ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส 4 มอนจะ

Now you are reading ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส Chapter 4 มอนจะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

สึกิชิมะมีถนนสายหนึ่งที่มีชื่อ สึกิชิมะมีถนนสายหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ถนนมอนจะ’ อยู่ ซึ่งถนนเส้นนี้สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านมอนจะยากิพร้อมกลิ่นซอสหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ผมเคยคิดอยากจะลองไปเดินดูสักครั้ง จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้ไปสักที และลืมไปแล้วว่ามอนจะเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่

วันต่อมาหลังจากที่ผมจูบกับฟุยุสึกิไป ผมก็ได้มาอยู่ร้านมอนจะยากิในสึกิชิมะเสียแล้ว  

จูบครั้งนั้นซึ่งเป็นจูบครั้งแรกของผมนั้นทำเอาหัวใจผมว้าวุ่นจนไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี จนสุดท้ายก็ตัดสินใจไปปรึกษาเพื่อนสนิทอย่างนารุมิ

นารุมิที่ฟังเรื่องทั้งหมดอย่างเงียบๆ เสร็จก็พูดขึ้นว่า “ไปกินมอนจะกันดีกว่า!”

ด้วยเหตุเอง ตอนนี้เราสองคนจึงมาอยู่ในร้านมอนจะเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีเพียง 6 ที่นั่ง โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีที่นั่งไหนว่างอยู่เลย แต่โชคดีที่วันนี้ได้ที่นั่งทันทีหลังลูกค้าคนก่อนหน้าเพิ่งลุกออกไป  

บรรยากาศภายในร้านทำเอาผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเนื่องลูกค้าส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือนกันซะมากกว่า การที่เด็กมหาลัยที่ใช้ชีวิตและหมกตัวอยู่แต่ในหอพักอย่างผมได้ออกมาเปิดโลก กินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนๆ แบบนี้ถือเป็นการผจญภัยเล็กๆ อย่างหนึ่งเลย

 

“ว่าแต่ คนคันไซไม่กินมอนจะกันไม่ใช่เหรอ กินแต่โอโคโนมิยากิกันไม่ใช่รึไง?*” ผมเอ่ยถามพลางมองเมนูไร้ซึ่งโอโคโนมิยากิ  

 

* Culture การกินของแต่ละภูมิภาคไม่เหมือนกัน คนคันไซมองมอนจะเหมือนอ้วกเพราะมักจะกินตอนแป้งไม่แข็งตัวมากต่างจากโอโคโนมิยากิ

 

นารุมิซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลางสับกะหล่ำและผัดบนกระทะด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อเห็นลีลาท่าทางของเขาแล้วก็ทำให้นึกถึงพ่อค้าตามงานเทศกาลขึ้นมา

 

“ก็แม่ฉันเป็นคนจังหวัดกุนมะ ฉันก็เลยกลายเป็นลูกครึ่งคันไซคันโตน่ะ เพราะงั้นที่บ้านเลยทำกินกันอยู่บ่อยๆ ” นารุมิตอบพร้อมกับหัวเราะ

“ลูกครึ่งอะไรของเอ็งฟะ ว่าแต่กุนมะนี่อยู่ในคันโตเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย

“เอาเข้าแล้วไง เมื้อกี้ เอ็งเปลี่ยนคนญี่ปุ่นครึ่งประเทศเป็นศัตรูแล้วนะเหวย”  

 

นารุมิหันมาจ้องผมด้วยสายตาทิ่มแทง  

ผมจึงกล่าว “ช่างมันๆ เอ็งทำมอนจะไปเหอะ!” เพื่อเปลี่ยนเรื่อง

นารุมิเทมอนจะที่ถูกปรุงแต่งด้วยซอสวูสเตอร์สุดเข้มข้นลงไปบนกระหล่ำปลี้ฝอย  

เสียงน้ำกระเด็นในกระทะดังพร้อมกลิ่นหอมของซอสลอยโชยขึ้นมาชวนให้น้ำลายสอ  

น่ากินจัง

พอคิดเช่นนั้น ประตูร้านก็ได้เปิดออก จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา—ฮายาเสะ นั่นเอง

เธอมาเจอเพื่อนเหรอ? ผมพลางคิด แต่ความคิดนั้นก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อนารุมิยกมือขึ้นเรียก “ทางนี้ๆ”

ฮายาเสะเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ รอนานรึเปล่า?” ก่อนจะนั่งลงข้างๆ นารุมิและสั่งชาอู่หลงจากคุณป้าเจ้าของร้านด้วยความคล่องแคล่ว

 

“นี่หมายความว่ายังไง?”

 

ผมหันไปหานารุมิเพื่อขอคำอธิบาย

แต่เขากลับทำหน้าเหมือนจะบอกว่า “รอแป๊บๆ ถึงช่วงทีเด็ดแล้ว” พร้อมเกลี่ยกองกระปล่ำฝอยและแป้งมอนจะไปทั่วกระทะ

ไม่นานนัก มอนจะเริ่มสุกแล้วส่งกลิ่นหอมขึ้นมา

 

“อีกสามนาที ก็เอาตะหลิวจิ๋วมาตักกินได้แล้วล่ะ”

 

ฮายาเสะที่กำลังดูทรงทำอาหารของนารุมิอยู่ก็อุทานออกมาว่า “เก่งจังนะ แต่คนคันไซไม่กินมอนจะไม่ใช่เหรอ?”

ฮายาเสะแลดูประทับใจหลังจากเห็นฝีมือของนารุมิจึงได้อุทานออกมา

 

“เข้ามือจัง ไม่ใช่ว่าคนคันไซไม่กินมอนจะหรอกหรอ?”

“เพิ่งพูดไปเมื้อกี้เอง….” ผมพูดแทรกขึ้น

อย่างไรก็ตาม นารุมิกลับทำหน้าเหมือนรอให้ถูกถามอีกครั้ง จากนั้นก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจอีกครั้ง

“แม่ฉันเป็นคนจังหวัดกุนมะ ฉันเลยเป็นลูกครึ่งคันไซ-คันโตน่ะ”  

“ลูกครึ่งอะไรนั่น 5555” ฮายาเสะหัวเราะจนตัวโยน

“ว่าแต่ กุมมะเนี่ยมันอยู่ในคันโตหรอ?”

“อันนี้ก็เพิ่งพูดไปเหมือนกัน…”

 

หรือว่าเป็นมุกเด็ดของหมอนั่นเหรอ? พอคิดถึงตอนอยู่หน้ากระทะมอนจะก็ทำเอาอดขำไม่ได้*

เข้ามาเลย มุกอะไรของแกน่ะ ผมมองนารุมิด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

 

* Teppan Neta (鉄板ネタ) หมายถึง “มุกที่ใช้แล้วได้ผลแน่นอน” หรือในที่นี้แปลว่า “มุกเด็ด” ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบกับคำว่า Teppan (鉄板) ที่หมายถึง “กระทะ/แผ่นเหล็กที่ไว้ทำมอนจะ” ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นสิ่งที่แน่นอน มั่นคง เช่นเดียวกับมุกที่ใช้งานได้ดีทุกครั้ง

 

ทว่า จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาー

 

“บ้านเกิดแม่ฉัน อยู่ในซอกลับไม่มีใครรู้จักเลยล่ะ”

“เห้ย”

 

จะเปิดศึกกับคนครึ่งประเทศรึไงเนี่ยเห้ย

ขณะที่ผมพลางนึกเช่นนั้น คุณป้าก็นำเครื่องดื่มของฮายาเสะมาเสิร์ฟ

จากนั้นพวกเราสามคนก็ยกแก้วขึ้นมาชนกัน “เอ้า ชนแก้ว!”  

 

“ได้เวลากินแล้ว~”

 

ผมใช้ตะหลิวจิ๋วมาตักมอนจะขึ้นมาแล้วนำเข้าปาก ผมรู้สึกถึงความร้อนจนลิ้นเกือบจะพอง กลิ่นซอสหอมฟุ้งขึ้นจมูก รสชาติกะหล่ำปลีอร่อยละลายไปทั่วทั้งปาก

 

“อร่อยดีนะ” ผมพูด “เอ๊ะ จริงด้วย” ฮายาเสะพูดด้วยสีหน้าตะลึง

“ใช่ไหมล่ะ~” นารุมิปลื้มที่ได้รับคำชม

“จะว่าไป โซราโนะคุงเป็นคนที่ไหนนะ?” ฮายาเสะถามขึ้น

“สุดปลายตะวันตกของฮอนชู”

“ชิโมะโนเซกิ ไม่ค่อยกินมอนจะกัน แต่เอาเส้นโซบะไปย่างบนกระเบื้องแล้วกินแทน”

“หืม? คืออะไร?” ฮายาเสะเอียงคอสงสัยถาม

“คาวาระโซบะน่ะ”

“ตอนเห็นครั้งแรกฉันว่ามันเจ๊งสุดๆ เลย การเอาโซบะชาเขียวมาย่างบนกระเบื้องเนี่ย”

นารุมิค้นหาภาพบนมือถือแล้วโชว์ให้ฮายาเสะดู

“จริงด้วย ทำไมต้องย่างบนกระเบื้องหรอ”

“เพราะนำความร้อนดีน่ะ แถวบ้านฉันอ่ะนะ ทุกบ้านจำเป็นต้องมีกระเบื้องติดไว้อย่างน้อยหนึ่งแผ่นเลยล่ะ”

“งั้นก็เหมือนหม้อดินสินะ” ฮายาเสะพูดด้วยน้ำเสียงที่กำลังทึ่ง

 

แน่นอนว่า อาหารท้องที่อย่างการเอาโซบะชาเขียวมาย่างบนกระเบื้องมันอยู่จริง แต่เรื่องที่ทุกบ้านมีแผ่นกระเบื้องน่ะโกหกทั้งเพ พอเห็นฮายาเสะเชื่อจริงๆ จังๆ ผมก็อดหัวเราะไม่ได้

“อ๊ะ ไม่น่าใช่ละ หลอกฉันอยู่สินะ!”

“ก็แหงอยู่แล้วสิ เอาเถอะ กินกันต่อๆ “

 

ตามคาดพอฮายาเสะมองออก นารุมิก็หัวเราะพลางตักมอนจะกินต่อ

หลังจากที่เรากินมอนจะธรรมดากันเสร็จ เราก็ลองมอนจะใส่ขนมราเมงกรอบ ใส่เมนไทโกะ โมจิ และชีส ปรากฏว่ามันอร่อยหมดจนเรากินกันไม่เหลือซาก

จริงๆ แล้ว ผมตั้งใจจะมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องฟุยุสึกิ แต่ในเมื่อฮายาเสะอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง จนพลาดโอกาสเริ่มเรื่องที่ต้องคุย ผมจึงได้แต่กินๆ ไป เม้าส์มอยเรื่องอาหารอร่อยๆ จากนั้นมอนจะก็ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ

 

“ไวไหม?” นารุมิถามด้วยความห่วงใย  

“ไหวๆ”

“กินเยอะไปแล้วนะ” ฮายาเสะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

 

บางทีอาจจะเพราะมันอร่อยมาก ผมเลยกินเยอะกว่าปกติจนท้องแทบจะระเบิด ถึงกระนั้นผมก็ยังเลือกที่จะสั่งเพิ่มแม้ว่าอีกทั้งสองคนอิ่มกันไปแล้ว  

ท้ายที่สุดแล้วผมก็กินเยอะจนกระอักกระอวน

“งั้น มาเริ่มคุยเรื่องฟุยุสึกิกันเถอะ” นารุมิเปิดประเด็นขึ้นหลังเห็นผมไม่ยอมเปิดเองเสียที

หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาเป็นคำพูดได้จึงขอพวกเขาพักสักยกแปปหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือสั่งชาอู่หลง

“ฉันมานึกว่าจะได้ฟังเรื่องสนุกๆ สะอีก ที่ไหนได้กลายเป็นแค่การมากินมอนจะกันซะงั้น” ฮายาเสะหัวเราะพร้อมชาอู่หลงในมือ

ผมดื่มชาอู่หลงไปหลายอึก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารสชาติมันแปลกๆ

 

“เดี่ยวนะ…นี่มันเหล้าหนิ”

 

แม้ว่าผมจะไม่เคยดื่มมาก่อน แต่ชาอู่หลงแก้วนี้มันมีกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่เหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อ แถมยังมีรสชาติขมอีก

คุณป้าที่รับออเดอร์จึงรีบเข้ามาขอโทษ “ขอโทษนะคะคุณลูกค้า แก้วนี้คงจะเป็นชาอู่หลงของลูกค้าท่านอื่น” แล้วก็รีบนำชาอู่หลงแก้วใหม่มาให้

 

“โซราโนะคุง ไหวรึเปล่า?” ฮายาเสะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“อืม ไหวๆ”

“แต่หนังตานายชักปรือแล้วนะ” นารุมิยิ้มให้

 

อาจจะเพราะผมดื่มครึ่งแก้วในรวดเดียวรึเปล่านะ สมองผมยังปกติดีอยู่ แต่ภาพตรงหน้ารู้สึกเหมือนความฝัน ภาพตรงหน้าราวกับผมกำลังมองดูตัวเองจากภาพมึนมัวอยู่  

นี่สินะ ความรู้สึกของการเมา จนผมหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วคงไม่ได้คุยเรื่องฟุยุสึกิแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไร คุยได้ๆ ฉันยังไหวอยู่ ชิวๆ”

“งั้นก็ตามนั้น บางทีเมานิดๆ อาจจะเป็นช่วงเหมาะเจาะก็ได้” นารุมิพูดพร้อมจ้อมองมาที่ผมตรงๆ

“งั้นเล่าให้ฟังหน่อย ว่าเรื่องพวกนายเป็นมายังไง”

“เล่าไปแล้วนี่”

” ‘ฉันจูบกับฟุยุสึกิไปแล้ว ฉันควรทำไงต่อดี’ บอกมาแค่นี้เอ็งจะให้ฉันแนะนำยังไง?”

“ก็…ไม่เชิงว่าฉันจูบหรอก ถูกจูบซะมากกว่า”

“ไหนๆ เล่าโล้ดๆ “

ฮายาเสะที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสนอกสนใจสุดๆ  

 

 

งานจุดดอกไม้ไฟในงานมหาลัยถูกยกเลิกเพราะฝนตก ด้วยเหตุนั้น พวกเราตัดสินใจไปหลบฝนอยู่ใต้บันไดด้านนอกใกล้กับที่นั่งตรงระเบียง จากนั้นก็มีตัวเลือกสองตัวพุดขึ้นมาในหัวผม

จะรอให้ฝนหยุดตกก่อน หรือ จะฝ่าฝนไปส่งฟุยุสึกิที่บ้าน

แน่นอนว่าในหัวของผม ผมรู้ดีว่าควรจะส่งฟุยุสึกิกลับบ้าน

แต่ใจลึกๆ แล้วผมอยากจะอยู่กับเธอต่ออีกสักหน่อย

อากาศบริเวณที่นั่งตรงระเบียงค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ ร่างกายพวกเราเริ่มหนาวสั่น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่ได้พกร่มมาด้วย

ทันใดนั้นเอง

“ฮัดชิ้ว” ฟุยุสึกิจามน่ารักเบาๆ

สถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ พวกเราจึงตัดสินใจเดินไปบริเวณโซนหอพัก จากนั้นผมก็ได้เชิญเธอเข้าห้อง  

ผมนำเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่คลุมตัวเธอและจับมือเดินไปด้วยกัน เมื่อมาถึงยังหอพัก พวกเราทั้งคู่อยู่ในสภาพเปียกโชกจึงเอาผ้าขนหนูมาห่มตัวสักพักหนึ่ง

 

“เปียกโชกเลยนะ ดีขึ้นไหม ตัวแห้งบ้างรึยัง?”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับผ้าขนหนู”

 

ฟุยุสึกิพูดต่อด้วยน้ำเสียงลังเล  

 

“คือว่า…เสื้อผ้าฉัน…เปียกจนเห็นข้างในไหมคะ?”  

 

ฟุยุสึกินำผมยาวสลวยที่เคยปล่อยไว้ด้านหลังมายังด้านหน้า ต้นคอถูกเปิดเผย ผมเข้าใจที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะขอให้ ‘ตรวจเช็คเสื้ผ้า’ ทั้งๆที่รู้ทั้งอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่…แต่สายตาของผมกลับมองไปที่ต้นคอเสียแทน

เสื้อเชิ้ตสีขาวบางของฟุยุสึกิเปียกจนมองเห็นเสื้อซับใน

ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นหลังมองเห็นต้นคอและเสื้อซับในที่เปียกชุ่ม

ผมพยายามควบคุมตัวเองและคิดว่าจะอธิบายเธออย่างไรดี ถ้าบอกว่า “เห็น” ก็คงทำให้เธอตกใจไม่น้อย

 

“ไม่ต้องคิดมากนะไม่เห็นข้างในหรอก แต่เธอดูตัวสั่นนะ เอาผ้าขนหนูคลุมไหล่ไว้นะ”

 

ผมวางผ้าขนหนูลงบนไหล่ของฟุยุสึกิ

ฉับพลัน…ความรู้สึกอึดอัดได้แผ่ซ่านขึ้น

ฟุยุสึกินั่งอยู่บนเตียงของผม

แน่นอนว่า ผมไม่เคยมีประสบการณ์อยู่ในห้องแคบๆ กับผู้หญิงสองต่อสองแบบนี้มาก่อน

ทั้งที่ผมเป็นคนเชิญเธอมาเองแท้ๆ แต่ผมกลับเริ่มรู้สึกประหม่าเองเสียงั้น เสียงเข็มนาฬิกาที่ติดผนังดังก้องอยู่ในหัว จากนั้นใจของผมเต้นตามจังหวะของเข็มนาฬิกา

ผ่านไปไม่กี่นาที ฟุยุสึกิก็ได้ทำลายบรรยากาศนั้นทิ้งเสียก่อน

 

“ที่นี่คือห้องของคาเครุคุงสินะคะ”

“ชะ…ใช่ ฉันแชร์ห้องนี้อยู่กับนารุมิ ตรงที่เธอนั่งอยู่ก็คือ…เตียงของฉัน”

“เตียงของคาเครุคุงเหรอ”

 

ฟุยุสึกิพูดพร้อมเอนตัวลงนอนบนเตียง เอาหน้าซุกลงบนหมอน ขาของเธอยาวเรียวขาวโพลนโผล่ออกมาจากชายกระโปรง

 

“เอ่อ… เดี๋ยวสิ…ชุดชั้นใน…โผล่แล้วนะ”

 

ฟุยุสึกิรีบลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วจับชายกระโปรงไว้แน่น

 

“…”

 

ความเงียบงันเข้าปกมาคลุมอีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดหวนกลับมาอีกครา หัวใจของผมเต้นโครมคราม

 

“เมื่อกี้เห็นรึเปล่าคะ?”

“จะไปเห็นได้ยังไง ฉันเตือนเธอก่อนไง”

“ลามกจังนะคะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เห็นอะไรสักหน่อย”

“งั้นเชื่อก็ได้ค่ะ” ฟุยุสึกิพูดพลางหัวเราะ

 

จริงๆ แล้วเธอหัวเราะเก่งมาก

 

“น่าเสียดายจัง”

“ก็บอกแล้วไม่เห็นสักหน่อย”

“อ๊ะ ฉันพูดถึงดอกไม้นะคะ”

 

ใบหน้าผมแดงขึ้นมาทันทีเพราะความเข้าใจผิด จนรู้สึกอายจนอยากหายไปจากโลกนี้

“ปีหน้าก็คงมีอีกนั่นแหละ เห็นว่าเป็นกิจกรรมประจำปีของมหาลัยเลยล่ะ”

“อยากเข้าชมรมนั้นจังน้า…จัดดอกไม้ไฟในงานเทศกาลเนี่ย…เป็นอะไรที่วัยรุ่นมากเลยนะคะ แต่ก็คงโดนปฏิเสธอยู่ดี”

“งั้นไปสมัครด้วยกันไหม?”

“เอ๊ะ! ดีหรอคะ?”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“สัญญาแล้วนะคะ”

ฟุยุสึกิพูดพร้อมหันไปมองทางหน้าต่าง ผมถามว่า “เป็นอะไรหรอ?” เธอก็ตอบกลับมาว่า “เสียงฝนเบาลงแล้วว่ามั้ยคะ” ผมจึงมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าฝนเริ่มซาลงแล้ว

 

ผมตัดสินใจพาฟุยุสึกิไปส่งที่แมนชั่นในตอนนี้ จึงออกมาด้านนอก

ถึงเวลาที่ต้องพาเธอกลับแล้ว ถ้าเกิดอยู่ต่อไปมากกว่านี้ เราอาจจะคุมตัวเองไม่ไหว

ผมเหลียวตามองขาเปลือยของฟุยุสึกิที่ย่ำไปมาบนพรม พลางกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้ง แม้จะยังยับยั้งอารมณ์ไว้ได้ แต่ก็อดหวั่นไม่ได้ว่า ถ้ามีอะไรมากระตุ้นอีกสักนิด อะไรบางอย่างอาจจะเกิดขึ้น

เราสองคนเดินกางร่มไปด้วยกัน ฟุยุสึกิเดินควงแขนผมไว้ เพราะใช้ไม้เท้าตอนนี้คงจะเดินไม่ค่อยสะดวก

ราวกับพวกเราสองกำลังเดินสามขาใต้แสงไฟ

สายฝนปรอยๆ คล้ายๆ กับหมอกพัดเข้ามาในร่มทำแก้มผมเปียก

ฟุยุสึกิซึ่งอยู่ข้างๆ ผมยิ้มให้ กลิ่นฝนในอากาศกับกลิ่นแชมพูที่เธอใช้ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

ผมพยายามหาทางเบี่ยงเบนความสนใจจึงท่อง “นะโมอะมิตตะพุทธ” แต่คำที่ผมจำได้มีแค่ “นะโมอะมิตตะพุทธ” หกคำเพียงเท่านั้น จากนั้นก็เปลี่ยนมาท่องค่าพาย แต่ก็ทำได้แค่ถึงทศนิยมตำแหน่งที่แปด สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นานเกิน 3 วินาทีเลย

 

“วะ…ว่าแต่ ดอกไม้ไฟที่ซื้อมาจะเอายังไงกันดี”

“ไว้ใช้ช่วงหน้าร้อนกับทุกคนก็ได้นะ”

“กลางคืนออกมาเล่นได้หรอ?”

“ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ เราเจอกันครั้งแรกตอนปาร์ตี้กลางคืนไม่ใช่หรอคะ”

“ก็จริงแฮะ งั้นชวนนารุมิกับฮายาเสะมาด้วยดีไหม”

“ก็ดีนะคะ” ฟุยุสึกิยิ้มกว้าง

 

หลังจากนั้น ฟุยุสึกิก็ทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยกล้าพูดออกมา

 

“คาเครุคุง….คาเครุคุงเนี่ย…มีแฟนรึยังหรอคะ?”

“แฟนเหรอ?”

“อืม”

“เอ๊ะ ไม่มีนะ”

 

เมื่อผมพูดจบ ฟุยุสึกิก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก

 

“ค่อยยังชั่ว”

…หมายความว่าอะไร?

 

“หมายความว่ายังไงหรอ?”

“หืม เอ๊ะ เอ๋!? ไม่สิ คือว่านะคะ… ฉันได้รับความช่วยเหลือจากคาเครุคุงมาตั้งเยอะ ถ้าเกิดมีแฟนแล้ว ฉันคงรู้สึกแย่เอาที่ต้องเกาะแขนคุณแบบนี้น่ะค่ะ”

“แค่นี้เองหรอ?”

 

ผมพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ ฟุยุสึกิจึงมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจแล้วถามว่า

 

“แค่นี้เอง…?”

“เอ๊ะ เปล่าๆ ไม่มีอะไรๆ ไม่สิ ไอนั่นไง”

 

ผมเกือบจะพลั้งปากพูดออกไปแล้วว่า “ฟุยุสึกิชอบผม”

 

“หืม เอ๊ะ อ๊ะ เอ๋!?”

 

ทั้งสองคนต่างเผลอทำเสียงแปลกๆ ออกมาเรื่อยๆ ーไร้ที่จบสิ้น

ผมจึงแก้ตัวไปว่า “พอดีฉันไม่เก่งเรื่องมุกตลกอะไรพวกนี้น่ะ”

ฟุยุสึกิหน้าแดงเล็กน้อย แล้วหยิกแขนผมเบาๆ ความเจ็บประมาณมดกัด

 

“ใจร้าย”

“เจ็บนะ”

“สมควรแล้วล่ะ”

 

ฟุยุสึกิพูดเสียงเบาแผ่วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

 

“เอาล่ะ”

“อะไรหรอ?”

“รู้ไหมคะ ว่ามีวิธีดูหน้าคนอื่นโดยไม่ต้องใช้ตาด้วยล่ะค่ะ”

“ดูหน้าเหรอ?” ฟุยุสึกิยิ้มกว้าง

“ใช่ค่ะ เพียงแค่ใช้มือจับใบหน้าคนนั้นก็รู้แล้วว่าคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง”

“เธออยากทำแบบนั้นสินะ”

 

พวกเรามาถึงหน้าแมนชั่นของฟุยุสึกิแล้ว

ฟุยุสึกิหันมาทางผมแล้วพูดว่า “ขออนุญาตินะคะ” จากนั้นก็ค่อยๆ สัมผัสที่หน้าอกของผมแล้วค่อยๆ ลากปลายนิ้วมาสัมผัสที่ใบหน้า จากนั้นมือเล็กๆ เย็นๆ ของฟุยุสึกิก็ได้มาโอบรอบแก้มของผม

 

“ช่วยย่อตัวลงอีกนิดนึงได้ไหมคะ?”

“แบบนี้เหรอ?”

 

ผมย่อตัวลงตามที่เธอขอ

ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นบริเวณริมฝีปาก

ตรงหน้าผมคือใบหน้าของฟุยุสึกิที่หลับตาอยู่ ริมฝีปากนุ่มๆ ของเธอกำลังแนบชิดไปกับริมฝีปากผม

กล่าวคือ เราจูบกันอยู่นั่นเอง

พอรู้ตัวว่ากำลังจูบอยู่ หัวใจผมก็เต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาทีผ่านไป

ฟุยุสึกิค่อยๆ นำริมฝีปากออกพร้อมกับเสียง “อื้ม” เบาๆ

 

“คาเครุคุง”

──ไม่ถนัดมุกแบบนี้เหรอคะ?

 

ทันทีที่ฟุยุสึกิพูดออกมา หัวใจของผมเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บแสบ

ผมยืนนิ่งโดยไร้การโต้ตอบ ส่วนทางฟุยุสึกิพูด “ฝันดีนะคะ” แล้วจับราวขึ้นทางลาดไป

หัวใจผมยังคงเต้นแรงไม่หยุด

ผมทำได้แต่พูดว่า “อืม เธอก็ด้วยนะ” เบาๆ แล้วมองดูฟุยุสึกิที่กำลังเดินจากไป

ผมยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นลิปสติกของเธอบนริมฝีปากของผม และผมก็ยังรู้สึกถึงจูบนั้นอยู่

 

 

“เรื่องก็ประมาณนี้แหละ”

 

พอเล่าเรื่องคร่าวๆ จบ นารุมิก็เบิกตาโพลงแล้วพึมพำว่า “ไปตายซะนารุมิ”  

ส่วนฮายาเสะเองก็ทิ้งตัวลงกับโต๊ะแล้วร้องด้วยสำเนียงคันไซปลอมๆ ว่า “ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย!”

 

“ทำไมโซราโนะคุงถึงไม่เปิดก่อนเล่า!”

“ก็…มันไม่ง่ายขนาดนั้นสักหน่อยนี่นา”

“เอาเถอะ ใจเย็นกันก่อนซะสิ”

 

ฮายาเสะเงยหน้าขึ้นแล้วมาจ้องมองมาที่ผมอย่างแรง

 

“ไม่ได้สิ ปกติผู้ชายต้องเป็นฝ่ายบอก ‘ชอบ’ ก่อนสิ!”

“เอาน่า ยุคสมัยกลายเป็นยุคไม่แบ่งเพศแล้ว เขาคงคงมีวิธีของเขาเองนั่นแหละน่า”

“แล้วพาเข้าห้องแล้วไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ?”

“ทำไม่ได้หรอก”

“ทำไม?”

“ก็ฟุยุสึกิ มองไม่เห็นนี่นา”

 

คำพูดนั้นทำให้ฮายาเสะโกรธจนขึ้นเสียง  

“หา!? เพราะเธอพิการเลยทำไม่ได้รึไง!?”

“หา!? ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”

จริงๆ ผมก็เคยคิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่การที่ฮายาเสะพูดออกมากลับทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ใจเย็นก่อนทั้งคู่”

 

นารุมิเข้ามาห้ามปราม แต่ทว่าเสียงของเขาดันดังที่สุดในร้านจนทำให้คนทั้งร้านหันมามองเสียเอง เขาจึงได้แต่โค้งขอโทษไป

 

“ให้ฝั่งโซราโนะเล่าก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

“ฟุยุสึกิน่ะ”

“อืม”

 

ฮายาเสะที่ยังทำหน้าบึ้งกอดอกพิงกำแพงตอบเสียงต่ำ

 

“เพราะเธอมองไม่เห็น”

“อืม”

“ฉันเลยคิดว่าเธอคงจะกลัว”

“กลัว?”

 

ฮายาเสะเอียงคอสงสัยแล้วถามกลับ

 

“ถ้ามีใครมาแตะต้องตัวเธอกะทันหัน เธอคงจะตกใจ เพราะงั้นถ้าฉันรุกเข้าไปแบบนั้น มันคงจะทำให้เธอกลัวแน่ๆ”

 

เมื่อผมพูดจบ ฮายาเสะก็เบิกตากว้างก่อนปรบมือแล้วหัวเราะออกมา

“หัวเราะอร่อยไปแล้ว” นารุมิบอก

“นายนี่มันซื่อจริงๆ” ฮายาเสะพูด

พวกเขาหัวเราะกันไม่หยุด นารุมิที่กอดอกเงียบได้สักพักหนึ่งก็ได้หลุดหัวเราะออกมาตามไปด้วย

 

“ล้อกันเล่นกันอยู่รึไง?”

“ไม่สักหน่อย” พวกเขาตอบพร้อมเพรียงกันแล้วหันไปมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอีกครา

“ล้อกันอยู่แหงๆ!”

 

พูดจบ ทั้งคู่ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผมได้แต่หวังในใจว่า ตกนรกไปซะ

 

“งั้นถามอะไรหน่อยสิ”

ฮายาเสะถามต่อ

 

“ชอบอะไรในตัวโคฮารุจังหรอ?”

“ไม่บอก”

“เห~ มาเวย์นี้เหรอ คงจะเพราะหน้าตาสินะ หรือรูปร่าง? คิดลึกไปถึงไหนเชียว แต่ผู้ชายอย่างนายไม่คู่ควรกับโคฮารุจังหรอกนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”

 

ผมกระดกชาอู่หลงที่เหลืออยู่ในแก้วจนหมด

 

“ฟุยุสึกิ เธอยิ้มอยู่ตลอดเวลาเลย”

“อาหะ?”

 

ฮายาเสะเท้าคางบนโต๊ะแล้วมองมาทางผมด้วยใบหน้าที่ดูผ่อนคลาย

 

“ถ้าเป็นฉันที่มองไม่เห็น…ฉันคงทำใจให้เข้มแข็งขนาดนั้นไม่ได้หรอก”

“เข้าใจเลย”

“อย่างตอนที่พ่อแม่หย่ากัน ฉันก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น”

“งี่นี่เอง”

“ถึงจะไม่ใช่ความผิดของฉัน แต่ฉันก็ยังคิดลบอยู่ตลอด”

“งี่นี่เอง เข้าใจแล้ว”

“ฉันเอาแต่สนใจความรู้สึกคนอื่นตลอด แต่ฟุยุสึกิกลับกัน เธอเป็นตัวของตัวเองมากกว่าเยอะ ฉันคิดว่าเธอสุดยอดไปเลยนะ แถมเธอยังสอนฉันอีกว่า ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของตัวเราเอง”

 

ผมไม่แน่ใจว่าที่เผลอพูดความรู้สึกออกไปนั้นเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่เอาเถอะ ตอนนี้ช่างมันไปก่อน

 

“นั่นสินะ”

“เพราะงั้นฉันก็เลยชอบเธอ”

 

ฮายาเสะแกล้งเป่าปากเยาะเย้ย แต่ผมก็ไม่สนใจอะไร

 

“มันก็เลยทำให้ฉันคิดได้ว่าอย่ามองเรากันแค่ภายนอกน่ะ”

 

ฮายาเสะพยักหน้าเข้าใจพร้อมส่งยิ้มให้ผม

 

“โคฮารุจังอ่ะนะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่ฉันเจอเธอครั้งแรกแล้ว ดูแลตัวเองทุกวัน แถมยังพาโซราโนะคุงไปดูดอกไม้ไฟอีกด้วยนี่เนอะ แม้แต่เรียนเธอก็เข้าครบทุกคาบ ไม่เคยเอาเรื่องตาบอดมาเป็นข้ออ้างเลย ขนาดฉันเองบางทีก็ยังตื่นสายบ้างเลย ฉันก็คิดเหมือนนายเลยเธอนี่เป็นคนสุดยอดจริงๆ น้า”

 

ผมคิดว่าฮายาเสะคงกำลังนึกถึงหน้าฟุยุสึกิอยู่ แล้วฟุยุสึกิที่เขานึกถึงคงจะเป็นรอยยิ้มของเธอ

 

“เพราะงั้น ฉันก็เข้าใจความรู้สึกที่นายจะสื่อนะ เธอเป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมและซื่อสัตย์ ตรงข้ามกับฉันสุดเลยล่ะ ฉันชื่นชมเธอจากใจจริง โคฮารุจังสุดยอดจริงๆ”

 

แน่นอนว่า ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกของฮายาเสะที่พยายามจะสื่อว่า ฟุยุสึกิเป็นคนที่น่าทึ่งมากแค่ไหน เพราะผมเองก็ถูกดึงดูดด้วยแรงกล้าของเธอที่ไม่ยอมแพ้กับสิ่งใดง่ายๆ ฮายาเสะเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน

 

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วสารภาพไปเลยสิ” นารุมิก็ตบเข่าแล้วพูดขึ้น

“เอ่อ นั่นก็…”

“ทำไม มีอะไร จังหวะได้แล้วแท้ๆ เชียวนะ!” ฮายาเสะกล่าว

“เอ่อ…”

“กลัวจนตัวหดขึ้นมารึไง?” นารุมิถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ก็นะ มันยากนี่เนอะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

“สรุปชอบจริงไหมเนี่ย?” ฮายาเสะพูดกดดันผม

“มันแน่อยู่แล้วสิ!”

“แต่ก็เข้าใจนะมันก็ต้องใช้ความกล้าพอสมควรเลยกับเธอที่มองไม่เห็นน่ะ”

นารุมิถอนหายใจแรงด้วยความตั้งใจ

“ก็ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย!”

“แล้วชอบจริงไหมเนี่ย”

ฮายาเสะพูดยั่วอีกครั้ง

“หา? ก็แน่อยู่แล้วสิ เดี๋ยวไปบอกเลย”

“เมื่อไหร่?” ฮายาเสะถาม

“เมื่อไหร่ดี..”

“งั้นพูดซ้อมก่อนไหม เดี๋ยวฉันอัดคลิปให้”

“ซ้อมเหรอ?”

“เอ้าเริ่มค่า พูดไม่ออกแบบนี้ สงสารโคฮารุจังแย่”

 

ผมได้ยินเสียงในหัวเหมือนเส้นเลือดจะแตก

ผมหยิบแก้วขึ้นมาแต่ชาในแก้วหมดเสียแล้ว ผมจึงเคี้ยวน้ำแข็งเสียงดังแล้วกลืนลงไปแทน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเสียงดังจนคนทั้งร้านหันมามอง

 

“ฟังทางนี้─!”

 

ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมด้วยความอยากรู้ ผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่อาจหยุดอยู่แค่นี้ได้

 

“ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะประกาศ!”

 

ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอหนุ่มกะล่อนที่ไหนเคยสารภาพรักกับฮายาเสะ

ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งร้าน ทุกสายตาจ้องมาทางผม…แต่แล้วมีโต๊ะหนึ่งสั่งมอนจะมา กลิ่นหอมของซอสโชยุโชยมาไม่ค่อยเหมาะกับเวลานี้สักเท่าไหร่ แต่ผมได้แต่ต้องไปต่อ

 

“ผม โซราโนะ คาเคยูว…”

“กัดลิ้น ไม่ผ่านค่า” ฮายาเสะพูดขัด

“กัดลิ้นล่ะ” นารุมิพูดเสริม

 

ทั้งที่เป็นการสารภาพรักครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตแท้ แต่เผลอไปกัดลิ้นเสียงั้น นารุมิกับฮายาเสะต่างหันมาหัวเราะเยาะ ผมอายจนแทบร้องไห้

เอาเถอะ พูดต่อไปให้มันจบ

 

“ผม โซนาโนะ คาเครุ ชอบคุณฟุยุสึกิ โคฮารุ ที่สุดเลยยยย! ช่วยคบกับผมได้ไหมครับบบบบ!”

 

ความเงียบงันหวนกลับมาอีกครา

แล้วทันใดนั้น

เฮฮฮฮฮ้!

เสียงปรบมือดังกึกก้อง

“แหม วัยรุ่นนี่ดีจริงๆ เน้อ ยังหนุ่มยังแน่น ยังฟิตปึ๋งปั๋ง!”

พร้อมกับเสียงแซว

“คบกับฉันด้วยสิ!”

อีกคนแซวตาม

“เป็นไงพอใจไหม?”

นารุมิมองมาที่ผมด้วยสายตาเหม่อลอย

“อะ อืม”

 

ฮายาเสะยิ้มแล้วหยิบมือถือขึ้นมา

จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันส่งวิดีโอให้โคฮารุจังแล้วนะ”

“หา?” ผมหันไปดูหน้าจอมือถือของฮายาเสะ พบว่ามีวิดีโอถูกส่งไปหา ‘โคฮารุ’

อ๊ะ เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆๆๆๆ

ผมขยี้ตาดูอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

จากนั้นก็มีเครื่องหมาย ‘อ่านแล้ว’ ปรากฏขึ้นมา

 

“จริงจัง?”

“แม่นแล้ว” ฮายาเสะหัวเราะลั่น

เอาจริงดิ ขณะที่ผมยังโกรธไม่หาย ฮายาเสะยังคงหัวเราะไม่หยุด

นารุมิเองก็หัวเราะ คนในร้านก็หัวเราะ ผมอยากหายตัวไปซะเดี๋ยวนั้น

 

หลายวันต่อมาก็ยังคงไร้คำตอบกลับจากฟุยุสึกิ…

 

———————————-

เกริ่นนำตอนต่อไปสามารถดูได้ทางเพจ Mxgic

 

Special Thanks : คนญี่ปุ่นท่านหนึ่ง

ปล มุกคนญี่ปุ่นไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะทางนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 5555+

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด