ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 377 เยี่ยมเทพวิญญาณโยวจิง

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 377 เยี่ยมเทพวิญญาณโยวจิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 377 เยี่ยมเทพวิญญาณโยวจิง

เสียงของเทพวิญญาณโยวจิงเสนาะหู ราวกับเป็นหญิงชนชั้นสูงนั่งตัวตรง เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

พูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ ทุกตัวอักษรเย่อหยิ่งเย็นชา ทุกถ้อยวาจาเผยความรู้สึกที่สูงส่งกว่าออกมา

หลังจากสวี่ชิงได้ยินก็สีหน้าเป็นปกติ ส่วนชิงชิวข้างๆ กลับรู้สึกไม่เต็มใจอย่างมาก

อันที่จริงที่ถูกพามาที่นี่ ทำให้สมองนางอดคิดถึงสิ่งที่ประสบพบเจอในวันนั้นไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตนเองได้มาน้อยที่สุด แต่กลับต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบกัน

มีเพียงนายกองทางนั้นที่ดวงตาเปล่งประกาย ความคิดโลดแล่นอย่างรวดเร็ว

เพราะเรื่องประกายแสงหนึ่งจั้งก่อนหน้านี้ หลายวันนี้ที่เขาออกจากบ้านทุกครั้งก็ล้วนรู้สึกว่าคนอื่นมองตนด้วยสายตาที่ผิดปกติ

ยิ่งตอนที่เขาสังเกตเห็นเวลาที่พวกผู้ครองกระบี่เห็นเขา เหมือนจะค่อนข้างระวังตัว

เรื่องนี้ขณะที่ทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็รู้สึกร้อนใจมากด้วย เขารู้สึกว่าตนเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว ไยรู้สึกราวกับทุกคนมองตนเหมือนเห็นไส้ศึกเช่น

‘เหล่าผู้อาวุโสครองกระบี่จะต้องจับตาดูอยู่แน่ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากแล้ว ข้าจะต้องเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องประกายแสงหนึ่งจั้งให้ได้ ทำให้เหล่าผู้อาวุโสครองกระบี่เห็นประกายในตัวข้า’

นายกองสูดลมหายใจลึก ก้าวออกไปด้านหน้า ย่างก้าวมั่นคง พร้อมกับความยึดมั่น รัศมีอำนาจก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ผู้ครองกระบี่กลางคนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดคนนั้นก็เหมือนสังเกตเห็น หันหน้ากลับมากวาดตามองนายกองผาดหนึ่ง เบ้ปากไม่พูดจา

เห็นเช่นนี้ ความเชื่อมั่นในใจนายกองก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น

ทั้งสามคนก็เดินมาถึงส่วนลึกสุดของบันไดด้วยการนำทางของผู้ครองกระบี่กลางคนเช่นนี้

กรงสีแดงกรงหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

กรงนี้สร้างขึ้นจากแท่งเล็กๆ สีเลือดหลายแท่งประกอบกัน ช่องว่างระหว่างกันมีม่านแสงสีแดงโปร่งใส ขณะที่ดูหนาแน่น ก็เห็นอักขระนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่บนม่านแสงได้

จากแสงที่เจิดจ้าของอักขระ จินตนาการได้ว่าด้านในจะต้องมีอำนาจสะกดที่น่าสะพรึงอยู่แน่นอน

ในกรงสีแดง มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

หญิงสาวคนนี้สวมชุดกรุยกรายเหนือศีรษะสวมกวานหงส์ ผิวขาวนวลหน้าตาสวยสะพรั่ง บุคลิกก็ยอดเยี่ยม มองเพียงผาดเดียว ก็ทำให้ใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ตอนนี้นางถือชามน้ำแกงเม็ดบัว จรดที่ริมฝีปาก ลิ้มรสอย่างละเมียดละไม

เป็นเทพวิญญาณโยวจิงนั่นเอง

ร่างนางภายใต้การสะกดของกรง หาใช่ร่างใหญ่โตมโหฬารอีกต่อไป แต่อยู่ในสภาวะปกติ

เมื่อเห็นใบหน้าไร้ตำหนิของนาง ก็จินตนาการไม่ออกว่ายามปกติที่นางกินหมื่นเผ่าเพื่อความสำราญอยู่ในเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา เลือดของมนุษย์สามัญที่ท่วมอยู่ในปากนางแทบจะกลายเป็นทะเลได้

และเมื่อสวี่ชิงทั้งสามคนมาถึง ก็ทำดึงดูดความสนใจของนาง

หลังจากเห็นร่างเงานอกกรง สีหน้าของนางเป็นปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ยังคงรักษาสงบนิ่งของตนเองเอาไว้ ดื่มน้ำแกงเม็ดบัว เคี้ยวเบาๆ แล้วกลืนลงไปช้าๆ

“เทพวิญญาณโยวจิง มีคนมาเยี่ยมเจ้า” ผู้ครองกระบี่กลางคนเดินมาด้านหน้ากรงสีเลือด เอ่ยเสียงเรียบ

เทพวิญญาณโยวจิงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง สายตาจดจ้องไปที่ร่างพวกสวี่ชิงทั้งสาม

“ที่แท้ก็คิดจะให้มดปลวกสามตัวนี้มากระตุ้นอารมณ์ของข้าหรือ ไม่มีประโยชน์ เจ้ามดปลวกสามตัวนี้สักวันหนึ่งข้าจะออกไปเด็ดหัวทีละตัวอยู่แล้ว

“ต้องขอบคุณพวกเจ้าเลย ที่ทำให้ข้าได้จดจำหน้าตาของพวกเขาให้ชัดขึ้น”

เทพวิญญาณโยวจิงยิ้มพลางกวาดตามองร่างของสวี่ชิงทั้งสามคน ราวกับกำลังจดจำให้แม่นยำยิ่งขึ้น

ผู้ครองกระบี่กลางคนสีหน้าไร้อารมณ์ ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว มองพวกสวี่ชิงทั้งสาม

ภารกิจของเขาคือพามาที่นี่ จากนี้ก็ดูว่าพวกเขาจะกระตุ้นเทพวิญญาณโยวจิงได้สำเร็จหรือไม่

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เขาไม่สนใจเทพวิญญาณโยวจิง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าจะกระตุ้นอย่างไร หญิงชุดแดงชิงชิวข้างๆ ก็เช่นกัน รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับนาง จึงไม่จำเป็นต้องออกแรงมากเกินไป

แต่เวลานี้จู่ๆ นายกองก็เดินไปอยู่หน้ากรงสีแดง มองน้ำแกงเม็ดบัวในมือของเทพวิญญาณโยวจิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านยายโยวจิง น้ำแกงเม็ดบัวนี่อร่อยหรือไม่ขอรับ”

“ไสหัวไป” เทพวิญญาณโยวจิงเอ่ยเสียงเรียบ

นายกองเลิกคิ้ว นั่งลงหน้ากรงขัง พิจารณาเสื้อผ้าของเทพวิญญาณโยวจิง ขมวดคิ้ว

“ท่านยาย ไยข้าถึงไม่เคยเห็นชุดนี้ของท่านในถ้ำพำนักเลย ท่านสวมมานานเพียงใดแล้วนี่”

เทพวิญญาณโยวจิงไม่สนใจ ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวจนหมด หลับตาลงเริ่มนั่งสมาธิ

เห็นเช่นนี้ ผู้ครองกระบี่คนนั้นก็แอบส่ายหัว เขารู้สึกว่าครั้งนี้ก็น่าจะไม่สำเร็จ

แต่ขณะที่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในใจ นายกองก็กระแอมไอ ตบไปที่ถุงใส่ของ ทันใดนั้นเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้าหลายชิ้นก็โผล่ออกมา เขาจึงหยิบขึ้นมาโบก

“ท่านยาย ดูสิว่านี่คืออะไร”

เทพวิญญาณโยวจิงยังคงหลับตา

นายกองไม่สนใจความเย็นชาของเทพวิญญาณโยวจิงเลยแม้แต่น้อย ถุงเก็บของของเขาราวกับล้วงออกมาได้ไม่จบไม่สิ้น เวลานี้หยิบเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้าออกมาไม่หยุด

หยิบพลางพูด เสื้อผ้าเหล่านั้นค่อยๆ ทับถมกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม

“ข้ายังมีอีกมาก แล้วยังมีผ้าคาดอกตัวใหญ่ตัวนี้ด้วย…”

ผู้ครองกระบี่กลางคนข้างๆ ในใจเกิดระลอกคลื่นบางอย่างขึ้นมา มองเสื้อผ้าเหล่านั้น จากนั้นก็มองนายกอง ไม่พูดอะไร

ชิงชิวยิ่งรู้สึกรังเกียจ

สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด มองความทุ่มเทของนายกองออก เดาได้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงทำเช่นนี้

ส่วนเทพวิญญาณโยวจิงที่หลับตาอยู่ เมื่อได้ยินว่ามีเสื้อชั้นในก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเสื้อผ้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น มองความยับเยินของพวกมัน หลังจากนางจ้องอยู่ครู่หนึ่ง มองไปทางนายกอง

“คราวหลังข้าจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนเสื้อผ้าพวกนี้ กลายเป็นชิ้นๆ”

นายกองยิ้มเหะๆ

“เรื่องหลังจากนี่ค่อยว่ากันเถิดขอรับ แต่ว่าตอนนี้น่ะท่านยาย ข้ามีเรื่องกลัดกลุ้ม ในถุงเก็บของของข้ามีเสื้อผ้าเยอะเกินไปจนข้าไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ใด อีกทั้งยังมีกลิ่นตุ่ยๆ ด้วย ท่านเป็นเทพวิญญาณโยวจิงหรืออีเห็นกันแน่

“ทำไมกลิ่นถึงได้แรงขนาดนี้ล่ะ เมื่อครู่ข้าถึงถามว่าเสื้อผ้าที่ท่านสวมอยู่ใส่มานานเพียงใดแล้ว เราแลกกันได้หรือไม่”

เทพวิญญาณโยวจิงสูดลมหายใจลึก คำพูดที่แมลงตัวจ้อยเผ่ามนุษย์ตรงหน้าคนนี้พูดออกมา ทำให้นางโหมระลอกคลื่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นางปกติรักสะอาดมาก ใช้วิชาเวทล้างตัวให้สะอาดแทบทุกวัน

แม้จะฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นไร้สิ่งแปดเปื้อนแล้ว ไม่มีทางมีคราบสกปรกใดๆ แต่นิสัยนางเป็นเช่นนี้ ถูกสะกดไว้ที่นี่จนสำแดงพลังฝึกบำเพ็ญไม่ได้มาถึงตอนนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ชำระร่างกายให้สะอาด

ดังนั้นต่อให้ยังคงสะอาดสะอ้าน แต่ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวนัก

แต่เพียงเท่านี้ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางมีคลื่นอารมณ์ นางกลับสู่สภาวะปกติจากการสูดลมหายใจลึก สีหน้าเย็นชาต่อไป

นายกองกะพริบตา สังเกตเห็นว่าผู้ครองกระบี่กลางคนกำลังมองตนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที แอบคิดว่าก็แค่โยวจิงตัวน้อย ดูว่าข้าจะกระตุ้นเจ้าอย่างไร ดังนั้นจึงหัวเราะ

“ท่านยาย มีเสียงหนึ่งไพเราะมาก เชิญท่านลองรับฟัง”

พูดพลางล้วงเอาเขี้ยวอสรพิษปีศาจออกมา หันหน้ามองสวี่ชิง

สวี่ชิงรู้ว่านายกองจะทำอะไร จึงเดินไปเงียบๆ หยิบเสื้อผ้าข้างๆ ปูไว้ที่พื้น

“เปลี่ยนเป็นผ้าคาดอกตัวใหญ่ตัวนั้น!” นายกองเอ่ยอย่างภาคภูมิ

สวี่ชิงเงียบนิ่ง สะบัดแขนเสื้อโยนมันออกไป

พริบตาต่อมา นายกองก็กอดเขี้ยววาดไปบนเสื้อผ้า

เดิมทีเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ยับเยินอยู่แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นน่าเวทนากว่าเดิมจากการถูกกรีดเวลานี้

“ตอนนั้นในถ้ำพำนัก ข้าก็ตัดเสื้อผ้าเช่นนี้ ท่านฟังเสียงนี่สิไพเราะเพียงใด”

เทพวิญญาณโยวจิงที่เพิ่งจะสะกดอารมณ์ ด้วยการกระตุ้นของเสียงนี้ก็เริ่มมีโทสะ ลมหายใจหอบถี่ขึ้นเล็กน้อย

นางจ้องนายกองเขม็ง เห็นอีกฝ่ายกรีดเสื้อผ้าสุดที่รักของตนไปมา ความรู้สึกเช่นนั้น ราวกับกรีดลงไปที่ใจของตน

เห็นเช่นนี้ สายตาของผู้ครองกระบี่กลางคนที่มองนายกองก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้น

นายกองรู้สึกลำพองใจสุดขีด แอบคิดว่ายังมีที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านี้อีก หลังจากกรีดไปกรีดมาหลายครั้ง เขายกก็มือขวาขึ้นล้วงแผ่นหยกบันทึกภาพชิ้นหนึ่งออกมา

เปิดต่อหน้าเทพวิญญาณโยวจิง ทันใดนั้นภาพฉากหนึ่งก็ฉายขึ้นมาจากด้านใน

ในภาพมีร่างใหญ่มหึมาร่างหนึ่ง พวกเขาสามคนกำลังสูดรับอย่างเต็มแรงบนใบหน้าของร่างนี้ สวี่ชิงกับนายกองอยู่ข้างจมูก ชิงชิวอยู่ที่หน้าผาก

“ดูจมูกที่ขาวเหมือนหิมะนี่สิ สูงโด่งเหลือเกิน เอ๊ะ ไยมันเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วเล่า”

“เอ๊ะ ท่านดูสิ มันหายไปแล้ว”

“เจ้า!” เทพวิญญาณโยวจิงยิ่งหายใจหอบถี่ขึ้น จ้องภาพฉากที่จมูกของตนเองเปลี่ยนเป็นสีดำและสลายไปเขม็ง ในดวงตามีเส้นเลือดปรากฏขึ้น ร่างสั่นเทิ้ม

การกระตุ้นนางของนายกอง ขณะที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ก็ยังครอบคลุมหลายด้านมาก เริ่มตั้งแต่กลิ่น เสื้อผ้า เสียงกรีดรวมถึงภาพนี้ไปทุกขั้นตอน

การกระตุ้นต่อเนื่องด้วยกลิ่นเสียงรวมถึงการมองเห็นเช่นนี้ เพียงพริบตาในจิตใจของเทพวิญญาณโยวจิงก็กลายเป็นคลื่นยักษ์โหมซัดตามภาพนี้ที่จมูกของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงสลายหายไป

แต่นางก็ยังมีสติอยู่ ต่อให้มาถึงตอนนี้ก็ยังระงับไว้ได้ สูดลมหายใจลึกต่อเนื่องสะกดไฟโทสะที่โหมขึ้นในจิตใจ

สวี่ชิงเห็นภาพนี้ ในใจก็นับถือความสามารถในการกระตุ้นความแค้นของนายกองมาก

ส่วนชิงชิวระมัดระวังขึ้นมาก ตอนนี้นางรู้สึกว่าความอันตรายของเจ้าหมาบ้าเหมือนจะมากกว่าเจ้ามือผีเสียอีก

ส่วนผู้ครองกระบี่กลางคนคนนั้นก็สูดลมหายใจลึก เขาเห็นใบหน้ายิ้มระรื่นของเฉินเอ้อร์หนิว รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ถือเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น เผยความชั่วช้าเหลือคนา

‘หรือว่าที่เทวรูปมหาจักรพรรดิเปล่งแสงออกมาหนึ่งจั้ง เป็นเพราะเขาชั่วช้าเกินไป’

เวลานี้เทพวิญญาณโยวจิงกัดฟัน จ้องนายกองเขม็ง น้ำเสียงไม่ได้เสนาะหูอีก แต่เปลี่ยนเป็นแหบแห้ง

“เจ้าคิดจะยั่วโมโหข้าหรือ เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีทางถูกมดปลวกอย่างเจ้ายั่วโมโหได้หรอก”

นายกองทำหน้าประหลาดใจ

“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย ข้าก็แค่อยากให้ของขวัญท่านเสียหน่อย”

ระหว่างที่พูด นายกองก็หยิบเส้นขนที่ทั้งหนาทั้งยาวเส้นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ วางไว้หน้ากรง

เห็นขนเส้นนี้ สวี่ชิงกับชิงชิวตกตะลึงเล็กน้อย ผู้ครองกระบี่กลางคนก็เช่นกัน เทพวิญญาณโยวจิงก็ตกตะลึงด้วย สายตามองไปอย่างควบคุมไม่ได้

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้คน นายกองก็เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็เป็นเสียงกระแอมไอ

“ไม่มีทางหรอกน่า นี่ท่านจำกระทั่งขนจมูกของตนเองไม่ได้เลยหรือ

“ขนจมูกเส้นใหญ่เสียจริง ท่านดูมันสิทั้งหนาทั้งยาวเพียงใด

“ก่อนหน้านี้ที่ไปขโมยบ้านท่าน ฉีกเสื้อผ้าของท่าน หยิบสมบัติของท่าน สูดรับจมูกของท่าน ทำลายเลือดเต๋าของท่าน ทำลายจิตใจของท่านจนถูกจองจำ สิ่งเหล่านี้เป็นความผิดของพวกข้า

“ในเมื่อท่านไม่มีจมูกแล้ว ขนจมูกเส้นนี้เป็นของที่ระลึกก็แล้วกัน หลังจากนี้ตอนที่คิดถึงจมูกของตน ก็หยิบมันมาดูได้นะขอรับ

“ไม่ต้องขอบคุณข้า ขโมยก็มีวิถีของตน!” นายกองพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงก็ดังทรงพลังขึ้นมา และหน้าตาก็เคร่งขรึมอีกด้วย

ทั้งคุกเงียบเป็นเป่าสากทันที มีเพียงคำพูดเคร่งขรึมของนายกองที่สะท้อนก้อง

สุดท้ายขณะที่สวี่ชิงเบิกตากว้าง ชิงชิวเบิกตาอ้าปากค้าง จิตใจของผู้ครองกระบี่กำลังสั่นสะท้าน เทพวิญญาณโยวจิงก็พลันลุกขึ้นยืน เปล่งเสียงกรีดร้องคำรามอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนหน้า

“ข้าจะสังหารเจ้า!!

“พวกเจ้าสังหารเขาเสีย ข้าจะยอมให้ค้นวิญญาณ ค้นไปเลย จะค้นอะไรก็ค้นไป ขอแค่สังหารเขาให้สิ้น ให้ข้าได้กินเขา!!”

เทพวิญญาณโยวจิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ระเบิดอารมณ์ฉับพลัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด