ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว

ไม่ว่าจะเป็นเกมไหน เรื่องที่จะทำให้ยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบก็เป็นไปไม่ได้

คนรวยกับคนจน คนมีพรสวรรค์กับคนไม่มีพรสวรรค์ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพึ่งความพยายามเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน

เมื่อนานมาแล้วในอดีต ยุคที่เกมยังอยู่ต้องใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ทุกคนล้วนแข่งความเร็วมือ และมือของคนบางคนก็เร็วกว่ามือคนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นคนที่ฝึกดีดเปียโนมาตั้งแต่เด็ก ผู้เล่นใหม่ที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น เพราะคนที่มีพรสวรรค์ด้านเปียโนจริงๆ ก็แทบจะไม่มีใครเปลี่ยนอาชีพมาเล่นเกมเลย

ทว่ายังมีคนประเภทหนึ่งที่ใช้มือได้เร็วมาก นั่นก็คือชายโสดโอตาคุ พวกเขาต่างหากที่เป็นตัวหลักในโลกแห่งเกมยุคนั้น ขอเพียงบำรุงให้ถูกโภชนาการ…แค่กๆ

พูดนอกประเด็นไปไกลแล้ว เมื่อเข้าสู้ยุคเกมเสมือนจริงในยุคนี้ พื้นฐานที่ทำให้มีความได้เปรียบที่สุดก็คืออาชีพนักกังฟู ในชีวิตจริงอีกฝ่ายฝึกทักษะการต่อสู้ต่างๆ มาเป็นปี ในเกมแม้ทักษะการต่อสู้เหล่านี้จะมาแทนที่ทักษะที่กำหนดไว้เป็นพิเศษและมีโบนัสดาเมจไม่ได้ แต่สำหรับพลังสายตา ความตระหนักรู้และในอีกหลายๆ ด้าน ผู้เล่นทั่วไปก็เทียบได้ยากมาก

คนที่ได้ทักษะกังฟู ไม่แน่ว่าต่อให้เลือกอาชีพอะไรก็ยังจับพาลาดินแขวนแล้วโจมตีได้อยู่ดี

เกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ที่ใช้วิธีกรอกความทรงจำเหมือนการทำพิธีกรรม ได้ลดความแตกต่างระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับนักกังฟูในระดับสูงสุดแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่

เมื่อเจอกับคนที่ฝึกวิชามาในชีวิตจริง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชะล่าใจ!

เยี่ยเว่ยหมิงพอออกกระบวนท่าแรกก็โดนข่มทันที จึงรีบปลีกตัวถอยหลัง อาศัยท่าร่างของเขาที่เร็วกว่าหนึ่งระดับ หลบหลีกกระบี่ที่คาดคะเนไว้อย่างดีของอีกฝ่าย จากนั้นหมุนคมกระบี่ในมือ แล้วก็ส่งกระบี่ออกไปอีกราวกับคืนเดือนมืดในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ถูกกระบวนท่าอันเรียบง่ายของอีกฝ่ายเปลี่ยนให้เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งอย่างง่ายดาย

เมื่อเปลี่ยนกระบวนท่าอีกครั้ง ก็ถูกโต้กลับอีก…

เปลี่ยนไปแล้วหกเจ็ดกระบวนท่า แต่กลับถูกสะพานสวรรค์คริสตัลข่มจนยอมจำนน ไม่มีทางเหลือให้ป้องกันเลย

จนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็แน่ใจแล้วว่าการที่ตัวเองใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ยังฝึกไม่ชำนาญนั้น ไม่มีทางสร้างภัยคุกคามให้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนท่าทันที เลิกใช้เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน แต่เปลี่ยนเป็นใช้เคล็ดกระบี่วีรสตรีที่ตัวเองชำนาญที่สุดเพื่อรับมือกับอีกฝ่าย

แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เขาแค่ลองเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งเดียวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์อัศจรรย์ทันที!

เห็นได้ชัดว่าสะพานสวรรค์คริสตัลไม่มีทางใช้ทักษะอ่านใจกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าได้เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ทำได้เพียงอาศัยเคล็ดกระบี่ของตัวเองคาดเดากระบวนท่าตามที่เห็น

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้โล่งใจ สงสัยพลังสายตาของอีกฝ่ายจะข่มได้แค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลสามของเขาเท่านั้น แต่แทบจะไม่ได้ผลกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าเลย ดูแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ

การต่อสู้แมทช์ต่อไป กล่าวไปแล้วก็เหมือนการต่อสู้ซ้ำกับเฟยอวี๋ ที่แตกต่างกันก็คือเยี่ยเว่ยหมิงที่ใช้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ตอนนี้จึงข่มอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์ทั้งในด้านกระบวนท่าและค่าสเตตัส

ดังนั้น ภายใต้การโจมตีอย่างสุดกำลังของเขา สะพานสวรรค์คริสตัลรับมือได้เพียงห้ากระบวนท่าก็พ่ายแพ้อย่างอับจนปัญญาแล้ว

หลังจากแพ้แล้ว บนใบหน้าสะพานสวรรค์คริสตัลก็ไม่ได้เผยความรู้สึกท้อใจแม้แต่น้อย กลับแลบลิ้นใส่เยี่ยเว่ยหมิง “ก่อนหน้านี้นึกว่าเจ้าเป็นแค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ข้ายังคิดจะเอาเปรียบสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจขนาดนี้”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันมาบอกทุกคนว่า “ก่อนหน้านี้สหายเฟยอวี๋บอกไว้ งูไม่อาจไร้หัว ภารกิจที่พวกเราเผชิญหน้าครั้งนี้ซ่อนการฆาตกรรมเอาไว้ และยิ่งต้องมีเสียงที่เป็นเอกฉันท์เพื่อบัญชาการให้ทุกคนรุกถอยไปพร้อมกัน”

เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก สีหน้าของเฟยอวี๋ก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากทันที กลุ้มใจเหมือนยกหินทุ่มเท้าตัวเอง

เพียงแต่ประโยคถัดไปของเยี่ยเว่ยหมิงกลับเหนือความคาดหมายของทุกคน “ดังนั้นข้าขอเสนอให้ศิษย์น้องซานเย่ว์เป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวในการทำภารกิจครั้งนี้ ไม่ทราบว่าทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไร”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ยื่นนิ้วมือขาวหมดจดชี้ที่จมูกตัวเอง “ข้า…หัวหน้าทีม?”

“ข้าเห็นด้วย!” ไม่รอให้ซานเย่ว์แสดงท่าทีอะไร เฟยอวี๋ที่อยู่อีกฝั่งกลับแสดงท่าทีของตัวเองแล้ว ท่าทางเหมือนกลัวว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเปลี่ยนใจ

“ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน!” คนที่สองที่แสดงท่าทีก็คือถังซานไฉ่

เริ่มตั้งแต่ตอนทุกคนพบกันที่โรงเตี๊ยม จุดยืนของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัดใจมาก

แม้จะเป็นแค่ในความรู้สึก ความสัมพันธ์ของเขากับเฟยอวี๋ดีกว่ากับเยี่ยเว่ยหมิง แต่หลังจากได้ร่วมงานกับเยี่ยเว่ยหมิงครั้งก่อน ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นสหายแล้ว

ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหายสองคน ถังซานไฉ่ต่างหากคือคนที่ลำบากที่สุด!

ตอนนี้ปณิธานของทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันได้ยาก เขาจึงขี้คร้านจะไปสนใจเหตุผลที่อยู่ในนั้น แสดงท่าทีสนับสนุน ‘ข้อเสนอแนะดีๆ’ ที่จะทำให้เขาไม่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกทันที

“เห็นด้วย!” คนที่แสดงท่าทีคนที่สามก็คือโหยวโหยว นางมาพร้อมกับความคิดจะช่วยเหลือตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว นางขี้คร้านจะคิดให้มากความ ไม่ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะพูดอะไร นางแค่เห็นด้วยก็พอ

“ข้าก็เห็นด้วยด้วยแล้วกัน” สะพานสวรรค์คริสตัลยักไหล่ สื่อว่าเคารพความคิดเห็นของทุกคน

“ข้า…” ซานเย่ว์ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยเว่ยหมิงกลับตบบ่านางพร้อมบอกว่า “เห็นหรือยัง ในบรรดาพวกเรา มีเพียงเจ้าที่คุมคนได้”

แล้วก็เป็นไปตามนี้ ซานเย่ว์ราวกับเป็ดถูกไล่ขึ้นคอน[1] กลายเป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวแล้ว

จากนั้นก็เข้าสู้ช่วงปรึกษากลยุทธ์ ซานเย่ว์ถามความเห็นของทุกคน เยี่ยเว่ยหมิงแสดงความเห็นว่า ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์จริงของผู้เล่นที่ดักล้อมอยู่รอบๆ สำนักคุ้มภัยฝูเวยก่อน

ซานเย่ว์มองไปที่เฟยอวี๋ เฟยอวี๋กล่าวว่า คนที่นั่งเฝ้าอยู่นอกสำนักคุ้มภัยเพื่อเงินห้าเหรียญทอง ล้วนเป็นคนที่มีความสามารถพื้นๆ พวกยอดฝีมือไม่สนใจผลประโยชน์เล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่

ซานเย่ว์ถามความเห็นของทุกคนอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงบอกว่า จะลองไปดูเลยก็ได้ เจอคนในสำนักคุ้มภัยฝูเวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ส่วนกลยุทธ์อะไรนั่นไม่ได้มีประโยชน์เลย ด้วยความสามารถของคนพวกนี้ ย่อมผ่านไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล เชิญหุ่นเชิด…เอ้ย ไม่ใช่สิ เชิญหัวหน้าทีมออกคำสั่งได้!

จากนั้น เมื่อหัวหน้าทีมซานเย่ว์ออกคำสั่งแล้ว หกคนนี้ก็ย้อนกลับไปที่เมืองฝูโจว มุ่งโจมตีสำนักคุ้มภัยฝูเวยทันที

ระหว่างทาง ซานเย่ว์อดแชทคุยส่วนตัวกับเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ [นี่ เจ้าอาศัยกระบี่เอาชนะทุกคนได้แล้วแท้ๆ ทำไมตัวเองไม่ออกคำสั่งเองเสียเลยล่ะ ดึงดันจะผลักข้าออกมาเป็นหุ่นเชิดให้เจ้าอยู่ได้]

คำตอบของเยี่ยเว่ยหมิงนั่นเรียบง่ายชัดเจน [เพราะเฟยอวี๋ไม่ยอมเชื่อฟังข้าหรอก]

ซานเย่ว์ [ฮะ เจ้าพูดอย่างกับเขาจะเชื่อฟังข้าอย่างนั้นแหละ]

เยี่ยเว่ยหมิง [นี่เขาก็เชื่อฟังมากแล้วไม่ใช่หรือ]

เหมือนจะใช่จริงๆ แฮะ…

ซานเย่ว์แปลกใจมาก [เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเหตุผล เจ้าบอกให้ข้าฟังหน่อยเถอะ]

เยี่ยเว่ยหมิง [แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงดึงดันเช่นนั้น แต่ใครก็ดูออกว่าเขาอย่างช่วงชิงฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ

หากครั้งนี้ข้ารับตำแหน่งหัวหน้าทีม แล้วทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นในสายตา NPC หรือในสายตาของผู้เล่นด้วยกัน ฐานะของเขาก็สั่นคลอนแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แบบนั้น ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะจงใจทำเรื่องอะไรถ่วงแข้งถ่วงขาหรือเปล่า

แต่เจ้านั้นต่างกัน เจ้าไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรที่จะล้มเขาได้ ต่อให้ครั้งนี้เจ้าอาศัยฐานะหัวหน้าทีมนำทุกคนให้ทำภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่น เขาก็ยังมีโอกาสพลิกกระดาน เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาย่อมไม่มีทางเสียสละผลประโยชน์จากรางวัลภารกิจเพื่อมาหาเรื่องข้าอยู่แล้ว

ดังนั้น ต่อให้เขาจะรู้ว่าเจ้าจะเชื่อฟังข้าแน่นอน แต่ก็ยอมรับได้หากเจ้าจะรับตำแหน่งหัวหน้าทีม ถ้าเป็นข้า เขายอมรับไม่ได้]

หลังจากเงียบไปนาน ซานเย่ว์ก็ตอบข้อความอีกครั้ง [พวกเจ้านี่จิตใจสกปรกกันทั้งนั้น!]

[1] ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน 赶鸭子上架是 หมายถึง บีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 62 หัวหน้าทีมชั่วคราว

ไม่ว่าจะเป็นเกมไหน เรื่องที่จะทำให้ยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบก็เป็นไปไม่ได้

คนรวยกับคนจน คนมีพรสวรรค์กับคนไม่มีพรสวรรค์ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพึ่งความพยายามเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน

เมื่อนานมาแล้วในอดีต ยุคที่เกมยังอยู่ต้องใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ทุกคนล้วนแข่งความเร็วมือ และมือของคนบางคนก็เร็วกว่ามือคนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นคนที่ฝึกดีดเปียโนมาตั้งแต่เด็ก ผู้เล่นใหม่ที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น เพราะคนที่มีพรสวรรค์ด้านเปียโนจริงๆ ก็แทบจะไม่มีใครเปลี่ยนอาชีพมาเล่นเกมเลย

ทว่ายังมีคนประเภทหนึ่งที่ใช้มือได้เร็วมาก นั่นก็คือชายโสดโอตาคุ พวกเขาต่างหากที่เป็นตัวหลักในโลกแห่งเกมยุคนั้น ขอเพียงบำรุงให้ถูกโภชนาการ…แค่กๆ

พูดนอกประเด็นไปไกลแล้ว เมื่อเข้าสู้ยุคเกมเสมือนจริงในยุคนี้ พื้นฐานที่ทำให้มีความได้เปรียบที่สุดก็คืออาชีพนักกังฟู ในชีวิตจริงอีกฝ่ายฝึกทักษะการต่อสู้ต่างๆ มาเป็นปี ในเกมแม้ทักษะการต่อสู้เหล่านี้จะมาแทนที่ทักษะที่กำหนดไว้เป็นพิเศษและมีโบนัสดาเมจไม่ได้ แต่สำหรับพลังสายตา ความตระหนักรู้และในอีกหลายๆ ด้าน ผู้เล่นทั่วไปก็เทียบได้ยากมาก

คนที่ได้ทักษะกังฟู ไม่แน่ว่าต่อให้เลือกอาชีพอะไรก็ยังจับพาลาดินแขวนแล้วโจมตีได้อยู่ดี

เกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ที่ใช้วิธีกรอกความทรงจำเหมือนการทำพิธีกรรม ได้ลดความแตกต่างระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับนักกังฟูในระดับสูงสุดแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่

เมื่อเจอกับคนที่ฝึกวิชามาในชีวิตจริง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชะล่าใจ!

เยี่ยเว่ยหมิงพอออกกระบวนท่าแรกก็โดนข่มทันที จึงรีบปลีกตัวถอยหลัง อาศัยท่าร่างของเขาที่เร็วกว่าหนึ่งระดับ หลบหลีกกระบี่ที่คาดคะเนไว้อย่างดีของอีกฝ่าย จากนั้นหมุนคมกระบี่ในมือ แล้วก็ส่งกระบี่ออกไปอีกราวกับคืนเดือนมืดในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ถูกกระบวนท่าอันเรียบง่ายของอีกฝ่ายเปลี่ยนให้เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งอย่างง่ายดาย

เมื่อเปลี่ยนกระบวนท่าอีกครั้ง ก็ถูกโต้กลับอีก…

เปลี่ยนไปแล้วหกเจ็ดกระบวนท่า แต่กลับถูกสะพานสวรรค์คริสตัลข่มจนยอมจำนน ไม่มีทางเหลือให้ป้องกันเลย

จนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็แน่ใจแล้วว่าการที่ตัวเองใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ยังฝึกไม่ชำนาญนั้น ไม่มีทางสร้างภัยคุกคามให้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนท่าทันที เลิกใช้เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน แต่เปลี่ยนเป็นใช้เคล็ดกระบี่วีรสตรีที่ตัวเองชำนาญที่สุดเพื่อรับมือกับอีกฝ่าย

แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เขาแค่ลองเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งเดียวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์อัศจรรย์ทันที!

เห็นได้ชัดว่าสะพานสวรรค์คริสตัลไม่มีทางใช้ทักษะอ่านใจกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าได้เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ทำได้เพียงอาศัยเคล็ดกระบี่ของตัวเองคาดเดากระบวนท่าตามที่เห็น

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้โล่งใจ สงสัยพลังสายตาของอีกฝ่ายจะข่มได้แค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลสามของเขาเท่านั้น แต่แทบจะไม่ได้ผลกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าเลย ดูแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ

การต่อสู้แมทช์ต่อไป กล่าวไปแล้วก็เหมือนการต่อสู้ซ้ำกับเฟยอวี๋ ที่แตกต่างกันก็คือเยี่ยเว่ยหมิงที่ใช้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ตอนนี้จึงข่มอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์ทั้งในด้านกระบวนท่าและค่าสเตตัส

ดังนั้น ภายใต้การโจมตีอย่างสุดกำลังของเขา สะพานสวรรค์คริสตัลรับมือได้เพียงห้ากระบวนท่าก็พ่ายแพ้อย่างอับจนปัญญาแล้ว

หลังจากแพ้แล้ว บนใบหน้าสะพานสวรรค์คริสตัลก็ไม่ได้เผยความรู้สึกท้อใจแม้แต่น้อย กลับแลบลิ้นใส่เยี่ยเว่ยหมิง “ก่อนหน้านี้นึกว่าเจ้าเป็นแค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ข้ายังคิดจะเอาเปรียบสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจขนาดนี้”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันมาบอกทุกคนว่า “ก่อนหน้านี้สหายเฟยอวี๋บอกไว้ งูไม่อาจไร้หัว ภารกิจที่พวกเราเผชิญหน้าครั้งนี้ซ่อนการฆาตกรรมเอาไว้ และยิ่งต้องมีเสียงที่เป็นเอกฉันท์เพื่อบัญชาการให้ทุกคนรุกถอยไปพร้อมกัน”

เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก สีหน้าของเฟยอวี๋ก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากทันที กลุ้มใจเหมือนยกหินทุ่มเท้าตัวเอง

เพียงแต่ประโยคถัดไปของเยี่ยเว่ยหมิงกลับเหนือความคาดหมายของทุกคน “ดังนั้นข้าขอเสนอให้ศิษย์น้องซานเย่ว์เป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวในการทำภารกิจครั้งนี้ ไม่ทราบว่าทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไร”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ยื่นนิ้วมือขาวหมดจดชี้ที่จมูกตัวเอง “ข้า…หัวหน้าทีม?”

“ข้าเห็นด้วย!” ไม่รอให้ซานเย่ว์แสดงท่าทีอะไร เฟยอวี๋ที่อยู่อีกฝั่งกลับแสดงท่าทีของตัวเองแล้ว ท่าทางเหมือนกลัวว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเปลี่ยนใจ

“ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน!” คนที่สองที่แสดงท่าทีก็คือถังซานไฉ่

เริ่มตั้งแต่ตอนทุกคนพบกันที่โรงเตี๊ยม จุดยืนของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัดใจมาก

แม้จะเป็นแค่ในความรู้สึก ความสัมพันธ์ของเขากับเฟยอวี๋ดีกว่ากับเยี่ยเว่ยหมิง แต่หลังจากได้ร่วมงานกับเยี่ยเว่ยหมิงครั้งก่อน ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นสหายแล้ว

ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหายสองคน ถังซานไฉ่ต่างหากคือคนที่ลำบากที่สุด!

ตอนนี้ปณิธานของทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันได้ยาก เขาจึงขี้คร้านจะไปสนใจเหตุผลที่อยู่ในนั้น แสดงท่าทีสนับสนุน ‘ข้อเสนอแนะดีๆ’ ที่จะทำให้เขาไม่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกทันที

“เห็นด้วย!” คนที่แสดงท่าทีคนที่สามก็คือโหยวโหยว นางมาพร้อมกับความคิดจะช่วยเหลือตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว นางขี้คร้านจะคิดให้มากความ ไม่ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะพูดอะไร นางแค่เห็นด้วยก็พอ

“ข้าก็เห็นด้วยด้วยแล้วกัน” สะพานสวรรค์คริสตัลยักไหล่ สื่อว่าเคารพความคิดเห็นของทุกคน

“ข้า…” ซานเย่ว์ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เยี่ยเว่ยหมิงกลับตบบ่านางพร้อมบอกว่า “เห็นหรือยัง ในบรรดาพวกเรา มีเพียงเจ้าที่คุมคนได้”

แล้วก็เป็นไปตามนี้ ซานเย่ว์ราวกับเป็ดถูกไล่ขึ้นคอน[1] กลายเป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวแล้ว

จากนั้นก็เข้าสู้ช่วงปรึกษากลยุทธ์ ซานเย่ว์ถามความเห็นของทุกคน เยี่ยเว่ยหมิงแสดงความเห็นว่า ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์จริงของผู้เล่นที่ดักล้อมอยู่รอบๆ สำนักคุ้มภัยฝูเวยก่อน

ซานเย่ว์มองไปที่เฟยอวี๋ เฟยอวี๋กล่าวว่า คนที่นั่งเฝ้าอยู่นอกสำนักคุ้มภัยเพื่อเงินห้าเหรียญทอง ล้วนเป็นคนที่มีความสามารถพื้นๆ พวกยอดฝีมือไม่สนใจผลประโยชน์เล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่

ซานเย่ว์ถามความเห็นของทุกคนอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงบอกว่า จะลองไปดูเลยก็ได้ เจอคนในสำนักคุ้มภัยฝูเวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ส่วนกลยุทธ์อะไรนั่นไม่ได้มีประโยชน์เลย ด้วยความสามารถของคนพวกนี้ ย่อมผ่านไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล เชิญหุ่นเชิด…เอ้ย ไม่ใช่สิ เชิญหัวหน้าทีมออกคำสั่งได้!

จากนั้น เมื่อหัวหน้าทีมซานเย่ว์ออกคำสั่งแล้ว หกคนนี้ก็ย้อนกลับไปที่เมืองฝูโจว มุ่งโจมตีสำนักคุ้มภัยฝูเวยทันที

ระหว่างทาง ซานเย่ว์อดแชทคุยส่วนตัวกับเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ [นี่ เจ้าอาศัยกระบี่เอาชนะทุกคนได้แล้วแท้ๆ ทำไมตัวเองไม่ออกคำสั่งเองเสียเลยล่ะ ดึงดันจะผลักข้าออกมาเป็นหุ่นเชิดให้เจ้าอยู่ได้]

คำตอบของเยี่ยเว่ยหมิงนั่นเรียบง่ายชัดเจน [เพราะเฟยอวี๋ไม่ยอมเชื่อฟังข้าหรอก]

ซานเย่ว์ [ฮะ เจ้าพูดอย่างกับเขาจะเชื่อฟังข้าอย่างนั้นแหละ]

เยี่ยเว่ยหมิง [นี่เขาก็เชื่อฟังมากแล้วไม่ใช่หรือ]

เหมือนจะใช่จริงๆ แฮะ…

ซานเย่ว์แปลกใจมาก [เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเหตุผล เจ้าบอกให้ข้าฟังหน่อยเถอะ]

เยี่ยเว่ยหมิง [แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงดึงดันเช่นนั้น แต่ใครก็ดูออกว่าเขาอย่างช่วงชิงฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ

หากครั้งนี้ข้ารับตำแหน่งหัวหน้าทีม แล้วทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นในสายตา NPC หรือในสายตาของผู้เล่นด้วยกัน ฐานะของเขาก็สั่นคลอนแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แบบนั้น ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะจงใจทำเรื่องอะไรถ่วงแข้งถ่วงขาหรือเปล่า

แต่เจ้านั้นต่างกัน เจ้าไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรที่จะล้มเขาได้ ต่อให้ครั้งนี้เจ้าอาศัยฐานะหัวหน้าทีมนำทุกคนให้ทำภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่น เขาก็ยังมีโอกาสพลิกกระดาน เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาย่อมไม่มีทางเสียสละผลประโยชน์จากรางวัลภารกิจเพื่อมาหาเรื่องข้าอยู่แล้ว

ดังนั้น ต่อให้เขาจะรู้ว่าเจ้าจะเชื่อฟังข้าแน่นอน แต่ก็ยอมรับได้หากเจ้าจะรับตำแหน่งหัวหน้าทีม ถ้าเป็นข้า เขายอมรับไม่ได้]

หลังจากเงียบไปนาน ซานเย่ว์ก็ตอบข้อความอีกครั้ง [พวกเจ้านี่จิตใจสกปรกกันทั้งนั้น!]

[1] ไล่ให้เป็ดขึ้นคอน 赶鸭子上架是 หมายถึง บีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+