ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 251 ชิงลงมือก่อน

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 251 ชิงลงมือก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 251 ชิงลงมือก่อน

เรื่องที่เกิดขึ้นที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ สวี่ชิงที่ตอนนี้เดินเข้าไปในที่รกร้างไม่รู้เรื่อง

แต่เขาสัมผัสได้ร่างๆ ว่าท้องฟ้าหลังเที่ยงในวันนี้เหมือนจะมีสีแดงจางๆ จุดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

อีกทั้งสีแดงที่ปรากฏเพิ่มขึ้นมาจางมาก ยากจะให้คนคิดเชื่อมโยงอะไร

ดังนั้น เขาจึงแค่เงยหน้ากวาดตามองไปแล้วถอนสายตากลับมา สำรวจซากปรักหักพังในพื้นที่รกร้างต่อ

เมืองร้างแห่งนี้รูปแบบไม่เหมือนกับเมืองที่สวี่ชิงไป โครงสร้างของหลังคาที่นี่เป็นทรงตัวอักษร ‘井’ เป็นหลัก เล็กใหญ่ สูงต่ำ ในขณะที่ดูเป็นระเบียบก็แฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง

ขณะเดียวกัน แม้ทั้งเมืองจะผ่านการรุกรานจากวันเวลา แต่ก็ยังคงมองเห็นความโอ่อ่าและปราณีต

อิฐทุกก้อนมีลวดลาย บ้านทุกหลังมีหินวิญญาณ ถนนปูด้วยหยกขาว ทางริมน้ำทุกเส้นล้วนปิดด้วยทอง

เพียงแต่ตอนนี้ สิ่งหรูหราเหล่านี้ ภายใต้การกัดกินจากไอพลังประหลาดก็สูญเสียประกายงดงามไปแล้ว การกัดกร่อนสาหัสจนเสียคุณค่าไป มีเพียงคนรุ่นหลังกวาดสายตามองมา ความรุ่งเรืองและร่ำรวยในอดีตของเมืองนี้จึงจะปรากฏขึ้นในจินตนาการได้

แต่เมื่อจินตนาการจบสิ้นลง สิ่งที่สะท้อนอยู่ในสายตาคือมูลของนก สิงสาราสัตว์ต่างๆ ดินโคลนมหาศาล และประเดี๋ยวก็มีงูเลื้อยออกมาจากดินโคลนบนพื้น และมีหญ้าฟันเลื่อยนับไม่ถ้วนที่งอกขึ้นมา

ทั้งหมดนี้ทำให้ความทรุดโทรมของเมืองแห่งนี้และรายละเอียดในทุกๆ แห่งฉายออกมาแจ่มชัด โดยเฉพาะบนป้ายพุพังแผ่นหนึ่ง สวี่ชิงมองเห็นม่วงครามสองตัวอักษรนี้

‘จากคำบรรยายในสระชำระเซียน ที่นี่เป็นจวนรัชทายาทของรัฐม่วงคราม เป็นที่ที่รัชทายาทอาศัย’

สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน เหยียบไปบนโคลน มองรอยเท้ามากมายบนพื้น เขาเงยหน้า สายตากวาดไปรอบๆ สังเกตเห็นในสิ่งก่อสร้างบางแห่งมีเงาของผู้บำเพ็ญไหววูบผ่านไป

ที่นี่มีผู้บำเพ็ญไม่มาก แต่เหมือนจะมีคนอยู่ตลอด

จากเอกสารบางส่วนของที่รกร้างแห่งนี้ที่ได้อ่านจากในสำนัก สวี่ชิงรู้ว่าที่นี่มีผู้บำเพ็ญอยู่ตลอด

พวกเขามาจากที่ต่างๆ ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

มีทั้งผู้บำเพ็ญจากสำนัก และมีทั้งผู้บำเพ็ญไร้สังกัด เนื่องจากความกว้างใหญ่ของแดนต้องห้ามปักษาราชันอีกทั้งยังมีทรัพยากรมากมาย ดังนั้นต่อให้อันตรายแต่ก็ยังคงเป็นดินแดนแหล่งทรัพยากรของผู้บำเพ็ญมากมาย

อย่างไรเสียมีชีวิตอยู่ในโลกโลกาวินาศ สรรพสิ่งล้วนต้องช่วงชิง โดยเฉพาะสำนักเล็กๆ ขั้วอำนาจเล็กๆ และผู้บำเพ็ญไร้สังกัดยิ่งเป็นเช่นนั้น

การยกระดับพลังบำเพ็ญและกำลังรบของพวกเขาทุกครั้งส่วนมากล้วนผ่านกลิ่นคาวเลือดและการหนีจากความตายครั้งแล้วครั้งเล่า

ความยากลำบากเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญสำนักใหญ่ก็ต้องเผชิญเช่นกัน เพียงแต่ระดับแตกต่างออกไป อีกทั้งอันตรายก็สูงกว่า

ส่วนที่รกร้างแห่งนี้อยู่มาเนิ่นนาน นับว่าปลอดภัยอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเดินทางมาแดนต้องห้ามปักษาราชันเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากร

การมาเยือนของสวี่ชิงสร้างความสนใจให้กับคนมากมาย แต่ก็ล้วนแค่มองเพียงแวบเดียวก็ถอนสายตากลับไป คนที่นี่ล้วนระมัดระวัง ระแวงคนอื่นเป็นพิเศษ

สวี่ชิงเองก็เช่นกัน

ตอนนี้เขาเคลื่อนไปข้างหน้า สายตาก็กวาดมองสองข้างทางไปด้วย ระแวดระวังอันตรายและจิตคิดร้ายที่อาจจะพุ่งมา ความเร็วไม่ลดลง เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทะยานไปในเมืองร้างอย่างรวดเร็ว

เวลาไม่นานนัก บริเวณที่สายตามองเห็นข้างหน้าก็มีศาลเจ้าที่รูปทรงคุ้นเคยแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น

ไม่เหมือนกับสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในเมืองร้าง หลังคาของศาลเจ้าไพศาลอนันต์เป็นทรงกลม

หากมองลงมาจากบนฟ้า จะเห็นว่าทั่วทั้งที่รกร้างมีสิ่งก่อสร้างทรงกลมนี่เพียงที่เดียว ตำแหน่งของมันตั้งอยู่ที่ใจกลาง

การจัดวางเช่นนี้สามารถจินตนาการได้ว่าตอนนั้นที่ที่แห่งนี้รุ่งเรือง ตำแหน่งของศาลเจ้าแห่งนี้จะต้องสูงส่งเป็นอย่างมากแน่นอน

สวี่ชิงจ้องมองเงียบๆ ยกเท้าก้าวเข้าไปใกล้

จากที่ไกลๆ เขามองเห็นนอกศาลเจ้ามีผู้บำเพ็ญสวมชุดแตกต่างกันไปนั่งกระจัดกระจายอยู่หลายสิบคน มีทั้งหญิงชาย

คนเหล่านี้มีทั้งเป็นกลุ่มสองสามคน มีทั้งนั่งคนเดียว ตำแหน่งที่นั่งก็ล้วนเป็นบริเวณที่สามารถมองเห็นประตูของศาลเจ้าได้ แม้จะนั่งขัดสมาธิ แต่กลับเงยหน้ามองไปทางศาลเจ้า

ส่วนพลังบำเพ็ญส่วนมากเป็นระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ มีบ้างที่เป็นระดับสร้างฐานที่ยังไม่มีไฟชีวิต มีเพียงชายชราที่ผมขาวใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นสองคนเท่านั้นที่พลังบำเพ็ญถึงระดับไฟชีวิตหนึ่งดวง

ชายชราระดับสร้างฐานไฟชีวิตหนึ่งดวงสองคนนี้ และระดับสร้างฐานที่ยังก่อไฟชีวิตไม่ได้สามคน ห้าคนในกลุ่มคนเหล่านั้น การที่พวกเขาอยู่ที่นี่ก็นับว่าสมเหตุผล อย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสไปรับรู้ได้สำเร็จ หากรับรู้ดาบสะบั้นไพศาลได้ สำหรับพวกเขาก็เป็นหนึ่งก้าวสู่สวรรค์

แต่เหล่าผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณบริบูรณ์อยู่ที่นี่ทำให้คนมองไปแล้วรู้สึกแปลกๆ

ทว่าหลังจากที่สวี่ชิงกวาดตาไป ก็ได้คำตอบเลาๆ

เพราะในเสี้ยวพริบตาที่เขาเดินมา ก็สัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายที่แฝงไว้ด้วยความละโมบจากกลุ่มคน จากนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของตัวเองก็เหมือนนกหน้าเกาทันฑ์ เก็บลงไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันในพงหญ้ารอบๆ ก็ยังมีกระดูกที่ผุพังไม่มีใครสนใจอีกจำนวนหนึ่ง

ที่นี่คือศาลเจ้าไพศาลอนันต์ สถานที่รับรู้ดาบสะบั้นไพศาล

แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญปลาใหญ่กินปลาเล็ก อันตรายโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในแดนต้องห้ามปักษาราชัน

อาศัยชื่อเสียงของศาลเจ้าไพศาลอนันต์ ก็มีผู้บำเพ็ญเดินทางมาตามชื่อเสียงอยู่ตลอด หากเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่หากพลังบำเพ็ญไม่เพียงพอก็จะต้องตายอนาถอยู่ที่นี่ สูญเสียซึ่งทุกสิ่งอย่างแน่นอน

คนหลายสิบคนข้างนอกศาลเจ้า จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง ต่อให้พวกเขาจงใจจับเป็นกลุ่มกระจายกัน แต่ก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกันไม่ได้

เห็นภาพฉากนี้ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร เดินไปทีละก้าวๆ

คนหลายสิบคนนอกศาลเจ้าต่างแอบส่งสัญญาณสายตาให้กัน ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่กล้าลงมือกับสวี่ชิง

พวกเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ ย่อมต้องมีความสามารถในการสังเกตสถานการณ์ มองเห็นเลาๆ ว่าสวี่ชิงไม่ใช่พวกที่จัดการได้ง่ายๆ

และตอนนี้เอง จากการที่สวี่ชิงเข้าใกล้ศาลเจ้าแห่งนี้ เขาก็เห็นเทวรูปสลักที่ในความคุ้นเคยแฝงไว้ด้วยความไม่คุ้นเคยบางอย่างในศาลเจ้า และเห็นเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้เทวรูป

ประกายแสงเจิดจ้าที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างที่สวมชุดคลุมยาวสีทองระยิบระยับพร่างพราวนัก ฉัตรเหนือศีรษะของเขาลำแสงดุจกระแสน้ำไหลไปทั่วทุกทิศ ดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นเยือกออกมา เหมือนระลอกคลื่นอารมณ์ทุกอย่างสำหรับเขาทางนี้ล้วนเป็นสิ่งเกินความจำเป็น

สวี่ชิงฝีเท้าชะงัก ในใจเกิดความระแวดระวังขึ้น เขาอยู่ในสำนักไม่ได้จับตามองเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสักเท่าไร คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาสัมผัสรับรู้ที่นี่เช่นกัน

แม้ตอนนี้พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงจะไม่ธรรมดา แต่เขาทำอะไรมักชอบใช้พลังแท้จริงไปสยบ นอกเสียจากอับจนหนทางแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางสู้จนถึงขีดจำกัดสูงสุดเด็ดขาด

ดังนั้นหลังจากขบคิดแล้ว แม้จะหวั่นไหวกับตะเกียงแห่งชีวิตของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปช่วงชิงและสร้างความบาดหมางโดยไร้สาเหตุ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปในศาลเจ้า แต่คิดว่าจะหาสถานที่ที่มองเห็นเทวรูปไปลองสัมผัสรับรู้

แต่ต้นไม้ใคร่ยืนนิ่ง ทว่าลมไม่หยุดพัด

ในตอนนี้เอง เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่อยู่ในศาลเจ้าเหมือนจะสัมผัสได้ ดวงตาเรียวเปิดขึ้นช้าๆ สายตาเย็นชาไม่มีอารมณ์ใดๆ เจือปนประดุจดาบคมสองเล่มจับจ้องมาที่ร่างของสวี่ชิงที่อยู่นอกศาลเจ้า

ในเสี้ยวขณะที่มองเห็น เขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้น มือขวายกขึ้นแล้วสะบัดออกไปข้างนอก

ทันใดนั้นมิติข้างหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศ หอบม้วนฝุ่นธุลีบนพื้น หลอมรวมเป็นกระบี่ศิลาเล่มหนึ่งทันที

กระบี่นี้เมื่อปรากฏขึ้นพลังน่าครั่นคร้าม แผ่ปราณกระบี่เป็นทางๆ บนพื้น ส่งเสียงแซ่ดๆ ออกมา บนพื้นเกิดร่องเป็นทางๆ

นอกศาลเจ้า ชายชราระดับสร้างฐานไฟชีวิตหนึ่งดวงสองคน เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

เขารู้ว่าอาศัยพลังของตัวเองเผชิญหน้ากับกระบี่ที่แค่สะบัดมือไปส่งๆ ก็ก่อตัวขึ้นเล่มนี้ ต่อให้แค่ถูกเฉือนเพียงเล็กน้อยก็ตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

คนที่เหลือก็เช่นกัน ต่างถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

ในเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาถอยหลังไป ปลายกระบี่ในศาลเจ้าก็หมุนชี้ไปหาสวี่ชิง แล้วพุ่งทะยานไปหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เกิดเสียงแหวกอากาศ โจมตีระลอกคลื่นเป็นชุดออกมา พุ่งทะลวงไปที่ประตูศาลเจ้ามายังเบื้องหน้าสวี่ชิง แทงมาที่หว่างคิ้ว

สวี่ชิงสีหน้าคร่ำเคร่ง ยกมือขวาดีดกระบี่ศิลาที่มาถึงเล่มนี้

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว

กระบี่ศิลาระเบิดแหลกเป็นชิ้นๆ ในยามที่ร่วงอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงก็มีพายุหอบม้วนไปรอบๆ ทุกที่ที่ผ่าน หญ้าบนพื้นหลุดขาดทั้งราก ดินปลิดปลิว ราวกับพายุทราย

ดีที่ผู้บำเพ็ญหลายสิบคนนั้นถอยไปเร็ว ไม่เช่นนั้นหากถูกลูกหลงอยู่ในนั้น ไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน

ในพายุฝุ่น สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ เงยหน้ามองไปทางศาลเจ้าอย่างเย็นเยือก สายตาประสานกลางอากาศกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่อยู่ข้างใน

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” สวี่ชิงเอ่ยเนิบนาบ

เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสีหน้าเป็นปกติ สำหรับเขาทำเรื่องอะไรล้วนขึ้นกับความชอบของตัวเอง อยากลงมือก็ลงมือ อยากฆ่าคนก็ฆ่าคน โดยเฉพาะในสายตาเขา เผ่ามนุษย์บนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไม่มีค่าให้พูดถึง

ส่วนสวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ เดิมทีเขาไม่รู้จัก ต่อให้อีกฝ่ายจะสยบซือหม่าหลิง เขาจับตามองอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้า แค่คิดจะเลี้ยงให้โตอีกหน่อยเอามาเป็นสารอาหารก็เท่านั้นเอง

ในตอนที่เขารับรู้อยู่ที่นี่ในช่วงนี้ ได้ยินจากข่าวที่ลูกศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าส่งให้ ถึงได้รู้เรื่องเกี่ยวกับสวี่ชิง และเห็นภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหวของสวี่ชิง

การลงมือเมื่อครู่เขาก็แค่ลงมือไปง่ายๆ แต่อีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้ในดวงตาของเขาฉายแววแปลกประหลาด เกิดความคิดที่อยากจะกลืนกินสวี่ชิงเสียเลยในตอนนี้ขึ้นมา

แต่ว่าหลังจากที่เขาขบคิด ก็รู้สึกว่ากลืนกินตอนนี้รสชาติจะเสียรสชาติไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยช้าเนิบขึ้นว่า

“เป็นเจ้าที่ฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่จับศิษย์น้องข้าไปใช่หรือไม่

“หลังจากกลับไปรีบส่งเขาออกมาอย่างนอบน้อม สวี่ชิงเจ้าจงจำเอาไว้ ผมเขาหลุดร่วงหนึ่งเส้น ข้าจะหักนิ้วเจ้าหนึ่งนิ้ว ไม่มีทางละเว้น”

คำพูดของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องดังออกมาราบเรียบเหมือนออกคำสั่ง พูดจบก็ไม่สนใจสวี่ชิง หลับตานั่งสมาธิต่อ

คนทั้งหลายนอกศาลเจ้าต่างกลั้นลมหายใจ สีหน้าแตกต่างกันไป สายตาประเมินไปที่สวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง

พวกเขาในช่วงนี้ก็ได้สืบฐานะตัวตนของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแล้ว และสัมผัสได้ถึงความทรงพลังของอีกฝ่าย ตอนนี้ยิ่งเห็นความแข็งแกร่งในการลงมือของเขา

ในขณะเดียวกัน จากคำพูดของเขาก็ได้รู้ตัวตนของสวี่ชิง

“สวี่ชิง ลูกศิษย์ในอันดับรายชื่อของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างนั้นหรือ”

“นี่คืออัจฉริยะฟ้าประทานของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเชียวนะ…”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร เผชิญหน้ากับคนของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็ยังต้องก้มหัวอยู่ดี”

สวี่ชิงยืนอยู่หน้าประตู สายตากวาดไปที่คอของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง แล้วมองๆ ไปทางฉัตรตะเกียงแห่งชีวิตที่เหนือศีรษะเขา ประกายเย็นเยียบฉายขึ้นในดวงตา จิตสังหารรุนแรง

บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในเหล็กแหลมดำมองเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจติดๆ เขาไม่กล้าปรากฏตัวออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า กังวลว่ามังกรแท้จริงในนิยายอีกเรื่องจะสัมผัสได้ แต่ในใจก็ยังคงสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง

‘ในนิยายที่ข้าอ่าน มักจะเป็นศัตรูรังแกหยามหมิ่นตัวละครหลัก จากนั้นตัวละครหลักถูกบีบจนจนปัญญา ไม่อาจอดทนได้อีก ทำได้แค่สู้สังหารกลับ สะใจก็สะใจดี แต่อ่านมากก็เอียน

‘แต่จอมมารสวี่นี่ไม่เหมือนกัน นิสัยของเขาคือเมื่อศัตรูเผยจิตสังหารแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าชีวิตถูกคุกคาม ไม่ต้องให้สัตรูลงมือ จิตสังหารของเขาก็ตลบอวลแล้ว’

สวี่ชิงไม่รู้ความคิดของบรรพจารย์สำนักวัชระ เขารู้แต่ว่าระหว่างตัวเองกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องมีความแตกต่างในเรื่องกำลังรบ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่บุ่มบ่าม แต่หมุนตัวหาตำแหน่งเหนือลม นั่งขัดสมาธิลง เริ่มวางพิษโดยไร้ร่องรอย

เขาคิดจะฆ่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องผู้นี้

เพราะลูกศิษย์สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าที่ถูกเขาจับได้ที่ฐานกบดานกลุ่มนกเขาราตรีคนนั้น ในตอนที่ควบคุม ส่วนที่หลุดไม่ใช่แค่เส้นผม อีกฝ่ายถูกเขาจับฟาดลงกับพื้น กระดูกแตกไปหลายที่

ตามคำพูดของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ผมเส้นหนึ่งเท่ากับนิ้วหนึ่งนิ้ว เช่นนั้นกระดูกแหลกไปมากมายขนาดนั้นก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว

‘เช่นนั้นข้าก็ชิงลงมือฆ่าเจ้าก่อน!’ สวี่ชิงหรี่ตา ซ่อนจิตสังหารลงไป ไม่เผยออกมาในสายตาแม้แต่น้อย ในขณะที่วางพิษต่อไป ก็สำรวจรอบๆ หาเงาร่างผู้คุ้มครองของอีกฝ่าย

เห็นภาพฉากนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระก็พูดในใจ

‘จอมมารสวี่วางพิษ นี่เขาคิดจะชิงลงมือก่อน! นี่คือศึกของนิยายสองเรื่อง นี่คือศึกของมังกรที่แท้จริง!!’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด