ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 394 หลวงจีนหลิวอวิ๋น

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 394 หลวงจีนหลิวอวิ๋น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 394 หลวงจีนหลิวอวิ๋น

“เพื่อนเป็นบ้าอะไรกันล่ะ!” ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วด่าปนเสียงหัวเราะ “สหายคนนั้นปกติมาก เพียงแต่มีเรื่องที่เชี่ยวชาญค่อนข้างพิเศษ ถึงได้มีความคิดเหมือนคนจิตผิดปกติเท่านั้นเอง”

เมื่อเห็นสายตาที่ดูทึ่งแม้จะไม่เข้าใจของพวกเพื่อนๆ เขาก็ทำได้เพียงอธิบายต่อไป “พวกเจ้าก็รู้จักเหมือนกัน ในชีวิตจริงข้าเป็นผู้เล่นมืออาชีพคนหนึ่ง และงานของผู้เล่นมืออาชีพก็ได้กำหนดผู้คนนอกวงการที่พวกเราต้องพบเจอระหว่างทำงานด้วย เมื่อเวลานานไป ก็ทำให้สภาพจิตใจเกิดปัญหาบางอย่างได้ง่ายมาก พอวงการอีสปอร์ตเริ่มพัฒนา ตอนนี้ทุกคลับก็จะเชิญคนให้มาตรวจและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตกับผู้เล่นมืออาชีพในสังกัดตามกำหนดเวลา…

…แล้วสหายที่ข้ารู้จักคนนี้ ในชีวิตจริงก็เป็นจิตแพทย์” ฉางซิงอวี่กล่าวอย่างมั่นใจมาก “ถ้าให้เขาลงมือ บางทีอาจจะแก้ไขโจทย์ยากที่ทำให้พวกเราหนักใจได้ในคราเดียว”

ทุกคนได้ยินแล้วดีใจทันที เยี่ยเว่ยหมิงบอกว่า “เช่นนั้นจะรออะไร มีสหายเก่งขนาดนี้ ยังไม่เรียกมาแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักอีกหรือ”

หลังจากพิราบขาวหลายตัวบินออกไป ฉางซิงอวี่ก็ติดต่อกับสหายที่เอ่ยถึงคนนั้นเรียบร้อย จากนั้นพูดกับทุกคนพร้อมรอยยิ้มว่า “ตอนนี้สหายของข้ากำลังว่างพอดี อีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว”

“พวกเจ้านัดเจอกันที่ไหน พวกเรารีบไปรับกันเถอะ อย่าให้อีกฝ่ายรอนาน”

“ที่นี่” ฉางซิงอวี่ยิ้ม เนื่องจากทักษะสะกดรอยตามของสหายเฟยอวี๋มีความพิเศษ ถ้าพวกเราวิ่งไปรับเขา จากนั้นก็ต้องกลับมาที่นี่อีก ถึงจะกำหนดทิศทางของหลี่มั่วโฉวได้…ไม่สู้ให้เขามาที่นี่ดีกว่า พวกเรารออยู่ที่นี่ก็พอ”

สามารถเตรียมการอย่างนี้ได้ ก็เพียงพอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าฉางซิงอวี่กับสหายจิตแพทย์คนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ดีจนไม่ต้องปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก

แต่การรออยู่เฉยๆ ไม่ใช่สไตล์ของเยี่ยเว่ยหมิง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ภัตตาคารก่อนหน้านี้ ทุกคนแค่สั่งกับข้าวไม่กี่อย่างและพูดคุยธุระกัน ไม่มีใครทันได้กินอะไรก็ต้องรีบมาตามจับสัตว์ป่าอย่างหลี่มั่วโฉวแล้ว ทั้งยังปล่อยให้นางหนีไปได้ด้วย

จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนยังติดสถานะกึ่งหิวอยู่เลย

ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงจึงตัดสินใจถือโอกาสนี้แสดงฝีมือการทำครัวของตัวเอง

ลา เป็นสัตว์เลี้ยงรสชาติอร่อยชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย สมัยโบราณมีคำกล่าวว่า ‘บนฟ้ามีเนื้อมังกร บนดินมีเนื้อลา’ เนื้อมังกรไม่มีใครเคยได้กินทั้งนั้น แต่เนื้อที่นำไปพูดเทียบชั้นกับสัตว์ที่มีอยู่เพียงในจินตาการได้ เท่านี้ก็เพียงพอให้พิสูจน์ได้แล้วว่าวัตถุดิบอย่างเนื้อลาสำคัญขนาดไหนในใจลูกค้า

เยี่ยเว่ยหมิงนำเนื้อลาที่เฟยอวี๋เชือดและล้างตรงนั้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เท่ากัน ใส่ลงหม้อรวมกับเครื่องปรุงต่างๆ ที่เฟยอวี๋ไปซื้อมา เนื่องจากในเกมสามารถเร่งขั้นตอนการปรุงอาหารให้เร็วและเรียบง่ายขึ้นได้ หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว กลิ่นเนื้อที่หอมยั่วยวนใจก็ลอยออกมารอบฝาหม้อพร้อมกับไอน้ำ ทำให้คนที่ได้กลิ่นเกิดอาการเปรี้ยวปาก

เมื่อนำเนื้อลาที่ต้มแล้วออกจากหม้อ เนื้อลาก็ย่อมเย็นลง แล้วค่อยหันชิ้นบางๆ อีกที โรยต้นหอมกับผักกาดหอม จากนั้นสอดไส้ในเซาปิ่งที่เฟยอวี๋ซื้อกลับมาก่อนหน้านี้ เซาปิ่งเนื้อลาที่ได้รับคำชมทั้งในและนอกประเทศก็ปรุงเรียบร้อยแล้ว

แน่นอน ในฐานะพ่อครัวใหญ่ที่ทักษะการทำครัวสูงถึงเลเวลแปด ทำอาหารแค่รายการเดียวดูไม่สมกับความสามารถ พอมีเฟยอวี๋คอยเป็นลูกมือ ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็มีเนื้อลาซอสเผ็ด ผัดเนื้อลา เนื้อลาน้ำแดง เนื้อลาเซียงล่าและอาหารที่ทำจากเนื้อลาอีกสิบกว่ารายการก็ออกมาจากหม้อแล้ว

พอนำโต๊ะที่พกติดตัวมาวางไว้บนพื้น เฟยอวี๋ก็ตัดไม้มาทำเป็นม้านั่ง ก็นับว่าเตรียมเนื้อลามื้อใหญ่ที่หอมฉุยเรียบร้อยแล้ว

หากถามว่าทำไมงานผู้ช่วยทั้งหมดถึงเป็นหน้าที่ของเฟยอวี๋?

ก็ใครใช้ให้นี่เป็นภารกิจของเขาล่ะ ถ้าเขาไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย

“ตอนนี้เตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนอย่างเพิ่งรีบกิน รอให้สหายใหม่ของพวกเรามาก่อน ค่อยจับตะเกียบพร้อมกันเป็นอย่างไร” หลังจากเรียกทุกคนมานั่งลงบนโต๊ะแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็แนะนำแบบนี้ ทุกคนก็เห็นด้วยกับเขา

ขณะมองเนื้อลาเลิศรสที่วางอยู่เต็มโต๊ะอาหาร น้องดาบที่เป็นนักกินก็อดน้ำลายไหลไม่ได้ แต่นางกลับบอกเยี่ยเว่ยหมิงว่า “นึกไม่ถึงว่าในเกมนี้ยังมีภารกิจที่ยากสำหรับเจ้าด้วย นึกไม่ถึงจริงๆ นะ”

น้องดาบกะพริบดวงตาโตเป็นประกายของนาง แล้วจู่ๆ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “วันนี้ถ้าไม่มีเพื่อนของสหายฉางช่วย เจ้าก็จะหมดหนทางกับภารกิจนี้แล้วจริงหรือเปล่า หรือว่าเจ้าก็คิดวิธีการกำจัดหลี่มั่วโฉวได้เหมือนกัน”

“ไม่ปิดบังความจริง ถ้าต้องการจะฆ่าหลี่มั่วโฉว ข้าก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยหรอก” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ ถึงอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับ BOSS ที่สู้ไม่ไหวแล้วก็หนีก็ทำให้คนปวดหัวจริงๆ พูดจบเขาก็แบมือ “ส่วนที่ถามถึงวิธีการอื่น ข้าก็ยังคิดไม่ออกจริงๆ”

ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็พลันเปลี่ยนประเด็น “ไม่ถูกสิ เมื่อครู่ตอนที่ข้าทำอาหาร ข้าถือโอกาสส่งจดหมายหาพระมารหนิวจื้อชุน เจรจาธุรกิจกันรายการหนึ่ง ถือโอกาสบอกเรื่องภารกิจของหลี่มั่วโฉวให้เขารู้ด้วย แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้านักพรตเวรนั่นจะคิดวิธีแก้ปัญหาได้ แต่ต้องให้เจ้าลงมือถึงจะสำเร็จ”

“อ้อ?” น้องดาบได้ยินแล้วเกิดความสงสัยใคร่รู้ทันที “วิธีการของเขาคืออะไร”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “เขาแนะนำให้นางปีศาจน้อยของสำนักดาบโลหิตที่ไม่จำเป็นต้องใช้ค่าวีรบุรุษลงมือกำจัดทั้งครอบครัวของลู่จ่านหยวนก่อน ใช้วิธีการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแบบนี้ทำให้หลี่มั่วโฉวไม่เหลือใครให้ฆ่า จำต้องล้มเลิกการล้างแค้น”

พอได้ยินดังนั้น เพื่อนในทีมทุกคนก็อดกลอกตามองบนไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่าหนิวจื้อชุนจะคิดวิธีการที่ไร้คุณธรรมแบบนี้ออกมาได้ นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวเสริมต่อทันทีว่า “แต่วิธีการไร้ศีลธรรมเช่นนี้ แม้แต่นักพรตเวรนั่นก็ทำได้เพียงแค่คิดออก แต่กลับไม่ทำเอง เขาก็เลยแนะนำให้เจ้ามาเป็นคนเลวคนนั้น”

น้องดาบถลึงตาใส่เยี่ยเว่ยหมิงอย่างดุร้าย แล้วพูดดูถูกว่า “เรื่องที่ไร้คุณธรรมแบบนี้ อาจมีผู้เล่นในสำนักดาบโลหิตทำได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ข้าแน่นอน! ข้าหนึ่งดาบสามเฉือนสู้แต่กับผู้แข็งแกร่ง ไม่ไปรังแกคนธรรมดาที่ไม่เป็นวรยุทธ์เด็ดขาด”

เยี่ยเว่ยหมิงเอามือลูบจมูกตัวเอง “ตอนนี้ในชีวิตจริงข้าก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจทักษะยุทธ์เหมือนกัน เช่นนั้นหลังจากลงจากยานอวกาศแล้ว เจ้าก็จะไม่รังแกคนธรรมดาอย่างข้าที่เคยรังแกเจ้ามาก่อนใช่ไหม”

น้องดาบมองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่งด้วยอารมณ์สับสน “ก่อนขึ้นยานอวกาศลำนี้ บางทีเจ้า…”

นางเพิ่งพูดไปได้ครึ่งเดียว กลับได้ยินเสียงเสื้อผ้าปะทะลมดังมา จึงหันไปมองทางป่าที่อยู่ข้างหลัง แต่กลับเห็นพระหนุ่มที่สวมจีวรสีขาวคนหนึ่งเหาะออกมาจากป่าทึบ ร่างกายพลิ้วไหวสง่างาม ดูไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาเลยสักนิด

แม้จะเป็นเพียงผู้เล่นธรรมดาคนหนึ่ง แต่บนตัวกลับมีลักษณะพิเศษบางอย่างที่ NPC เลเวลสูงมากมายไม่มี ความสง่าภูมิฐานที่มีเฉพาะศิษย์สำนักพุทธกับความอิสระเสรีของนักดาบพเนจรหลอมรวมอยู่บนตัวของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้คนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำให้คนเกลียดไม่ลง

“อามิตตาพุทธ!” อีกฝ่ายลอยลงมาเหยียบตรงจุดที่ห่างจากพวกเขาประมาณหนึ่งจั้งอย่างเงียบเชียบ พระหนุ่มรูปนี้ประนมมือทักทายพร้อมกล่าวนามของพระพุทธเจ้าก่อน จากนั้นถึงได้บอกว่า “เณรน้อยเส้าหลิน หลิวอวิ๋น เพราะตอนทำภารกิจก่อนหน้านี้อยู่ห่างจากจุดพักม้าค่อนข้างไกล จึงเสียเวลาเล็กน้อย ทำให้ทุกท่านลำบากรอนานแล้ว เป็นบาป เป็นบาป!”

พอได้ยินเณรน้อยคนนี้แนะนำตัวเอง ทุกคนก็อึ้งทันที อย่าบอกนะว่าพระรูปนี้ก็คือจิตแพทย์ที่ฉางซิงอวี่พูดถึงก่อนหน้านี้

“ฮ่าๆ สหายหลิวอวิ๋น ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว” ฉางซิงอวี่เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน จากนั้นก็พูดกับพระตรงหน้าที่ชื่อหลิวอวิ๋น “ก่อนหน้านี้ข้าลืมแนะนำสำนักของเจ้าให้ทุกคนรู้ เลยทำให้พวกสหายของข้าผิดคาดนิดหน่อย มาๆๆ สหายเยี่ยเป็นพ่อครัวใหญ่ที่มีฝีมือการทำครัวเลเวลแปดนะ ฝีมืออย่างเขาปกติหาชิมไม่ได้หรอก วันนี้ถือเป็นลาภปากของเจ้าแล้ว”

“ไม่ ข้าไม่มีลาภปาก” พอนั่งลงตามที่ฉางซิงอวี่บอก หลวงจีนหลิวอวิ๋นก็บอกว่า “ช่วงนี้อาตมากำลังถือศีลกินเจ ดูพวกเจ้ากินก็พอแล้ว ทุกคนคิดเสียว่าอาตมาไม่ได้นั่งอยู่ด้วยก็แล้วกัน”

ถือศีลกินเจ?

พอได้ยินคำนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดตกตะลึงอีกครั้งไม่ได้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ่งถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยผ่านช่องทีมว่า [ข้าว่านะสหายฉาง สหายของเจ้าคนนี้คงจะไม่ใช่พระจริงๆ หรอกใช่ไหม หรือว่าเขาเป็น…ฆราวาส?]

ต้องว่าไว้ว่าในเกมนี้ ผู้เล่นที่เข้าสำนักเส้าหลิน แปดในสิบพุ่งเป้าไปที่เจ็ดสิบสองสุดยอดทักษะ ส่วนอีกสองส่วนรู้เรื่องราวเบื้องลึกมาบ้าง จึงพุ่งเป้ามาที่ ‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น’ หรือไม่ก็ผลประโยชน์อื่นๆ ส่วนคนที่นับถือศาสนาพุทธจริงๆ จะบอกว่าไม่มีสักคนเลยก็ได้

ดังนั้น แม้ฉางซิงอวี่จะรู้อยู่แก่ใจว่าสหายคนนี้เป็นศิษย์วัดเส้าหลิน แต่ก็ไม่ได้ห้ามเยี่ยเว่ยหมิงว่าอย่านำเนื้อลามาเลี้ยงต้อนรับอีกฝ่าย

ในสายตาของผู้เล่น การถือศีลกินเจของวัดเส้าหลิน ขอเพียงไม่ถูกจับได้ก็ไม่ถือว่าศีลขาดแล้ว ทั้งยังต้องถูก NPC ระดับสูงในสำนักจับได้คาหนังคาเขาด้วย ไม่ต้องบอกเลยว่าโอกาสที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้มีน้อยแค่ไหน ดังนั้นการถือศีลกินเจอะไรนั่น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นเส้าหลินใส่ใจเลยจริงๆ

แต่หลวงจีนหลิวอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้า เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ข้างหน้าไม่มีหมู่บ้าน ข้างหลังไม่มีร้านค้าแบบนี้ อย่าว่าแต่ NPC ระดับสูงของเส้าหลินเลย แม้แต่อยู่สถานที่ที่ไม่มี NPC สักคนแต่ก็ยังรักษาศีล นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้คนไม่มีทางทำความเข้าใจได้

เหมือนมองออกว่าทุกคนกำลังสงสัยอะไร หลวงจีนหลิวอวิ๋นยิ้มบางๆ แล้วอธิบายว่า “ไม่ปิดบังความจริง ตอนนี้เลเวลพุทธธรรมของอาตมาพุ่งถึงเก้าแล้ว แต่ถ้าคิดจะไปถึงระดับสมบูรณ์ในตอนสุดท้าย กลับต้องตัดเวรกรรมก่อนถึงจะได้…

…ก่อนหน้านี้เคยศีลขาด ทุกรายการล้วนถูกระบบบันทึกไว้ ต้องอ่านคัมภีร์สิบรอบ ถึงจะล้างบาปที่กินเนื้อไปหนึ่งมื้อได้…

…ถ้าไม่ล้างบาปให้หมด ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีทางได้รับค่าประสบการณ์ของพุทธธรรมมากกว่านี้ ดังนั้น…” หลิวอวิ๋นยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ “เจตนาดีของสหายทั้งหลาย อาตมาทำได้เพียงรับน้ำใจไว้”

“พุทธธรรมเลเวลเก้า!” ตอนนี้น้องดาบพลันเบิกตาโต ถามอย่างตกตะลึงว่า “อาจารย์ของเจ้าคือพระคุณธรรมสูงท่านไหนของเส้าหลินกัน”

สำนักดาบโลหิตแม้จะเป็นสำนักฝ่ายอธรรม แต่ก็ถือเป็นสำนักพุทธเหมือนกัน เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้ ถ้านางอยากจะเพิ่มทักษะประเภทความคิดให้ถึงระดับสมบูรณ์ก็ถือว่ายากมาก กล่าวได้ว่าต่อให้มีอาจารย์ที่พุทธธรรมสูงส่งมาแสดงธรรมเทศนาให้ฟังทุกวัน แต่หากต้องการจะเพิ่มเลเวลพุทธธรรมให้ถึงเลเวลหกขึ้นไปนั้นยากกว่าก้าวขึ้นฟ้าเสียอีก

เลเวลพุทธธรรมของน้องดาบนั้นไม่ต้องพูดอะไรมาก ขนาดเลเวลพุทธธรรมของปรมาจารย์สำนักดาบโลหิตยังเหมือนกากเดน ชี้แนะคนอื่นไม่ได้เลย

ต่อให้นางรู้จักยอดฝีมือบางคนของเส้าหลิน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครเพิ่มเลเวลพุทธธรรมจนเกินเจ็ดแล้ว จากจุดนี้ก็เห็นได้เลยว่าอาจารย์ของหลิวอวิ๋นไม่ธรรมดาแน่นอน ถึงขั้นอาจจะเป็นเสวียนฉือเจ้าอาวาสคนปัจจุบันของเส้าหลินก็ได้ หรือไม่ก็เป็นฟางเจิ้งหนึ่งในว่าที่เจ้าสำนัก

ทว่า พอหลิวอวิ๋นได้ยินคำถามแล้วกลับยิ้มอย่างถ่อมตัว ตอบด้วยน้ำเสียงสงบเรียบว่า “อาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า เป็นเพียงหลวงจีนเฒ่าไร้นามท่านหนึ่งที่กวาดพื้นอยู่ในห้องเก็บคัมภีร์ของเส้าหลินเท่านั้นเอง ทั้งยังไม่ชอบให้ข้าเอ่ยถึงเขาต่อหน้าคนนอกด้วย ประเด็นนี้พวกเราข้ามไปดีกว่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด