ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 621 ขังกรงถ่วงน้ำ!
ตอนที่ 621 ขังกรงถ่วงน้ำ!
เมื่อเห็นอี้เติงปรากฏตัวและเผยค่าสเตตัส BOSS ทันทีที่โผล่มา น้องดาบกับสะพานสวรรค์น้อยก็ราวกับสื่อจิตถึงกันได้ เลิกล้อมอิ๋งกูพร้อมกันทันที ไปยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเว่ยหมิงทางฝั่งซ้ายและขวาแทน
ท่าทีของพวกนางชัดเจนมาก เมื่อเจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ ให้เว่ยหมิงตัดสินใจ!
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกลับขมวดคิ้ว “อี้เติงไต้ซือ?”
“อามิตาภพุทธ!” อี้เติงประนมมือสองข้าง เอ่ยนามพระพุทธเจ้าอีกครั้ง จากนั้นกล่าวเสียงเบา “อิ๋งกูเป็นคนน่าสงสาร ไม่ทราบว่าโยมทั้งหลายจะไว้หน้าอาตมาสักครั้งได้หรือไม่ ปล่อยนางไปสักครั้ง”
เยี่ยเว่ยหมิงลังเลนิดหน่อย ถามหยั่งเชิงว่า “หากข้าบอกว่าไม่ได้ อี้เติงไต้ซือจะไม่สนใจฐานะของตนเองแล้วมารังแกเด็กอย่างพวกเราหรือ”
ดูจากท่าทางของเยี่ยเว่ยหมิง ขอเพียงอี้เติงพูดคำเดียว่า ‘ไม่’ เขาก็จะลงมือฆ่าคนทันที ไม่มีความลังเลใดๆ เลย
อี้เติง “…”
ตอนนี้อิ๋งกูกลับไม่สบอารมณ์ ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วบอกว่า “พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเลย ใครต้องการให้หลวงจีนหน้าเหม็นที่แสร้งทำตัวดีมีคุณธรรมมาช่วยเหลือกัน ทางที่ดีพวกเจ้าสังหารฆ่าต่อหน้าเขาเลย ทำให้เขารู้สึกผิดไปทั้งชีวิต!”
“อามิตาภพุทธ!” เมื่อถูกเยี่ยเว่ยหมิงกับอิ๋งกูใช้วาจาทำร้ายพร้อมกัน อี้เติงที่รองรับอารมณ์อยู่ตรงกลางก็เอ่ยนามพระพุทธเจ้าอีกครั้ง จากนั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันมาบอกอิ๋งกู “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโยมหรืออาตมา วางเรื่องในปีนั้นลงเสียเถิด แต่การปรากฏตัวของจอมยุทธ์น้อยสามท่านนี้ กลับเป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเราได้แก้ไขบุญคุณความแค้นเช่นกัน”
อิ๋งกูได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “ใครอยากแก้ไขบุญคุณความแค้นกับเจ้า เรื่องในปีนั้น ข้าจะจดจำไว้ทั้งชีวิต ไม่มีวันลืมเด็ดขาด!”
ยามเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตไม่จบไม่สิ้นนของอิ๋งกู อี้เติงเพียงถอนหายใจยาวเฮือกเดียวแล้วถามกลับว่า “หรือว่าโยมไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว”
อิ๋งกูได้ยินแล้วตัวสั่นทันที รีบถามว่า “พูดอะไรของเจ้า”
“โยมเดาไม่ผิดหรอก ข้าหมายถึงโจวปั๋วทง”
อี้เติงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “โจวปั๋วทงเนื่องจากล่วงเกินหวงเย่าซือ จึงถูกขังอยู่บนเกาะดอกท้อสิบกว่าปี โยมลำบากศึกษาวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยมาตลอด ก็เพราะหวังว่าสักวันจะช่วยเขาออกมาไม่ใช่หรือ…
…แต่วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยของโยมเรียนแล้วเป็นอย่างไร ในใจโยมรู้ชัดที่สุด…
…หากไม่มีความช่วยเหลือจากผู้อื่น อาศัยพรสวรรค์วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยของโยม ต่อให้เรียนอีกร้อยปีก็ออกจากค่ายกลเกาะดอกท้อไม่ได้”
อิ๋งกูขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นยิ้มเย้ย “หากกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าช่วยเขาออกมาได้หรือ”
ดั่งคำกล่าวที่ว่ากษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น คนออกบวชไม่พูดโกหก
อย่างไรเสียอี้เติงไม่ว่าจะเป็นตอนก่อนออกบวชหรือหลังจากออกบวช จรรยาบรรณในวิชาชีพก็ล้วนควบคุมไม่ให้เขาโกหก ดังนั้นคำตอบของเขาก็คือ “ไม่ได้”
“นี่เจ้ากำลังถ่วงเวลาข้าหรือ” อิ๋งกูโมโหมาก
“โยมจงระงับโทสะ” อี้เติงอธิบายอย่างอดทน “แม้อาตมาจะไม่มีทางช่วยโจวปั๋วทงออกจากเกาะดอกท้อได้ แต่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยกลับทำได้ พวกเราไหว้วานให้พวกเขาช่วยเหลือได้ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับทุกคนหรอกหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอี้เติง อิ๋งกูก็สองตาเป็นประกายทันที กล่าวอย่างดูถูกว่า “หากไหว้วานพวกเขา ข้าพูดเองไม่ดีกว่าหรือ ยังจะให้เจ้ามาเล่นบทคนดีที่นี่ทำไม”
เมื่อได้ยินประเด็นสนทนาของทั้งสองโยงมาที่ตน เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ข้าว่านะ ตรรกะของผู้อาวุโสทั้งสองช่างน่าสนใจจริงๆ ฟังจากความหมายในคำพูดของพวกท่านแล้ว ขอเพียงพวกท่านเอ่ยปากขอร้อง พวกเราก็จะต้องช่วยแน่นอน พวกท่านได้ถามความเห็นของพวกเราหรือยัง”
“ความเห็นของพวกเจ้าไม่สำคัญ” ตอนนี้อิ๋งกูหันกลับมาแล้ว กล่าวอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำว่า “หากพวกเจ้าไม่รับปากว่าจะช่วย ข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าออกไป ให้พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าในสระมังกรดำอย่างนี้ตลอดไป”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น อี้เติงไต้ซือก็อยู่ตรงนี้ด้วย พวกเราคงฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ป่าของเจ้า เกรงว่ามีแต่จะถูกเผาจนราบแล้ว…”
อิ๋งกูได้ยินแล้วลนลานทันที หันไปมองอี้เติงโดยจิตใต้สำนึก
“อามิตาภพุทธ” เมื่ออี้เติงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ทำได้เพียงกล่าวอย่างจนใจว่า “ตามที่อาตมารู้มา ตั้งแต่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยเข้าสู่เส้นทางนี้ ก็เป็นผู้ที่น้ำใจงาม ยุติธรรม ไร้ความเห็นแก่ตัว ถ่อมตัว ซื่อตรงและสง่างาม สุภาพเรียบร้อยเหนือปุถุชน ฉลาดสุขุมไม่มีใครเทียบ ด้วยคุณสมบัติที่บริสุทธิ์สูงของของจอมยุทธ์น้อยเยี่ยเช่นนี้ อาตมามั่นใจว่าขอเพียงฟังเหตุผลจากอาตมาแล้ว โยมจะต้องช่วยแน่นอน”
เมื่อถูก BOSS เลเวลร้อยแปดสิบกล่าวยกย่องตามความจริงต่อหน้าเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายทันที
แต่เพื่อผลประโยชน์ร่วมของทุกคน เขาก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณลักษณะอันซื่อสัตย์ของอี้เติงไต้ซือแม้จะหายาก แต่หากอาศัยเพียงจุดนี้ ก็ยังเป็นเรื่องยากหากจะให้ข้ารับปากช่วยท่าน”
พอกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “แต่ด้วยคุณสมบัติอันดีงามที่ควรค่าแก่การนับถือของผู้อาวุโส ผู้น้อยก็ยินดีรับฟังว่าเหตุผลของท่านคืออะไรกันแน่”
“เหตุผลของอาตมาไม่ได้ซับซ้อน” ขณะที่อี้เติงกล่าว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่น “อาตมามีสิทธิ์ถ่ายทอด ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ให้ผู้เล่นคนใดก็ได้หนึ่งคน ต่อให้คนคนนั้นไม่ใช่ศิษย์ของสกุลต้วนต้าหลี่ก็ตาม”
“มีเหตุผลเพียงพอ!” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วดีดนิ้วทันที จากนั้นก็สบตากับน้องดาบและสะพานสวรรค์น้อยปราดหนึ่งก่อนซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเกี่ยวกับภารกิจนี้ อี้เติงไต้ซือกล่าวให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่”
“อามิตาภพุทธ!” ระหว่างที่เอ่ยนามพระพุทธเจ้า สายตาของอี้เติงก็ทอดมองไปยังที่ไกลๆ ราวกับจมอยู่ในความทรงจำอันแสนยาวนาน “เรื่องนี้ ต้องเริ่มเล่าจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว…”
เพื่อให้พวกผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์เนื้อเรื่องได้ดียิ่งขึ้น เข้าใจบุญคุณความแค้นระหว่าง NPC ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อี้เติงเริ่มเล่าตั้งแต่งานวิจารณ์ที่หัวซานครั้งแรก บรรยายถึงความรักความแค้นระหว่างเขา โจวปั๋วทงและอิ๋งกู
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นั่นก็คือละครแนวจอมยุทธ์คุณธรรมฟอร์มยักษ์…
ธีมนี้ค่อนข้างคุ้นตาใช่ไหม
เรื่องราวเริ่มจากตัวหวังฉงหยาง…
ในฐานะพี่ใหญ่ของห้ายอดฝีมือใต้หล้า ระดับของหวังฉงหยางสูงกว่าอีกสี่คนหนึ่งระดับ หนึ่งในเครื่องหมายที่ชัดเจนที่สุดในนั้นก็คือ เขารู้ว่าตนเองจะตายเมื่อไร!
เจ้าว่าเก่งไหมล่ะ
ในงานวิจารณ์ที่หัวซานครั้งแรก ฝีมือเขาข่มเหล่าจอมยุทธ์ จึงได้รับฉายาว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้ารวมทั้งสุดยอดวิชาบู๊ลิ้ม ‘คัมภีร์เก้าอิม’ จากนั้นหวังฉงหยางก็รู้สึกได้ว่าตนเองใกล้ลาโลกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ทักษะยุทธ์ของตนไร้เทียมทานในใต้หล้า ตอนตนมีชีวิตอยู่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องสำนักฉวนเจินแน่นอน ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
แต่พวกลูกศิษย์ไม่ได้เก่งอย่างเขา!
ทักษะยุทธ์ของเจ็ดศิษย์ฉวนเจินแม้จะพอไปวัดไปวาได้ แต่เมื่อไม่มีสุดยอดวิชาคอยคุมสถานการณ์ เทียบกับสี่ยอดฝีมือที่เหลือแล้ว ก็จะต้องถูกโจมตีโดยไร้ทางสู้แน่นอน
อย่างไรเสีย แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจสอนทักษะยุทธ์ให้ศิษย์สักเท่าไร!
‘วิชาฟ้ากำเนิด’ ของเขา รวมทั้ง ‘คัมภีร์เก้าอิม’ ที่ช่วงชิงมาจากงานวิจารณ์ที่หัวซาน ก็ไม่ได้ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน
ปกติยามที่ไม่มีธุระอะไรก็ได้แต่กำชับให้พวกเขาตั้งใจฝึกวิชาเต๋า ทั้งยังบอกประมาณว่าการฝึกยุทธ์ไม่ใช่งานสลักสําคัญ
ตอนนี้หวังฉงหยางรู้ว่าตนเองกำลังจะตายแล้ว สำนักฉวนเจินยังเกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่อย่าง ‘คัมภีร์เก้าอิม’ เมื่อถึงตอนนั้น หากสี่ยอดฝีมือมาหาเรื่องสำนักฉวนเจิน ระบบลัทธิเต๋าที่เขาทิ้งไว้จะไม่ขาดหายไปหรอกหรือ
แต่พอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ หวังฉงหยางก็พบว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้ร้ายแรงตามที่ตนจินตนาการไว้
ในบรรดาสี่ยอดฝีมือ ราชันทักษิณซื่อตรง ยาจกอุดรรักความยุติธรรม มารบูรพารักศักดิ์ศรี นับไปนับมา หลังจากที่ตนตายไปแล้ว คนที่จะมาหาเรื่องสำนักฉวนเจิน ก็คงเหลือเพียงพิษประจิมโอวหยางเฟิงแล้ว
ต้องหาทางเล่นงานเขา!
ดังนั้น ตอนที่หวังฉงหยางนึกย้อนไปถึงฉากงานวิจารณ์ที่หัวซาน ‘วิชาฟ้ากำเนิด’ ของเขาในด้านพลังถือว่าข่มอีกสี่ยอดฝีมือได้ ขณะเดียวกัน ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ของราชันทักษิณต้วนจื้อซิง ในด้านกระบวนท่าก็เป็นดาวข่มของวิทยายุทธ์เขาอูฐขาวเช่นกัน!
หากทั้งสองคนร่วมมือกันล่ะก็…หึหึ!
ดังนั้นหวังฉงหยางจึงพาโจวปั๋วทง ศิษย์น้องของเขามาที่ต้าหลี่ มาหาต้วนจื้อซิงซึ่งตอนนั้นยังเป็นฮ่องเต้ ซึ่งในภายหลังก็คืออี้เติงไต้ซือนั่นเอง
เขาเสนอต่อต้วนจื้อซิงว่าให้แลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กัน ตนจะถ่ายทอด ‘วิชาฟ้ากำเนิด’ ให้ต้วนจื้อซิง ส่วนต้วนจื้อซิงก็ตอบแทนด้วยการถ่ายทอด ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’
พอเป็นเช่นนี้ ในใต้หล้าก็จะมีสองคนที่ได้เปรียบทั้งกำลังภายในและกระบวนท่า ข่มโอวหยางเฟิงได้โดยสมบูรณ์แล้ว
กระทั่งเขาเรียน ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ และกลับไป เขาก็แกล้งตายเพื่อล่อให้โอวหยางเฟิงออกมาให้เขาสังหาร แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงโจมตีออกไปหนึ่งดรรชนี อย่างน้อยก็ทำให้โอวหยางเฟิงอยู่อย่างสงบไปสิบกว่าปีแล้ว…
หลังจากผ่านไปสิบกว่าปี การฝึก ‘วิชาฟ้ากำเนิด’ ของต้วนจื้อซิงใกล้สัมฤทธิ์ผลแล้ว
สมบูรณ์แบบ!
ทว่าต่อให้เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบอย่างไร ก็ต้านพลังทำลายล้างของความปัญญาอ่อนไม่ได้
โจวปั๋วท งลูกศิษย์ของหวังฉงหยางเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง อายุร่างกายหลายสิบปีแล้ว แต่อายุสมองเท่ากับเด็กสิบกว่าขวบเท่านั้น
ตอนที่หวังฉงหยางกับต้วนจื้อซิงเก็บตัวแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กัน โจวปั๋วทงที่ว่างไม่มีอะไรทำก็เริ่มเพ่นพ่านไปทั่ววังหลวงต้าหลี่ จากนั้นเขาก็เจอกับอิ๋งกู ซึ่งตอนนั้นยังเป็นหวังเฟยแห่งต้าหลี่
จากนั้นพวกเขาสองคนก็เอาเยี่ยงอย่างหวังฉงหยางกับต้วนจื้อซิง เริ่มแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กัน
แต่พวกผู้ชายอย่างหวังฉงหยางกับต้วนจื้อซิงแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ทว่าโจวปั๋วทงกับอิ๋งกูหนึ่งคนเป็นบุรุษหนึ่งคนเป็นสตรี ทั้งยังเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย
คนหนึ่งคือจิ้งจอก คนหนึ่งคือเสือ ไม่รู้ว่าเป็นรักแรกพบหรือความรักที่ก่อตัวขึ้นตามกาลเวลา จากนั้น…
ถึงอย่างไรก็เกิดเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้ ทั้งยังไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ทำให้หวังฉงหยางกับต้วนจื้อซิงที่ออกจากการเก็บตัวฝึกวิชามาเจอกับเรื่องฉาวโฉ่ของพวกเขาสองคนทันที
“เฮ้อ…” พอเล่าถึงตรงนี้ ต้วนจื้อซิงก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นบอกว่า “หลังจากข้าจับได้ว่าพวกเขาทำเรื่องอย่างนั้น ก็แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ยิ่งไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี…”
“มีอะไรน่าลังเลตรงไหน” เยี่ยเว่ยหมิงโพล่งออกมา “ถามหวังฉงหยางก่อนว่าจะทำอย่างไร ต้องดูท่าทีของเขา จากนั้นค่อยประหารสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่นี้พร้อมกันอย่างไร”
“ข้าคิดว่าควรประทานสุราพิษ หรือไม่ก็ผ้าขาวสำหรับผูกคอตาย” สะพานสวรรค์น้อยกล่าวเสริม
น้องดาบส่ายหน้า เสนอความเห็นที่แตกต่าง “ข้ารู้สึกว่าควรจับใส่กรงถ่วงน้ำ!”
พอได้ยินพวกเยี่ยเว่ยหมิงเสนอความเห็นโดยไม่ลังเล อิ๋งกูก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว “พวกเจ้าเป็นมารปีศาจหรืออย่างไร ตอนนั้นข้าอุ้มท้องลูกของโจวปั๋วทงอยู่นะ!”
“นั่นก็ยิ่งสมควรจับถ่วงน้ำเลย!” น้องดาบพลันเอ่ย
Comments