ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 606 ไสหัวไปให้พ้นหน้าปู่!
ตอนที่ 606 ไสหัวไปให้พ้นหน้าปู่!
“ข้าเอง!”
ยังไม่ทันรอให้ทุกคนรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร เยี่ยเว่ยหมิงก็ก้าวมาข้างหน้าแล้ว ขณะเดียวกันกระบี่อาญาสิทธิ์และกระบี่แสงทองก็ถูกชักออกมาพร้อมกัน เขากอดกระบี่ไว้อย่างสบายใจ
ขณะเดียวกันนี้เอง อินซู่ซู่ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเช่นกัน นางมายืนอยู่ข้างกายเยี่ยเว่ยหมิงแล้วบอกว่า “คาดว่าผู้อาวุโสบู๊ลิ้มทั้งหลายน่าจะรู้จักจอมยุทธ์น้อยท่านนี้แล้ว บางท่านก็ยังไม่รู้จัก เช่นนั้นข้าก็จะแนะนำให้รู้จักสักหน่อย”
หลังจากชะงักเล็กน้อย อินซู่ซู่ใช้น้ำเสียงสงบนิ่งเอ่ยว่า “จอมยุทธ์น้อยที่อยู่ตรงหน้าพวกท่านคือ…มือปราบขั้นห้าแห่งสำนักมือปราบเทพ ผู้ได้รับพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ที่อสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้ยอมรับเองกับปากว่ามีแนวทางกระบี่แข็งแกร่ง เป็นพันธมิตรถาวรของสำนักอู่ตัง ผู้ช่ำชองแนวทางกระบี่ เยี่ยเว่ยหมิง!”
พอได้ยินอินซู่ซู่แนะนำ ศิษย์ของหกสำนักใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นก็พลันรู้สึกว่าทิวทัศน์เปลี่ยนไปทันที
จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อยาวถึงห้าสิบเจ็ดตัวอักษรคนนี้อยากจะแบกรับเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียวชัดๆ
เรื่องดาบฆ่ามังกรกับเซี่ยซุน ต่อให้เป็นจานซานเฟิงเลเวลสองร้อยก็ต้านไม่ไหว แล้วผู้เล่นตัวเล็กๆ อย่างเจ้าถือสิทธิ์อะไร
ตอนที่ทุกคนกำลังสงสัย ในกระบวนทัพของสำนักคุนหลุน ชายร่างสูงผอมคนหนึ่งพลันก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดกับอินซู่ซู่ว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้าบอกที่อยู่ของเซี่ยซุนให้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยท่านนี้รู้แล้ว แล้วเขาก็รับปากเจ้าแล้วว่าจะไม่บอกคนอื่นอีก?”
อินซู่ซู่พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว ว่ากันว่าวาจาของวิญญูชน ม้าสี่ตัวยากจะตามทัน ข้าอินซู่ซู่แม้จะเพียงเป็นสตรีคนหนึ่ง แต่กลับไม่กลืนคำพูดตัวเองเช่นกัน หากเจ้าสำนักเหอต้องการซักไซ้ที่อยู่ของดาบฆ่ามังกร ก็ถามจอมยุทธ์น้อยเยี่ยที่อยู่ข้างกายข้าได้เลย”
อีกฝ่ายได้ยินแล้วหันกลับมาทันที ยังไม่ทันรอให้เขาเอ่ยถาม กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถามก่อนว่า “ท่านคือ?”
ชายคนนั้นตอบทันที “ข้าคือเจ้าสำนักคุนหลุน เหอไท่ชง”
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักคุนหลุน เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ เปลี่ยนประเด็นสนทนา “จำได้ว่าตอนนั้นที่ข้ากับพวกสหายไปทำงานที่เมืองหลวง ระหว่างนั้นมีโอกาสพบกับผู้อาวุโสเหอจู๋เต้าครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านสบายดีหรือไม่”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงเหอจู๋เต้า พลังอำนาจของเหอไท่ชงก็อ่อนลงหลายส่วนทันที
ก่อนหน้านี้แม้จะบอกว่าเป็นความบังเอิญ แต่สิ่งที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงทำ กล่าวได้ว่าช่วยชีวิตสำนักคุนหลุนและกลุ่มยอดฝีมือที่มีเหอจู๋เต้ารวมอยู่ในนั้นด้วย ในจำนวนนั้นยังมีไป๋ลู่จื่อซึ่งเป็นอาจารย์ของเหอไท่ชงอีก
วิเคราะห์จากมุมนี้ เขาไม่มีจุดยืนใดๆ จะมาตะโกนฆ่าตะโกนสู้ต่อหน้าเยี่ยเว่ยหมิง
ทำได้เพียงกล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ปู่กับอาจารย์ล่วงลับไปแล้ว” ตอนนี้พวกเขาแสดงท่าทีเหมือนจะมาเอาเรื่องเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว
แต่การที่เหอไท่ชงห่อเหี่ยว ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไว้หน้าเยี่ยเว่ยหมิง
ในกระบวนทัพของวัดเส้าหลิน พลันมีหลวงจีนรูปหนึ่งเดินออกมา “อามิตาภพุทธ อาตมาคงเหวินจากเส้าหลิน ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยบอกพวกเราได้หรือไม่ว่าเจ้าโจรชั่วราชสีห์ขนทองเซี่ยซุนนั่นอยู่ที่ไหน”
พอได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ค่อยๆ หันตัวกลับมาพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ราชันยุทธภพ ดาบล้ำค่าฆ่ามังกร บัญชาใต้หล้า มิกล้าขัดขืน อย่าบอกนะว่าสำนักเส้าหลินก็อยากแย่งชิงดาบฆ่ามังกรเพื่อบัญชาใต้หล้าเช่นกัน”
ระหว่างที่พูด กลับเปลี่ยนท่าจากกอดกระบี่อาญาสิทธิ์แน่นเป็นถือด้วยมือเดียว
ความหมายแฝงเช่นนี้ ไม่ต้องใช้คำพูดอธิบายก็เข้าใจได้แล้ว
หากราชันยุทธภพกล่าวคำว่าบัญชาใต้หล้าก็อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจสูงสุดของราชันแล้วเจ้าบอกว่าอยากบัญชาการใต้หล้า นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
เพราะคำว่า ‘อยากบัญชาการใต้หล้า’ หมายความว่าตั้งใจก่อกบฏ! ไอรีนโนเวล
ข้อหานี้หนักเกินไป! กลุ่ม NPC ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้ารับ
ตอนนี้เอง ในกลุ่มของสำนักเอ๋อเหมย จู่ๆ ผู้เล่นเอ๋อเหมยคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบปีก็เดินออกมาจากกลุ่ม พร้อมเอ่ยว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยอย่ามาเปลี่ยนแนวคิดเลย เป้าหมายของพวกเราไม่เคยเป็นดาบฆ่ามังกรอะไรทั้งนั้น แต่เพราะในบรรดาผู้อาวุโสบู๊ลิ้มของสำนักใหญ่ต่างๆ ทุกคนล้วนมีสหายที่ตายด้วยน้ำมือของราชสีห์ขนทองเซี่ยซุนต่างหาก…
…วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่สำนักอู่ตังเพื่อถามที่อยู่ของโจรชั่วเซี่ยซุน จะได้ทวงความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์ที่ตายอย่างอนาถก็เท่านั้นเอง”
ระหว่างที่พูด สายตาของคนคนนี้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวอินซู่ซู่ที่อยู่ข้างกายเยี่ยเว่ยหมิงแล้วแสยะยิ้ม “ก็เหมือนจอมยุทธ์อวี๋จากสำนักอู่ตัง ที่เคยถูกอินซู่ซู่จากพรรคอินทรีฟ้าใช้เข็มพิษลอบโจมตี จุดจบก็คือพิการตลอดชีวิต นั่นก็เป็นหนึ่งในเหยื่อเช่นกัน…
…แต่สำนักอู่ตังกับพรรคอินทรีฟ้าใช้วิธีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้ ทว่าสำนักเอ๋อเหมยกลับไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ บรรดาผู้เล่นที่ยืนอยู่ฝั่งสำนักอู่ตังก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน
ในจำนวนนั้น อวิ๋นเหมี่ยน อินปู้คุย และฉางซิงอวี่ก็ยิ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก แอบรู้สึกโชคดีที่สหายเยี่ยแก้ไขความขัดแย้งนี้ล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ
หลังจากอีกฝ่ายพูดสิ่งเหล่านี้แล้ว เดิมทีนึกว่าจะสร้างความโกลาหลให้ฝั่งสำนักอู่ตังได้ แต่พอเห็นเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังรวมทั้งอินซู่ซู่ทั้งมีท่าทางสงบนิ่ง ในดวงตาอีกฝ่ายก็ฉายแววผิดหวัง แต่ก็กลบเกลื่อนไว้อย่างแนบเนียนทันที
เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้แสดงออกได้อย่างสุขุม เยี่ยเว่ยหมิงก็ให้ความสำคัญขึ้นมาบ้างนิดหน่อย เอ่ยถามว่า “ท่านเป็นใคร”
ผู้เล่นเอ๋อเหมยเพศชายคนนั้นได้ยินแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจ “ศิษย์เอกเอ๋อเหมย เครื่องสังหารรุ่นสามพัน!”
พอได้ยินชื่อนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เนื่องจากใกล้ถึงเนื้อเรื่องช่วงกินข้าวต้มเดือนสิบสองที่เกาะจอมยุทธ์ หลายสำนักจึงเลือกศิษย์เอกจากบรรดาลูกศิษย์ที่เป็นผู้เล่นเพื่อเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมงานที่เกาะจอมยุทธ์
สำนักใหญ่แต่ละแห่งมีวิธีการเลือกศิษย์เอกที่แตกต่างกัน ปัจจุบันนี้มีเพียงสามถึงห้าสำนักที่เลือกศิษย์เอกได้และขึ้นประกาศของระบบแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นศิษย์เอกของสำนักดาบโลหิตคือคนธรรมดาเดินดิน แล้วก็ยกตัวอย่างเช่นเครื่องสังหารรุ่นสามพันที่อยู่ตรงหน้านี้
เดิมที ตอนแรกที่ได้ยินชื่อศิษย์เอกของสำนักเอ๋อเหมย เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกขำนิดหน่อย ผู้หญิงที่ใช้ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไร
วันนี้พอได้เจอตัวจริง กลับนึกไม่ถึงว่าศิษย์เอกของสำนักเอ๋อเหมยเป็นผู้ชาย!
ระหว่างที่มองประเมินอีกฝ่ายอย่างจริงจังอีกหลายครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ตัดสินใจว่าจะไม่เปลืองคำพูดอีก จึงเข้าประเด็นหลักทันที “ที่จริงเรื่องราวในยุทธภพมักจะพูดถึงเหตุผลต่างๆ นานา แต่สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยทักษะยุทธ์มาแยกแยะผิดถูกอยู่ดี…艾琳小說
…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไม่สู้ใช้ทักษะยุทธ์คุยกันเสียเลยเล่า…
…จำกัดเพียงห้าสนาม พวกเจ้าห้าสำนักใหญ่เลือกผู้เล่นมาห้าคนแล้วให้ลงสนามประลองกับข้าคนละครั้ง ในห้าสนามนี้ ขอเพียงพวกเจ้าชนะได้สักสนามหนึ่ง ข้าก็จะบอกที่อยู่ของเซี่ยซุนให้รู้ แต่หากพวกเจ้าแพ้หมดห้าสนาม เช่นนั้นมาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้น อย่ามากวนใจนักพรตจางในงานวันเกิด!”
ในฐานะขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ผู้สง่างามและถ่อมตน เยี่ยเว่ยหมิงเลือกใช้วิธีที่สุภาพที่สุดคุยกับพวกเขา คำพูดนี้ของเขาหากเปลี่ยนให้สุภาพขึ้นก็คือ…หากสู้ไม่ได้…ก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าปู่!
Comments