลับหยุดยั้งการกระทำในขั้นต่อไปของทั้งสองฝ่าย

จู่ๆ จดหมายที่ถูกหยางกั้วใช้กำลังภายในโจมตีขาดกระจายก่อนหน้านี้ก็เปล่งแสงสีขาวระยิบระยับออกมา จากนั้นแสงสีขาวเหล่านี้ก็ก่อตัวอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง ค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์คนหนึ่ง

พอเห็นเค้าโครงรูปคนคร่าวๆ ที่ก่อตัวจากแสงสีขาว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจโล่งอก มือที่กำประกาศิตกระบี่บุปผาโรยแน่นคลายออกอีกครั้ง

แม้การทำแบบนี้ดูไม่เหมือนนิยายกำลังภายในเลยสักนิด แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังคิดว่าเกิดฉากแบบนี้ขึ้นก็พอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรในมือเขาก็ยังมีประกาศิตกระบี่บุปผาโรย เดิมทีก็ไม่มีความเป็นกำลังภายในอยู่แล้ว

แสงสีขาวหายไปหลังจากร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้น เหลือเพียงสตรีที่สวมชุดขาวกว่าหิมะ ผิวกายก็ขาวกว่าหิมะเช่นกัน หลังจากนางปรากฏตัวแล้ว ผมยาวของนางก็ปลิวเป็นเส้นตรงแนวนอนตามแรงลมที่กระพือขึ้นจากพลังฝ่ามือของหยางกั้ว ทำให้ใบหน้าที่งามประณีตปรากฏชัดเจนตรงหน้าหยางกั้วแล้ว

และเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า กลิ่นอายสังหารที่เดิมทีก่อตัวบนตัวหยางกั้วพลันอ่อนลงในชั่วพริบตาเดียว ที่มากกว่านั้นคือแววตาสับสนปนอ่อนโยน แต่ดวงตากลับแดงก่ำขึ้นแล้ว

รูปร่างหน้าตาของสตรีตรงหน้า แม้จะดูอ่อนเยาว์กว่าคนที่อยู่ในความทรงจำของเขา แต่เขามั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิดแน่นอน

สตรีที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือมารดาผู้ให้กำเนิดหยางกั้ว ฉินหนานฉิน!

ที่แท้จดหมายที่ฉินหนานฉินส่งให้เยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ หลังจากนางเขียนเนื้อหาเพิ่มเติมและ ‘ประทับตรา’ บนหน้าซองจดหมายแล้ว มันก็กลายเป็นของล้ำค่าพิเศษเหมือนประกาศิตกระบี่บุปผาโรยแล้ว

ขอเพียงทำลายจดหมาย ก็จะเรียกนางออกมาได้ทันที

เพียงแต่เมื่อเรียกฉินหนานฉินออกมาแล้ว ก็เหมือนจะมีพลังทำลายล้างไร้ที่เปรียบต่อหยางกั้วเท่านั้น ใช้งานจริงไม่ได้เท่าประกาศิตกระบี่บุปผาโรยเลย

หลังจากฉินหนานฉินถูกเรียกออกมาแล้ว นางก็หันกลับไปมองเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังตั้งตารอแวบหนึ่ง แล้วมองหยางกั้วที่ยังไม่ทันสลายพลังที่รวบรวมไว้ ความโกรธในใจก็พรั่งพรูทันที ตวาดใส่หยางกั้วว่า

“หยางกั้ว! ห้ามแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อท่านอาเยี่ยของเจ้า!”

[1] ดอกซิ่ง 杏花 เป็นดอกไม้แทนใจส่งให้คนที่ตัวเองรัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด