ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 277 ชายหนุ่มใต้หน้ากาก

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 277 ชายหนุ่มใต้หน้ากาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 277 ชายหนุ่มใต้หน้ากาก

ในที่สุดเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตก็แล้วเสร็จ

แม้ประชากรจากการส่งข้ามหลายต่อหลายครั้งทั้งเมืองหลักจะยังไม่สู้ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ แต่จำนวนของศิษย์หนึ่งร้อยสามสิบแปดสำนักของพันธมิตรก็มีอยู่มากมายมหาศาล พวกเขาย่อมรู้สึกสนใจเมืองใหม่อย่างมาก

ไม่ว่าจะเข้ามาทำการค้า เข้ามาจับจ่ายใช้สอย หรือเข้ามาที่นี่เพื่อสานสัมพันธ์ก็ตาม ล้วนทำให้เมืองหลักที่สร้างใหม่นี้ดูแล้วขวักไขว่จอแจ คึกคักเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกัน กรมต่างๆ ในเมืองหลักก็มีคนออกมาจัดระเบียบ หวงเหยียนยังคงทำเรื่องทดน้ำเช่นเคย

ศิษย์พี่หญิงสองที่เขารักก็มารับหน้าที่รองเจ้ากรมลาดตระเวนปราบปราม สิ่งนี้สอดคล้องกับนิสัยของศิษย์พี่หญิงสอง มีนางอยู่ก็ทำให้คนกริ่งเกรงได้ระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ยังแต่งตั้งบางกรมให้ทำงานร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ ด้วย

อย่างเช่นกรมการค้า

สิ่งที่จะตัดสินว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของขั้วอำนาจหนึ่ง นอกจากพวกระดับสูงและของวิเศษเวทต้องห้ามแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากนั่นก็คือความมั่งคั่ง

ไม่ว่าจะสถานที่ใด ตราบที่ยังมีระบบสังคมก็ใช้หลักการนี้เหมือนกันหมด

ส่วนการจัดตั้งกรมการค้าก็ราบรื่นดี ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการค้าทั้งในและนอกของเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมด นายท่านเจ็ดเลือกศิษย์คนที่สามของเขามารับตำแหน่งรองเจ้ากรมของกรมนี้

ส่วนสวี่ชิงกับนายกอง นายท่านเจ็ดเองก็รู้ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว จึงจัดให้อยู่ด้วยกัน ส่งไปยังกรมที่สำคัญที่สุดกรมหนึ่งหลังจากเจ็ดเนตรโลหิตรวมเข้ากับพันธมิตร

กรมคุ้มครองพิเศษ

ชื่อนี้ผิดกับธรรมเนียมในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณอยู่บ้าง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพันธมิตร ชื่อเต็มของมันคือกรมความปลอดภัยและการคุ้มครองพิเศษ

กรมคุ้มครองพิเศษนี้ไม่ได้มีแค่ในเจ็ดเนตรโลหิตเท่านั้น แต่ในเจ็ดสำนักอื่นๆ ก็มีเช่นกัน รวมเป็นหนึ่งเดียว จำเป็นต้องได้รับการจัดสรรจากกรมหลัก ขอบเขตความรับผิดชอบกว้างขวางมากทั้งภายในและภายนอก เจ้ากรมใหญ่คือนายท่านหก

รองเจ้ากรมคนหนึ่งคือนายกอง อีกคนหนึ่งคือสวี่ชิง

ปกตินายท่านหกไม่สนใจ มอบอำนาจให้เบื้องล่างอย่างสวี่ชิงและนายกองรับผิดชอบอย่างหมดจด

ที่ตั้งของกรมนี้ สร้างในจุดที่อยู่ใกล้กับสะพานขนาดใหญ่ทั้งแปดของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต มองรวมๆ แล้วรูปร่างเหมือนสามเหลี่ยม ด้านในมีหอนับร้อยหอ ในทุกหอมีเรือนขนาดใหญ่อยู่อีกหนึ่งเรือน แยกตัวเป็นอิสระ แต่เป็นทั้งหมด

ขณะเดียวกันก็ยังแบ่งออกเป็นกรมย่อยเล็กๆ ด้วย มีศิษย์ยอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตกว่าสามพันถูกจัดให้มารับงานนี้ มีกว่าครึ่งเคยเป็นสมาชิกกรมปราบพิฆาต เจ้าใบ้ก็เป็นหนึ่งในนี้ด้วย

สวี่ชิงที่ได้รับคำสั่งให้มารับตำแหน่งนี้ เมื่อนึกได้ว่าตนเองกับนายกองต้องอยู่กรมเดียวกัน ระหว่างทางจึงแวะแผงผลไม้ซื้อผิงกั่วมาจำนวนหนึ่ง

ตอนที่เดินผ่านกิจการบ่อน้ำที่เปิดใหม่แห่งหนึ่ง เขาก็พบกับคนที่รู้จักอีกคน

สวีเสี่ยวฮุ่ยนั่นเอง

เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง สวีเสี่ยวฮุ่ยก็ทักทายอย่างดีใจ และยังส่งแผ่นหยกให้เขาชิ้นหนึ่งด้วย

“ศิษย์พี่สวี่ บ่อน้ำเซียนนี่ข้ากับเพื่อนรักเปิดเป็นอาชีพเสริม ถ้าเจ้าว่างก็แวะมาได้ พกตราหยกมาด้วย ไม่เก็บค่าใช้จ่าย”

สวี่ชิงพยักหน้า สายตาไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่งด้านหลังสวี่เสี่ยวฮุ่ย นั่นเป็นสายของเขา

เงินที่สวีเสี่ยวฮุ่ยนำมาเปิดร้าน สวี่ชิงให้สายของเขาเป็นคนออก

ในโลกนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าคนที่รู้จักบุญคุณต้องทดแทนมีอยู่ไม่มาก แม้สวีเสี่ยวฮุ่ยคุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญยังไม่เพียงพอ แต่ด้านศีลธรรมถือว่าโดดเด่น เขารู้สึกว่าทำเท่าที่ทำได้ ช่วยเท่าที่ช่วยได้

หลังจากรับแผ่นหยก สวี่ชิงก็จากไป และเดินทางมาถึงประตูใหญ่กรมคุ้มครองพิเศษ

“คารวะเจ้ากรม!”

สมาชิกกรมคุ้มครองพิเศษที่ประตู คารวะอย่างนอบน้อม แววตาบ้าคลั่ง พวกเขาล้วนเคยเป็นสมาชิกของกรมปราบพิฆาต

สวี่ชิงพยักหน้า เดินเข้าไปในกรมคุ้มครองพิเศษ ตลอดทางส่วนใหญ่จะเจอกับคนคุ้นเคย กระทั่งเขายังเห็นติงเซียวไห่ด้วย

ติงเซียวไห่ที่ในอดีตมุ่งมั่นแต่จะเป็นศิษย์หลัก ได้เป็นอย่างราบรื่นหลังจากเสร็จเรื่องที่เกาะเงือก และทะยานสู่ระดับสร้างฐานได้คนนี้ จังหวะที่เห็นสวี่ชิงก็เผยความซับซ้อนยากจะพรรณนาออกมา

เขามองสวี่ชิง ก้มหน้าลงต่ำ คารวะอย่างนอบน้อม

“คารวะท่านเจ้ากรม”

สวี่ชิงมองติงเซียวไห่ คุณสมบัติอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ เวลานี้มีไฟชีวิตหนึ่งดวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดช่องเวทไปถึงสี่สิบช่องแล้วด้วย ช่วงหลายปีทำมาได้ถึงจุดนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย

แต่สวี่ชิงไม่ชอบเขา เห็นคนผู้นี้ สวี่ชิงจะนึกถึงโจวชิงเผิงขึ้นมา ทว่าทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตของตนเอง จึงถอนสายตากลับมา เดินจากไป

ติงเซียวไห่เงียบนิ่ง มองสวี่ชิงที่เดินไป ถอนใจออกมา เขารู้เรื่องโจวชิงเผิง แต่คิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด

อยู่ในโลกาวินาศ สิ่งแรกทุกๆ คนที่ต้องพิจารณา ย่อมต้องเป็นตัวเอง

สวี่ชิงเดินมาถึงใจกลางกรมคุ้มครองพิเศษ เห็นนายกองอยู่นั่น

นายกองกำลังอ่านเอกสารทางการไม่หยุด ประเดี๋ยวก็ออกคำสั่ง จัดการแบ่งกลุ่มในกรมพิเศษ จัดการเรื่องต่างๆ ท่าทางกำลังวุ่นวาย

เห็นฉากนี้ อันที่จริงสวี่ชิงรู้สึกว่านายกองก็ดูเหมาะกับงานพวกนี้อยู่เหมือนกัน จึงนำเอาผิงกั่วที่ซื้อมาระหว่างทาง วางไว้บนโต๊ะนายกอง จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ หลับตาฝึกบำเพ็ญอย่างสงบใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง นายกองเงยหน้าขึ้น หยิบผิงกั่วไปกิน กวาดตามองสวี่ชิงที่กำลังฝึกบำเพ็ญก็รู้สึกไม่เป็นสุข เตรียมจะเอาพวกงานที่จัดการยากที่สุดให้สวี่ชิงไปทำ จึงกระแอมไอ

“รองเจ้ากรมสวี่!”

สวี่ชิงลืมตา

“ศิษย์พี่ใหญ่ เอาผิงกั่วอีกหรือไม่” สวี่ชิงพูดพลางล้วงออกมาอีกสองลูก วางไว้บนโต๊ะ

นายกองมองผิงกั่ว จากนั้นก็มองสวี่ชิง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

“เลิกใช้ไม้นี้ได้แล้ว อาชิงน้อยเจ้าชักนิสัยเสียแล้วนะ!”

สวี่ชิงครุ่นคิด จากนั้นก็ล้วงแผ่นหยกอีกชิ้นวางไว้บนโต๊ะ

“นี่อะไร” นายกองประหลาดใจ

“ระหว่างทางที่มา เห็นว่าข้างๆ มีกิจการบ่อน้ำมาเปิด ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่น่าจะชอบไป จึงจัดหาแผ่นหยกที่จะได้ส่วนลดสองส่วนมาให้” สวี่ชิงมองตาของนายกอง เอ่ยอย่างจริงจัง

นายกองได้ยินก็แย้มยิ้ม อารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้าหายไปในพริบตา

สบายใจขึ้นมาก

แม้เขาจะรู้สึกว่าสวี่ชิงเริ่มนิสัยเสียแล้ว แต่ก็ยังถือว่ารู้ความ รู้จักเอาอกเอาใจศิษย์พี่ จึงคิดว่าตนจะใจแคบไม่ได้ เอาเป็นว่าจะไม่ส่งเรื่องที่จัดการยากที่สุดให้ศิษย์น้องของตนเองไปทำก็แล้วกัน

“ช่างเถอะ ตาเฒ่าจัดให้กรมคุ้มครองพิเศษมีงานเยอะเหลือเกิน เดิมทีข้าจะให้เจ้าไปจัดการความขัดแย้งของพันธมิตรกับสำนักอื่นๆ แต่ด้วยนิสัยของเจ้าคงขี้เกียจขยับปาก เดี๋ยวจะกลายเป็นลานสังหารไปเสีย ข้าไปจัดการเองดีกว่า

“ส่วนเจ้าน่ะ ก็รับผิดชอบเรื่องการโอนผลประโยชน์และสิทธิ์ของสำนักกับพันธมิตรแล้วกัน เรื่องนี้สบายๆ” พูดพลาง นายกองก็พลิกกองเอกสาร หยิบชุดหนึ่งยื่นให้สวี่ชิง

“ส่งเสริมกับรักษาการโอนถ่ายสิทธิ์ค่ายกลพันธมิตร รวมถึงให้มาเข้าร่วมกับค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิต เรื่องนี้คนของยอดเขาลำดับสามติดต่อไปหลายครั้ง แต่กรมค่ายกลของพันธมิตรก็จงใจถ่วงเวลา”

สวี่ชิงรับเอกสารไป เขาไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้จริงๆ เขาตรียมจะหาเวลาว่างไปศึกษาค้นคว้ายาพิษรวมถึงเรื่องการฝึกบำเพ็ญ

สวี่ชิงจึงหยิบแผ่นหยก หันหลังจะเดินออกไป นายกองที่ด้านหลังก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

“แล้วก็กรมหลักพันธมิตรแจ้งมาว่า ช่วงนี้จะมีการหมุนเวียนให้เราออกไปลาดตระเวนแม่น้ำหน่อย หน้าที่ลาดตระเวนแม่น้ำนี้เป็นสิ่งที่หมุนเวียนกันทำในแปดสำนัก เมื่อถึงเวลาถ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราทั้งคู่ก็ออกไปเดินเล่นกัน”

สวี่ชิงพยักหน้า เดินออกจากกรมพิเศษ

เขาไม่ได้ไปคนเดียว แต่ยังพาสมาชิกนับร้อยรวมถึงศิษย์เขาลำดับสามที่รับผิดชอบค่ายกล ตรงไปยังกรมค่ายกลพันธมิตรของวังเต๋ามหาวิวัฒน์

ระหว่างทางก็สอบถามศิษย์ยอดเขาลำดับสามถึงสาเหตุที่เรื่องนี้ถูกเตะถ่วง

“ศิษย์พี่สวี่ อันที่จริงเรื่องนี้เบื้องบนเจรจากันเรียบร้อยแล้ว แต่คนด้านล่างทำการชักช้าเอง โดยเฉพาะคนของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า หลายครั้งพวกเขาไม่ยอมปรากฏตัว ดังนั้นจึงไม่สามารถโอนย้ายได้เสร็จสมบูรณ์”

ศิษย์เขาลำดับสามที่รับผิดชอบเรื่องนี้ถอนหายใจ

“สำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าหรือ” สวี่ชิงหรี่ตาลง ไม่พูดอะไรอีก ไม่นานพวกเขาก็มาถึงกรมค่ายกล

ที่นี่ สวี่ชิงยื่นเอกสาร รออยู่พักหนึ่งจึงเห็นคนที่รับผิดชอบค่ายกลของสำนักอื่นค่อยๆ เดินเข้ามา แต่หลังจากที่เห็นสวี่ชิง คนเหล่านี้ก็หน้าเปลี่ยนสี เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“คารวะศิษย์พี่สวี่ชิง!”

“ให้ศิษย์พี่สวี่ชิงรอนานเสียแล้ว ไม่รู้ว่าท่านมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องรีบมาแน่”

ชื่อเสียงของสวี่ชิงตอนนี้ยิ่งใหญ่มากในพันธมิตรแปดสำนัก เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจ แต่เขาก็ไม่ได้จงใจเข้มงวด แต่กวาดสายตาดูบรรดาศิษย์สำนักเหล่านี้ ก็พบว่าขาดสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าไป

การโอนย้ายค่ายกลจำเป็นต้องให้อีกทั้งเจ็ดสำนักมาช่วยด้วยจึงจะทำสำเร็จ ขาดสักสำนักไปก็ถ่ายโอนได้ลำบาก

“ศิษย์พี่สวี่ ถ้าหากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าไม่มา เกรงว่าวันนี้คงจะโอนย้ายไม่ได้อีกแล้ว…” เพราะว่าบรรพจารย์ของหุบเขาประกายวิญญาณและสมบัติจำนงฟ้ามีความสัมพันธ์อันดีเสี่ยเลี่ยนจื่อ ทั้งสามสำนักจึงเข้ากันได้ดีมาก ศิษย์หญิงหุบเขาประกายวิญญาณที่รับผิดชอบเรื่องนี้เวลานี้เอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตางามเต็มไปด้วยประกายจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าสวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้า เรียกสมาชิกข้างๆ เข้ามา ส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้เขา

“เจ้านำของสิ่งนี้ส่งไปยังสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า มอบให้กับฉู่อวิ๋นเฟิง ให้เขาจัดการเรื่องนี้โดยไวที่สุด ไม่เช่นนั้นถ้าผ่านวันนี้ไป ข้าจะไปคิดบัญชีกับเขา”

ฉู่อวิ๋นเฟิง ก็คือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์น้องเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ถูกสวี่ชิงสะกดในเจ็ดเนตรโลหิตก่อนหน้านี้

สั่งการเสร็จ สวี่ชิงก็นั่งลงขัดสมาธิ เฝ้ารอเงียบๆ เมื่อคนอื่นๆ เห็นเป็นเช่นนี้ ก็สบตากันและเฝ้ารอกันหมด

ไม่นาน แผ่นหยกชิ้นนี้ก็ส่งไปถึงฉู่อวิ๋นเฟิงที่นั่งฝึกบำเพ็ญอยู่ในสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า จังหวะที่เห็นแผ่นหยกชิ้นนี้ ฉู่อวิ๋นเฟิงก็ตาแดงเถือก

“เจ้ามารร้ายสวี่ชิง รังแกกันเกินไปแล้ว!”

“แค่แผ่นหยกหลักฐานชิ้นเดียว ก็คิดจะให้ข้าทำงานให้เจ้าหรือ ฝันไปเถอะ!”

ฉู่อวิ๋นเฟิงแค่เสียงเย็นชา โยนแผ่นหยกไปข้างๆ ไม่สนใจ แต่เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็ลืมตา มองสีท้องฟ้า หนึ่งวัน…กำลังจะผ่านไปแล้ว

จึงส่งสื่อเสียงไปยังกรมค่ายกลสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าอย่างอดกลั้น ตำหนิดุด่าด้วยอารมณ์รุนแรง

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะฟ้าประทานของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า คำพูดของเขาพออำนาจอยู่บ้าง ไม่นานศิษย์ของกรมค่ายกลสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า จึงบากหน้ามาที่กรมหลักพร้อมความอับอาย

การโอนย้ายสิทธิ์ค่ายกลราบรื่นอย่างมาก

เสร็จเรื่องนี้ ก็โพล้เพล้แล้ว

โพล้เพล้ของวันนี้ แตกต่างจากทุกวันไปบ้าง แสงสีแดงฉานทั่วผืนฟ้า ดูเหมือนไฟแผดเผา ขณะที่สวยงามก็ยังมีสีเลือดแผ่ออกมาด้วย ราวกับมีคนใช้เลือดวาดลวดลายแสดงแด่เทพเจ้าบนผืนฟ้า

สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนที่ฉาบด้วยแสงสีแดง ระหว่างทางที่กลับไปยังเมืองหลักสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เขาเงยหน้าขึ้นกวาดตามองแสงสีแดงบนท้องฟ้า ไม่รู้เพราะอะไร เขาคิดถึงคืนนั้นในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ คิดถึงความฝันของตนเอง

ขณะเดียวกัน ในมณฑลรับเสด็จราชัน ห่างจากพันธมิตรแปดสำนักไกลลิบ ใกล้กับเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ที่นั่นมีหนองน้ำอยู่

แม้รอบด้านจะไม่ใช่พื้นที่ต้องห้าม แต่ยังเต็มไปด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น ถือเป็นสถานที่แห่งความตาย

กลางหนองน้ำเป็นพื้นที่ราบลุ่ม กักเก็บน้ำไว้ปริมาณมาก ที่นี่มีป่าหินแห่งหนึ่ง หินสีดำหลายก้อนยื่นออกมาจากหนองน้ำ เรียงรายสูงต่ำไม่เท่ากัน

แสงสีแดงบนท้องฟ้าห่างไกลส่องกระทบผืนน้ำ จนน้ำและฟ้าเป็นสีเดียวกัน ทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกย้อมจนเป็นสีเลือด

สิ่งที่กลายเป็นสีเลือด ยังมีร่างเงาอีกสองร่าง

สองร่างนี้คนหนึ่งคุกเข่านอบน้อม อีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนขอบก้อนหินที่สูงที่สุด ห้อยขาข้างหนึ่งลงมา ส่วนอีกข้างชันเข่าขึ้น ร่างเอนไปด้านหลัง ยันแขนข้างหนึ่ง มองออกไปที่แสงสีแดงห่างไกล

พวกเขาทั้งสองคนสวมหน้ากาก ลวดลายบนหน้ากาก ทำให้รู้สึกตกตะลึง นั่นคือเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า!

เพียงแต่ดวงตาไม่ได้ปิด ทว่าลืมตาอยู่

สิ่งที่เผยออกมาในบริเวณดวงตาที่เปิดอยู่นั้น คือดวงตาของพวกเขาทั้งสองคน

“นายท่าน ข้าน้อยสละกลุ่มนกเขาราตรีในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทิ้งตามที่ท่านกำชับแล้ว ข้าให้พวกเขาไปเจ็ดเนตรโลหิต หยิบยืมมือของเจ็ดเนตรโลหิตสังหารไปจนตายเกือบหมดแล้ว

“และไป๋ลี่ที่ตายไปก็เกี่ยวข้องกับเจ็ดเนตรโลหิต ตายด้วยน้ำมือของเจ้ายอดเขาลำดับหกแห่งเจ็ดเนตรโลหิต”

คนที่คุกเข่านอบน้อม เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม

น้ำเสียงเผยความศรัทธา ดวงตามีความเร่าร้อน ต่อให้เขาเป็นหัวหน้าของนกเขาราตรี แต่ขอแค่อีกฝ่ายพูดมาประโยคเดียว เขาก็สามารถสละสมาชิกนกเขาราตรีกับผลประโยชน์มหาศาลได้ ในความรู้ความเข้าใจของเขาคือตนเองสามารถตายแทนคนที่นั่งอยู่บนหินเบื้องหน้านี้ได้

“คนที่เข้าร่วมยังมีอีกสองคน ข้าน้อยบันทึกไว้แล้ว

“นอกจากนี้เจ็ดเนตรโลหิตก็เข้าร่วมกันพันธมิตร หลังจากเจ็ดสำนักแก้เป็นพันธมิตรแปดสำนัก ในพันธมิตรมีคนผู้หนึ่งติดต่อข้าน้อย คิดจะเข้าร่วมเทียนประทีป และยังเชิญพวกเราให้ไปชมการแสดงสีเลือดในอีกครู่ของเขา เขาบอกว่าการแสดงนี้จะต้องทำให้พวกเราปรบมือให้กับเขาแน่”

หลังจากนกเขาราตรีเอ่ยขึ้น สถานที่นี้ก็เงียบสงัดไป

จนผ่านพักใหญ่ คนที่เงยหน้ามองฟ้าก็ค่อยๆ หันหน้ามองไปทางทะเลต้องห้ามที่พันธมิตรตั้งอยู่ ส่งเสียงหัวเราะยากจะคาดเดาออกมา

“เช่นนั้นก็ไปดูเถิด ถือโอกาสมอบของขวัญพบหน้าสีเลือดกับเจ็ดเนตรโลหิตไปด้วยเลยแล้วกัน”

คนที่พูดน่าจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เสียงของเขาฟังแล้วดูอายุน้อยมาก ไม่มีความชราเลยแม้แต่นิด

นกเขาราตรีรับคำ ร่างเลือนรางพรางไปกับความว่างเปล่า สลายหายไปจากจุดนี้

จนนกเขาราตรีหายไปพักหนึ่ง แสงสีแดงบนท้องฟ้าค่อยๆ จางลง ตอนที่จันทราปรากฏขึ้นบนผืนฟ้า ชายหนุ่มที่เงยหน้ามองนภา มองดูจันทร์กระจ่างที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยพึมพำเสียงแผ่วเบา

“สำนักที่น้องชายอยู่…สิบเอ็ดปีแล้วสินะที่ไม่เจอหน้ากัน พันธนาการในชาตินี้ของข้า”

ชายหนุ่มยิ้มบางด้วยความหมายลึกซึ้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด