ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 396 อา! มั่วโฉว จ่านหยวนขอโทษ!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 396 อา! มั่วโฉว จ่านหยวนขอโทษ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 396 อา! มั่วโฉว จ่านหยวนขอโทษ!

“คำขอนี้ของนักพรตหลี่ กลับทำให้อาตมาลำบากใจแล้ว”

พอได้ยินหลี่มั่วโฉวเสนอเงื่อนไข หลิวอวิ๋นก็กล่าวพร้อมทำสีหน้าลำบากใจ “อาตมาฝึกพุทธธรรมอยู่ที่วัดเส้าหลิน ไม่เพียงแค่ห้ามฆ่าสัตว์ ทั้งยังห้ามลงมือทำร้ายคนด้วย”

เมื่อได้ยินหลิวอวิ๋นพูดแบบนี้ อย่าว่าแต่หลี่มั่วโฉวเลย แม้กระทั่งเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกผิดหวังเหมือนกัน

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่พอลงสนามก็ใช้ท่าร่างระดับสูงทันที เยี่ยเว่ยหมิงเองก็อยากเห็นวรยุทธ์อย่างอื่นของอีกฝ่ายเหมือนกัน

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาช่วยแล้ว ก็คงต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากลงมือแน่นอน

ในฐานะหัวหน้าทีม เยี่ยเว่ยหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แล้วนำกระบี่แสงทองออกมา “ในเมื่อสหายหลิวอวิ๋นไม่อยากลงมือนักพรตหลี่ ไม่สู้ให้น้องชายคนนี้ทำแทนเป็นอย่างไร ข้ารับหน้าที่ต่อสู้ เจ้ารับหน้าที่เจรจา พอดีเลย เมื่อครู่นี้ข้ายังไม่ทันได้รับคำชี้แนะจากวิชาแส้ปัดของนักพรตลี ครั้งนี้อยากจะชดเชยความเสียใจก่อนหน้านี้สักหน่อย”

ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็เตรียมทั้งท่าเพื่อใช้งาน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเอาชนะได้ ทั้งยังเตรียมตัวเพื่อสลับใช้กับ ‘ท่าปลุกปั่นกระบี่’ ด้วย

หลี่มั่วโฉวมองเยี่ยเว่ยหมิงที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากต่อสู้แวบหนึ่ง นางไม่เชื่อหรอกว่าคนที่มีสหายอยู่สำนักสุสานโบราณอย่างเขาจะไม่รู้ว่าทักษะยุทธ์ขอสำนักสุสานโบราณเกิดมาเพื่อข่มทักษะยุทธ์ของสำนักฉวนเจิน

ทุกครั้งที่เจ้าเด็กนี้ตั้งท่าเตรียมใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ นั่นก็คือิการนำวิธีการเล่นงานคนอื่นมาเล่นงานตัวเองชัดๆ ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังซ่อนวิธีการเจ้าเล่ห์อะไรเอาไว้รอนางอยู่

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เหมือนสื่อสารอะไรบางอย่างกับระบบ กระทั่งได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้ว หลี่มั่วโฉวถึงได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วหันมาบอกหลิวอวิ๋นว่า “ขั้นตอนการประลองยุทธ์ถือว่าเจ้าผ่านแล้ว มีอะไรจะพูดก็พูดมาได้”

หลิวอวิ๋นได้ยินแล้วโล่งอก เริ่มมองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตานับถือ

สามารถทำให้ BOSS ใหญ่เลเวลเก้าสิบกลัวได้ แสดงว่าความสามารถของเจ้าหมอนี่น่ากลัวกว่าที่ฉางซิงอวี่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้!

เมื่อรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่สำคัญติดตัว หลิวอวิ๋นก็ไม่พัวพันปัญหาเรื่องความสามารถของเยี่ยเว่ยหมิงเช่นกัน เขาหันมาพูดกับหลี่มั่วโฉวว่า “ข้ามีหนทางทำให้นักพรตหลี่เจอกับลู่จ่านหยวนโดยไม่ต้องผิดคำสาบาน แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้ามีบางอย่างอยากจะคุยกับนักพรตหลี่ดีๆ บลาๆ…”

เมื่อมืออาชีพเริ่มใช้ปาก พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ถอยออกมาไกลๆ อย่างรู้กาลเทศะ พูดคุยเกี่ยวกับประเด็นบางอย่างในเกมไปพร้อมๆ กับรอฟังข่าวดีจากหลิวอวิ๋น

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลี่มั่วโฉวก็พยักหน้าตอบรับแล้ว นางพูดเสียงดังว่า “ไปบอกลู่จ่านหยวนว่าข้ารอเขาอยู่ที่ห้องขีดหนึ่งอักษรฟ้าของโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล เมืองเซียงหยาง ถ้าเขาไม่โผล่มา ข้าก็จะรักษาสัญญาสิบปีก่อนหน้านี้ต่อไป ภายในสิบปีนี้จะไม่แตะต้องคนในครอบครัวของเขาแม้แต่ครึ่งเส้นขน”

ความหมายที่นางจะสื่อก็คือ เมื่อพ้นสิบปีนี้ไปแล้ว…หึหึ!

พอพูดจบ หลี่มั่วโฉวก็ใช้ท่าร่างวิ่งไปทางเมืองเซียงหยางทันที

พอพวกเยี่ยเว่ยหมิงเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็ล้อมเข้ามาดู เยี่ยเว่ยหมิงถามตรงๆ เลยว่า “ป้าคนนี้จะใจร้อนอะขนาดนั้น แม้แต่ผีก็ยังไม่ยอมปล่อยไป นี่ถึงกับไปเปิดห้องรอแล้วเหรอ”

หลิวอวิ๋น “…”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง หลิวอวิ๋นก็อธิบายอย่างจนใจว่า “เรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่สหายเยี่ยคิด เนื่องจากสัญญาสิบปีนี้ หลี่มั่วโฉวจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าลู่จ่านหยวนก่อนไม่ได้ แต่หากลู่จ่านหยวนเป็นฝ่ายมาหานาง ก็ถือว่านางไม่ได้ผิดคำสัญญาแล้ว”

ตอนนี้เฟยอวี๋ตาเป็นประกาย แล้วบอกว่า “ตามที่สหายหลิวอวิ๋นบอกไว้ก่อนหน้านี้ ว่าหลี่มั่วโฉวยังมีเยื่อใยต่อลู่จ่านหยวน เช่นนั้นขอเพียงพวกเราพาลู่จ่านหยวนไปหานางด้วย ก็จะทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จได้แล้วหรือเปล่า”

“ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ข้ากำหนดสถานการณ์ภาพรวมไว้แล้ว” หลิวอวิ๋นส่ายหน้า จากนั้นหันมาถามซานเย่ว์ว่า “แม่นางซานเย่ว์ เรื่องที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้ น่าจะไม่มีปัญญาใช่ไหม”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!” ซานเย่ว์กล่าวอย่างตื่นเต้น “กับเรื่องนี้ พวกเราได้เปรียบมาก จะมีปัญญาได้อย่างไร”

หลิวอวิ๋นพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ดำเนินการขั้นต่อไปของภารกิจได้เลยน่ะสิ โน้มน้าวให้ลู่จ่านหยวนไปเจอหลี่มั่วโฉว”

……

ในสายตาของพวกเยี่ยเว่ยหมิง ขั้นตอนที่ยากที่สุดของภารกิจนี้ได้ผ่านไปแล้ว

เนื่องจากไม่จำเป็นต้อง ‘โน้มน้าว’ ลู่จ่านหยวนเลย ตราบใดที่เขาไม่อยากให้ทั้งครอบครัวตายหมด ก็จะต้องให้ความร่วมมือกับพวกเขาแน่นอน

ทว่า ตอนที่เฟยอวี๋พาไปเจอวิญญาณลู่จ่านหยวน เขากลับให้คำตอบว่า “ข้าไปพบนางไม่ได้ สาเหตุที่ตอนนี้นางยังไม่ลงมือกับคนในครอบครัวข้า ก็เพียงเพราะมีสัญญาสิบปีจำกัดไว้ ถ้าตอนนี้ข้าไปเจอนาง ก็เท่ากับข้าเป็นฝ่ายทำลายสัญญาสิบปีนั่นเอง มีความเป็นไปได้สูงว่านางจะลงมือกับคนในครอบครัวข้าล่วงหน้า ข้าให้โอกาสอย่างนั้นกับนางไม่ได้!”

“ขี้ขลาด!” เมื่อเห็นท่าทางใจเสาะของลู่จ่านหยวน แม้แต่หลิวอวิ๋นก็อดด่าไม่ได้ “เจ้ายังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่สักนิดบ้างหรือไม่”

“ทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญหน้าตอนนี้ ล้วนเป็นเวรกรรมที่เจ้าก่อขึ้นในปีนั้น!” ครั้งนี้ หลิวอวิ๋นไม่สนใจภาพลักษณ์ของหลวงจีนคุณธรรมสูงอะไรอีกแล้ว เขาชี้หน้าวิญญาณของลู่จ่านหยวนพร้อมด่าจนน้ำลายกระเซ็น “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหลอกให้รักแล้วทิ้ง ตอนนี้หลี่มั่วโฉวคงได้เป็นเจ้าสำนักสุสานโบราณไปแล้ว มีหรือที่นางจะกลายเป็นศิษย์ทรยศเพื่อเจ้าให้ชีวิตตกต่ำถึงขั้นนี้…

…ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่ไปพบนาง คนในครอบครัวเจ้ายังจะปลอดภัยอย่างนั้นหรือ…ฝันไปเถอะ!”

หลิวอวิ๋นกล่าวด้วยท่าทางเข้มงวดเพราะหวังอยากให้ได้ดี “หากเจ้าไม่ยอมพบนาง แก้ไขความแค้นนี้เสีย เช่นนั้นความแค้นก็จะยิ่งฝังลึกในใจนางมากขึ้น แล้วหลังจากสิบปีนี้…เจ้าก็คิดเอาเองแล้วกัน…

…หากเจ้ายังนับว่าเป็นผู้ชายอยู่…ไม่สิ ผีผู้ชาย ต่อให้เดิมพันด้วยชีวิตของทั้งตระกูลเจ้า เจ้าก็ต้องไปคุยกับนางให้กระจ่างชัดเจน อย่าเอาแต่คิดหลบเลี่ยง เวรกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ต่อให้ตายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี!”

……

แล้วก็ดำเนินไปอย่างนี้ ลู่จ่านหยวนถูกหลิวอวิ๋นชี้หน้าด่าอยู่สิบกว่านาทีเต็มๆ สุดท้ายถึงได้รวบรวมความกล้ารับปากว่าจะไปพบหลี่มั่วโฉว แล้วหลิวอวิ๋นก็อดทนคุยกับเจ้าสวะนี่อีกเกือบยี่สิบนาที บอกเขาว่าควรจะไปคลายปมในใจหลี่มั่วโฉวอย่างไร กระทั่งหลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายจำได้แล้ว ถึงได้โล่งอกและหันหน้ามาส่งสัญญาณมือว่า ‘OK’

ขณะรอวิญญาณของลู่จ่านหยวนเดินไปทางจุดพักม้า เฟยอวี๋ในขณะที่เป็นเจ้าของภารกิจก็อดพูดกับหลิวอวิ๋นไม่ได้ว่า “สหายหลิวอวิ๋น ครั้งนี้รบกวนเจ้าแล้ว”

“ไม่เป็นไร” หลิวอวิ๋นส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวตามความจริง “ที่จริงสาเหตุที่ข้าตั้งใจกับภารกิจนี้ ก็เป็นเพราะอยากได้บุญกุศลเช่นกัน”

“บุญกุศล?”

หลิวอวิ๋นพยักหน้า “บุญกุศลของสำนักฝ่ายพุทธแตกต่างกับค่าวีรบุรุษของพวกเจ้า ตัวร้ายคนสำคัญที่มีผลต่อเนื้อเรื่องโดยรวมอย่างหลี่มั่วโฉว หากข้าโปรดนางได้ บุญกุศลที่ได้รับก็น่าจะสูงจนล้างกรรมทั้งหมดที่ข้าสร้างไว้ก่อนหน้านี้ได้”

เยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ข้างๆ กลับอดถามไม่ได้ว่า “จะว่าไปแล้ว กรรมที่ติดตัวสหายหลิวอวิ๋นอยู่มีมากขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ฆ่ามอนสเตอร์เพิ่มเลเวล กินเนื้อดับความอยาก มีอะไรบ้างที่ไม่เป็นกรรม” หลิวอวิ๋นส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แม้หลังจากข้าเลเวลสามสิบห้าแล้วจะเริ่มเตรียมตัวทะลวงเลเวลพุทธธรรมให้ถึงระดับสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่ต้องรักษาศีลทุกข้ออย่างเข้มงวดนะ แม้แต่การเพิ่มเลเวลพื้นฐานก็อาศัยได้เพียงการทำภารกิจ หรือไม่ก็บางครั้งก็เก็บค่าประสบการณ์ที่ลานหุ่นไม้ของเส้าหลิน แต่กรรมที่เคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ไม่อาจลบล้างให้หมดได้ภายในเวลาสั้นๆ…

…แต่ภารกิจของเฟยอวี๋กลับช่วยข้าได้มาก ที่จริงข้าควรจะเป็นฝ่ายขอบคุณเจ้ามากกว่าถึงจะถูก”

เมื่อได้ยินหลิวอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมากะทันหัน “พุทธธรรมเลเวลสิบมีอานุภาพขนาดไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าทำให้สหายหลิวอวิ๋นดึงดันกับมันขนาดนี้ได้”

หลิวอวิ๋นส่ายหน้า “รายละเอียดข้าก็ไม่รู้ชัดมาก แต่ข้าคิดว่าถ้ากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ฝึกพุทธธรรมจนถึงระดับสมบูรณ์ได้ จะต้องได้รับประโยชน์มากกว่าคนอื่นแน่นอน…

…ส่วนที่ถามว่าเหตุใดข้าจึงดึงดันอย่างได้เลเวลพุทธธรรม แน่นอนว่าเป็นเพราะค่าสเตตัสหนึ่งที่แฝงอยู่ในพุทธธรรม นั่นจะทำให้พูดโน้มน้าวคนได้มากขึ้น พวกเราอาศัยเรื่องพวกนี้เลี้ยงชีพอยู่แล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิ”

ตอนนี้ฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างเขาถามว่า “เมื่อเทียบกับพุทธธรรมที่มีกฎให้ยึดถือ ถ้าอยากฝึก ‘กฎเต๋า’ ให้ถึงระดับสมบูรณ์ นั่นกลับเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก เพราะต้องมีขั้นตอน ‘บรรลุเต๋า’ อีก…

…ตามที่ศิษย์พี่ใหญ่อวิ๋นเหมี่ยนของข้าบอก ประเด็นสำคัญของการบรรลุเต๋าบรรลุเต๋าก็อยู่ที่คำว่า ‘บรรลุ’ เมื่อบรรลุแล้วก็ย่อมถือว่าบรรลุแล้ว ถ้าบรรลุไม่ได้ ต่อให้พยายามอย่างไรก็เสียแรงเปล่าอยู่ดี”

เมื่อได้ฟังพวกเขาบรรยาย เยี่ยเว่ยหมิงก็อดพึมพำในใจไม่ได้

พุทธธรรมต้องรักษาศีล กฎเต๋าต้องบรรลุ

เช่นนั้นตอนฝึกทักษะ ‘คาดคะเน’ ที่อยู่ในการโจมตีหลักให้ถึงระดับสมบูรณ์ จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขพิเศษอะไรอีก

เรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน?

หรือว่ามีข้อจำกัดที่เข้มงวดแบบนี้เหมือนกัน อาศัยแค่สะสมค่าประสบการณ์อย่างเดียว ก็ไม่มีทางไปถึงระดับอย่างนั้นได้เลย?

เพื่อให้ผู้เล่นทำภารกิจให้สะดวก เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ NPC มีผู้เล่นนำทาง ก็นั่งรถม้าเคลื่อนย้ายที่เป็นพาหนะของระบบได้เช่นกัน ดังนั้นการเดินทางจากเมืองเปี้ยนจิงมาที่เซี่ยงหยางก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียเวลามากเกินไป

ในระหว่างนั้น เยี่ยเว่ยหมิง ฉางซิงอวี่และซานเย่ว์ก็ต่างคนต่างเจอผีคนละครั้ง แต่ทั้งหมดกลับเป็นประเภท BOSS ขยะที่เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบ แต่กลับไม่ถึงมาตรฐานที่จะกลายเป็นมาร

ไม่มีอะไรต้องลังเล พวกเขาปราบปีศาจกำจัดมารเสียเลย จากนั้นยอดฝีมือกลุ่มนี้ก็ใช้ท่าไม้ตายโจมตีให้วิญญาณผีสลายหายไปโดยตรง

จัดการผีสามตนแบบเดียวกันเหมือนเป็นสูตรสำเร็จ ในที่สุดพวกเขาก็พาวิญญาณของลู่จ่านหยวนมาถึงสถานีสุดท้ายของภารกิจยากนี้สำเร็จ

……

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เมืองเซียงหยาง โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล ประตูของห้องขีดหนึ่งอักษรฟ้าถูกเคาะจากด้านนอก

หลี่มั่วโฉวพี่รออยู่นานแล้วเปิดประตูออกอย่างช้าๆ พอมองไปข้างนอก พริบตาแรกกลับไม่เห็นใคร

“อา!”

จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นข้างหน้าในระดับที่ตรงกับท้องน้อยของหลี่มั่วโฉว ทำเอานางตกใจจนตัวสั่น นางเห็นลู่จ่านหยวนในสภาพวิญญาณกำลังคุกเข่าอยู่นอกประตู เขาเงยหน้ามองนางด้วยแววตาเป็นประกาย พร้อมท่องอย่างหน้าไม่อายว่า “มั่วโฉว จ่านหยวนขอโทษ! ข้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าโปรดลืมตาดูว่าข้าน่าสงสารขนาดไหน…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด