ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 246 ย่านการค้าเมืองผีแดนต้องห้ามปักษาราชัน (1)
บทที่ 246 ย่านการค้าเมืองผีแดนต้องห้ามปักษาราชัน (1)
ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีพื้นที่ต้องห้าม แต่แดนต้องห้ามมีเพียงแห่งเดียว
นั่นก็คือแดนต้องห้ามปักษาราชัน
พื้นที่กินเขตเมืองทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปกว่าครึ่ง หากไม่มีเทือกเขาสัจจะธรรมกั้นขวาง รวมกับเหตุผลพิเศษบางประการ เกรงว่าพื้นที่แดนต้องห้ามปักษาราชันคงกว้างใหญ่กว่านี้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น หลายปีมานี้พื้นที่ของแดนต้องห้ามปักษาราชันก็ยังคงขยายออกไป กระทั่งว่ามีบางส่วนลามไปในเทือกเขาสัจจะธรรมแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หลายพันปีให้หลัง ทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณจะกลายเป็นแดนต้องห้ามปักษาราชัน
และความแตกต่างของพื้นที่ต้องห้ามกับแดนต้องห้ามคือเผ่าพันธุ์
ในพื้นที่ต้องห้ามส่วนใหญ่เป็นสัตว์ร้ายบางชนิดและสิ่งประหลาด อีกทั้งโบราณสถานลึกลับและผนึก แต่ไม่ได้มีเผ่าพันธุ์มากมายเป็นหมื่นเผ่า มีเพียงแดนต้องห้ามเท่านั้นที่จะให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาได้
ยกตัวอย่างเช่นแดนต้องห้ามมรณะบนทะเลต้องห้าม
เผ่าสิงซากสมุทรก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นนี้ อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งเผ่าอยู่แค่ชายขอบแดนต้องห้ามมรณะ ดังนั้นในแดนต้องห้ามปักษาราชันก็มีเผ่าพันธุ์ประเภทนี้เช่นกัน
เนื่องจากวิหคเพลิงสวรรค์เป็นมิตรกับมนุษย์ จึงไม่อนุญาตให้เผ่าที่ถือกำเนิดในแดนต้องห้ามปักษาราชันออกไปข้างนอก ทุกฝ่ายจึงอยู่อย่างสงบ ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน มีการไปมาหาสู่ไม่มาก
แม้บางครั้งจะมีขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์เข้าไปในแดนต้องห้ามปักษาราชันก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะได้รับทรัพยากรหรือล่าสัตว์อสูร ต่างเลี่ยงเผ่าพันธุ์มีสติปัญญาในแดนต้องห้ามปักษาราชัน
แต่ก็มีเผ่าพันธุ์บางเผ่าในแดนต้องห้ามปักษาราชันชอบทำการค้าแลกเปลี่ยนทรัพยากรบางอย่างกับเผ่ามนุษย์
ยกตัวอย่างเช่นย่านการค้าเมืองผี
ย่านการค้าเมืองผีฟังชื่อก็รู้ความหมาย ย่านภูตผี พื้นที่แลกเปลี่ยน
เผ่าพันธุ์นี้ไม่ได้มีเฉพาะที่แดนต้องห้ามปักษาราชัน ความจริงในแดนต้องห้ามหลายๆ แห่งก็มีเผ่าพันธุ์ประเภทนี้ปรากฏตัวทั้งนั้น ดูแล้วเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง เพียงแต่ข้างในพิลึกพิศดาร ตัวตนที่อยู่ล้วนเป็นสิ่งประหลาด
ของที่ขายมักจะเป็นวัตถุที่หาได้ยากในเผ่ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นสิ่งชั่วร้ายเป็นหลัก
สวี่ชิงเข้ามาในแดนต้องห้ามปักษาราชันครั้งนี้ เป้าหมายแรกของเขาก็คือย่านการค้าเมืองผี
“ย่านการค้าเมืองผีในแดนต้องห้ามปักษาราชันลึกลับซ่อนเร้นไม่แน่นอน หากอยากเข้าไปก็ไม่ได้พึ่งวาสนา…” ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก สวี่ชิงอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชันเงาร่างประดุจภูตผี ห้อตะบึงไปข้างหน้า
เขาประเดี๋ยวก็ทะยานขึ้น ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวก็เหาะเหินไปยังยอดไม้สังเกตรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ประเดี๋ยวก็หยิบผงออกมาจากกระเป๋าโปรยไปข้างตัว
หากผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับหนึ่งเห็นการกระทำแต่ละอย่างของสวี่ชิงจะต้องตกใจแน่นอน เพราะสวี่ชิงเคลื่อนไหวได้ช่ำชองและถูกต้องทั้งหมด
กระโดดทะยานเพราะบนพื้นมีสัตว์เลื้อยคลานหลบซ่อนอยู่ เปลี่ยนทิศทางฉับพลันเพราะข้างหน้ามีไยคล้ายไยแมงมุมและผู้ล่า ส่วนที่เหาะเหินไปยังยอดไม้ก็เพื่อสำรวจทิศทางได้ดียิ่งขึ้น ไม่หลงในป่า
เหตุที่ไม่เหาะเหินบนฟ้าเพราะท้องฟ้าในพื้นที่ต้องห้ามไม่มีที่หลบซ่อน ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอันตรายจะพลันปรากฏขึ้นทิศทางใด
ต่อให้กำลังของสวี่ชิงตอนนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังคงยำเกรงพื้นที่ต้องห้ามเช่นเดิม
ความยำเกรงนี้ผสานไปในเลือด ขอเพียงแค่เลือดยังคงไหลเวียนก็ไม่มีวันจางหายไป
‘ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ใด การสังหารที่ไร้ประโยชน์ไม่ควรทำทั้งสิ้น กลิ่นคาวเลือดเป็นหนึ่งในปัจจัยดึดดูดสัตว์ร้ายเสมอ’ สวี่ชิงหรี่ตา มือขวาพลันยื่นไปคว้าหนอนแปลกประหลาดตัวหนึ่งที่พุ่งออกมาจากดินข้างๆ
หนอนตัวเรียวยาว ขนาดประมาณสามชุ่น ดูแล้วเหมือนปลา แต่หางกลับมีหนามแหลม ตอนที่มันพุ่งออกมา ร่างของมันพุ่งกลับหลัง ใช้หางแหลมคมเป็นอาวุธ คิดจะแทงคอสวี่ชิง
“ปลาหนามบก” สวี่ชิงขยี้หัวปลาตัวนี้จนแหลกละเอียด โยนซากของมันไปในถุงเก็บของ
จะทำการฆ่าอย่างไร้ประโยชน์ไม่ได้ แต่การฆ่าเพื่อได้มาซึ่งทรัพยากรนั้นทำได้
ในหนามของปลาหนามบกมีพิษร้ายแรง สร้างภัยคุกคามร้ายแรงกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ยังไม่ได้ก่อไฟชีวิตได้
ต่อให้เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงมายังแดนต้องห้ามปักษาราชัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามหรือพืชพรรณนานาสวี่ชิงล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเขาเตรียมตัวมามากเท่าที่จะทำได้ ทั้งเผ่าพันธุ์และสัตว์ร้ายในแดนต้องห้ามปักษาราชันแห่งนี้ก็ศึกษาข้อมูลมามากมาย
‘ผู้คนที่เพิ่งค้นพบย่านการค้าเมืองผีในตอนแรก อยากเข้าไปต้องอาศัยโชคอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังจากค้าขายแลกเปลี่ยนกันหลายปี ย่านการค้าเมืองผีก็เริ่มมอบวัตถุที่ชื่อว่าขลุ่ยผีให้
‘ในช่วงสามเค่อของยามจื่อ[1] ใช้ต้นไม้สามต้นวางเป็นรูปสามเหลี่ยมในที่ว่างโล่งของแดนต้องห้ามปักษาราชัน จุดเทียนสามเล่มวางไว้สามตำแหน่ง ไปยืนอยู่ตรงกลางเป่าขลุ่ยผี ย่านการค้าเมืองผีก็จะปรากฏข้างหน้า’
สวี่ชิงพึมพำในใจ นี่คือวิธีที่ถูกต้องที่สุดตามวิธีที่อ่านเอกสารมากมายและวิเคราะห์อย่างละเอียด และเขาก็ซื้อขลุ่ยผีมาจากสำนัก
ตอนนี้สวี่ชิงทะยานไปอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นร่างก็พุ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สำรวจรอบๆ ครู่หนึ่ง
‘ที่นี่นับว่าเหมาะสมอยู่’
เพียงสวี่ชิงยกมือขวาขึ้น เหล็กแหลมก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กวาดไปรอบๆ ทันที ทันใดนั้นต้นไม้สามต้นก็ถูกตัดเป็นท่อนจากบนพื้นจากการพุ่งผ่านอย่างรวดเร็วของสายฟ้าสีดำแต่ละสาย
ต้นไม้สามต้นล้มลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หนึ่งในนั้นเป็นต้นที่สวี่ชิงยืนอยู่ ตอนนี้จากต้นไม้ทั้งสามต้นที่กระแทกลงพื้น ร่างสวี่ชิงลอยกลางอากาศ ก้มหน้าสะบัดมือ ต้นไม้ใหญ่ทั้งสามบนพื้นก็หมุนประกอบเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหล็กแหลมดำพุ่งมา บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในนั้นสังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง ทำท่าเหมือนปกป้องเจ้านายอย่างภักดี
สวี่ชิงจัดการอยู่ครู่หนึ่ง ร่างลอยต่ำลงยืนอยู่กลางต้นไม้ทั้งสาม หยิบเอาเทียนสีขาวสามเล่มออกมาวางบนต้นไม้ จากนั้นมือขวาก็ยกขึ้น ในมือมีขลุ่ยที่ทำจากกระดูกเลาหนึ่ง
สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ถือขลุ่ยเอาไว้ รอเวลา
ไม่นานนักก็ถึงช่วงสามเค่อของยามจื่อ
สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ถือขลุ่ยผีจรดที่ริมฝีปาก เป่าเบาๆ
ทันใดนั้น เสียงแสบแก้วหูก็พลันดังจากขลุ่ยผีเลานี้ ขณะที่เสียงเหมือนเสียงนกแสกดังขึ้น รอบๆ ทั่วทั้งฟ้าดินในชั่วขณะนี้ก็พลันเกิดลมเย็นเยือกขึ้น
ลมเย็นเยือกพัดกรรโชกทำให้เทียนทั้งสามเล่มไหววูบวาบ พร้อมกับความเย็นที่ยากบรรยายลอยอวลมา
พื้นดินเกิดน้ำแข็งเกาะขึ้นทันที ดินและต้นไม้รอบๆ มีน้ำค้างแข็งเกาะ เทียนทั้งสามเล่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ยิ่งมีเสียงพึมพำดังเป็นระลอกๆ มาจากความว่างเปล่า
ฟังไม่ชัดว่ากำลังพูดอะไร เหมือนมีคนมากมายกำลังซุบซิบกันอยู่ เสียงนี้ดังเข้ามาในจิตใจของสวี่ชิง ในขณะที่ทำให้ใจเขาหวั่นไหว ที่ไกล…ก็เกิดหมอกขึ้น
หมอกเกิดขึ้นเฉียบพลัน ราวเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หอบม้วนขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนเมื่อลอยอวลได้เป็นบริเวณในระดับหนึ่ง ปกคลุมต้นไม้ในป่า
จากนั้น ในหมอกนี้ก็มีเมืองหนึ่งปรากฏขึ้น
กำแพงของเมืองนี้เป็นสีเทา สิ่งก่อสร้างทุกอย่างในนั้นเป็นสีเทาทั้งหมด ดูจากรูปแบบแล้วฉายความโบราณออกมา เหมือนเมืองโบราณที่ถูกฝังกลบในประวัติศาสตร์ ปรากฏขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง
ในเมือง…คึกคักยิ่งนัก
จะเห็นเงามากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในนั้นแน่นขนัด อีกทั้งรูปร่างยังแตกต่างกันออกไป
บางเงาไม่มีศีรษะ บางเงามีกายเป็นสัตว์ บางเงารูปร่างสูงใหญ่ บางเงาทั้งร่างยาวเรียว แล้วก็ยังมีบางเงาที่ปากใหญ่เกินไป จึงทำได้แค่ยกมือประคองคางเอาไว้ และมีบางเงาที่ทั้งร่างมีจิตอาฆาตวนเวียน
ในนั้นไม่ได้มีแค่เงาผีสัญจรไปมาเท่านั้น ยังมีร้านค้ามากมายนับไม่ถ้วนด้วย
ร้านค้าก็แปลกประหลาดเช่นกัน รูปลักษณ์แผ่ออกมาซึ่งความเหี้ยมเกรียม
หากคนธรรมดาเห็นจะต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน
นี่เป็นเมืองผีโดยสมบูรณ์เมืองหนึ่ง
ข้างในบางทีอาจจะมีคนเป็น แต่อำพรางกลิ่นอายของตัวเอง ทำให้ทั้งร่างอวลไปด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น
นี่ก็เป็นหนึ่งในกฎการเข้าย่านการค้าเมืองผีเช่นกัน
แม้ย่านการค้าเมืองผีจะยินดีทำการค้าแลกเปลี่ยนกับเผ่ามนุษย์ แต่กฎคือ…จะต้องเป็นคนที่ไอพลังประหลาดทั่วทั้งร่างเข้มข้นจนใกล้จะกลายพันธุ์
นอกจากนั้น เมืองผีที่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่มีเงาผีมากมหาศาล แต่กลับเงียบสงัด คล้ายว่าทุกสิ่งที่อยู่ข้างในพูดไม่ได้
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในนั้นคือ ที่ใจกลางเมือง ศีรษะมหึมาลอยอยู่
ศีรษะนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ดูแล้วเป็นเผ่ามนุษย์ วัยกลางคน แต่ไม่มีผม
เหมือนศีรษะของพระรูปหนึ่ง
มันหลับตาอยู่ นิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางอากาศ รอบๆ มีโซ่มากมายตรึงเอาไว้ ทำการสะกดผนึก
มองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าโซ่เหล่านั้นก่อจากแขนที่ไม่มีผิวหนังพันรัดอยู่ด้วยกัน
ขณะเดียวกันประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองผี มีชายกำยำสูงใหญ่ที่เปลือยท่อนบน ศีรษะกลับเหมือนเด็กทารก แบกดาบเหล็กด้ามผียาวถึงห้าจั้งไว้บนบ่า สอดส่องรอบๆ
ประตูข้างหน้าสวี่ชิงก็เป็นดังที่กล่าว
สวี่ชิงมองทุกอย่าง ถอนสายตากลับมา ในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย
เขาไม่เคยเห็นเมืองผีในแดนต้องห้ามปักษาราชัน แต่ภาพนี้เหมือนกับในเอกสารที่เขาอ่านทุกประการ ขณะเดียวกันหลังจากที่สวี่ชิงได้เห็นทุกอย่างเองกับตาตอนนี้ ก็นึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ตนได้เห็นเมืองคล้ายกับเมืองผีใต้ทะเลต้องห้ามเหมือนกัน
“เช่นนั้นแล้ว ที่นั่นก็น่าจะเป็นย่านการค้าเมืองผีแห่งหนึ่งเหมือนกันใช่หรือไม่” สวี่ชิงไม่ได้เดินไปทันที แต่สังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เทียนไขรอบๆ เขาภายใต้ลมเย็นเยือกค่อยๆ ไหววูบรุนแรงขึ้น
สวี่ชิงไม่รีบร้อน สังเกตรายละเอียดทุกอย่างต่อไปจวบจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหา เทียนรอบๆ ใกล้มอดดับ เมืองผีที่อยู่ที่ไกลรางเลือนอีกครั้ง เขาก็สูดไปทางเจ้าเงา
ทันใดนั้นไอพลังประหลาดในร่างก็พุ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพียงพริบตาทั้งตัวเขาก็ดูเหมือนไอพลังประหลาดเข้มข้นจนถึงขีดสุด ปานจะกลายพันธุ์ได้ทุกเมื่อ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ
สุดท้าย รอบตัวเขาก็มีหมอกที่เกิดขึ้นหลังจากไอพลังประหลาดเข้มข้นพันล้อม สวี่ชิงถึงได้เดินไปยังเมืองผีที่อยู่ข้างหน้าทีละก้าว
ทุกก้าวยาวประมาณสามจั้ง ไม่กี่อึดใจ สวี่ชิงก็เหยียบย่างเข้ามาในหมอก เดินมาถึงหน้าประตูเมืองผีเมืองนี้
ในเสี้ยวพริบตาที่เดินมาถึง สายตาชายกำยำที่แบกดาบทั้งสองข้างประตูก็จับมาที่สวี่ชิง
สวี่ชิงไม่หยุดฝีเท้า ปล่อยให้ตัวตนที่เหมือนผีสองตนนั้นจับจ้องตน เดินเข้าไปในเมือง
สายตาข้างหลังก็หายไปจากการเดินเข้าไปของเขา ส่วนหมอกรอบๆ ตอนนี้ก็ขยายขอบเขตทันที ปกคลุมไปทั่ว ทำให้สวี่ชิงมองออกไปไกลก็เห็นเพียงแค่หมอก
ราวกับขวางกั้นผู้มาทำการค้าแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอก มีเพียงดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่เป็นสีเขียวเท่านั้นที่สาดแสงสลัวมาที่เมือง
เรื่องเหล่านี้ล้วนตรงกับเอกสารที่สวี่ชิงค้นหา
เขาสีหน้าเป็นปกติ เดินไปข้างหน้าอย่างสงบ ค่อยๆ เดินไปบนถนนสายยาว เดินเข้าไปในสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วน
เดินไปพร้อมกับผี
แต่จู่ๆ จมูกของศีรษะพระขนาดมหึมากลางท้องฟ้าก็ขยับ เหมือนได้กลิ่นอะไร ดวงตาเหมือนจะลืมขึ้น แต่จากแสงเย็นเยียบบนโซ่กะพริบวูบวาบ มันก็สงบไปอีกครั้ง
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปแวบหนึ่ง รูม่านตาหดเล็ก
เงาผีบนถนนสายยาวมีจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน
[1] 子时 ยามจื่อ ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง
Comments