ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 383 ผู้ควบคุมของวิเศษ

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 383 ผู้ควบคุมของวิเศษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 383 ผู้ควบคุมของวิเศษ

ในยามพลบค่ำ สวี่ชิงก็ไปจากหอคอยบนยอดเขา

เขาอยู่ที่นั่นนาน ทั้งยังเล่นหมากล้อมกับท่านอาจารย์หลายกระดาน หลังจากที่แพ้ทุกกระดาน เสียงหัวเราะของนายท่านเจ็ดก็ดังลอยมาไม่ขาดสาย

สวี่ชิงล้วนตั้งใจมองกระดานทุกครั้ง ทำท่าตั้งใจคิดวางแผนอย่างจริงจัง บางครั้งขบคิดจนจมอยู่ในการเดินหมาก ก็จะหยิบขนมที่อยู่ข้างๆ เข้าปากไปโดยสัญชาตญาณ

อาศัยการเคี้ยวช่วยคิด

ขนมอร่อยมาก สวี่ชิงไม่เคยกินมาก่อน

โดยเฉพาะหลังจากที่กินแล้วพลังเวทในกายยังทำการโคจรขึ้นเอง เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบที่ทำขนมมีสรรพคุณทางยาที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง

และยิ่งเขาคิดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นายท่านเจ็ดเบิกบานใจ

วันนี้ทั้งวันไม่มีใครมารบกวนสองศิษย์อาจารย์อย่างหาได้ยาก จวบจนผู้ติดตามนำขนมมาจานที่เก้าและสวี่ชิงกินจนหมดแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ยอมแล้วขอรับ”

สวี่ชิงลุกขึ้น สีหน้าเคารพนับถือโค้งคารวะนายท่านเจ็ด ภายใต้ความพออกพอใจของนายท่านเจ็ด สวี่ชิงมองท้องฟ้า เอ่ยลาจากไป

หลังจากมองสวี่ชิงจากไปจนลับสายตาแล้ว นายท่านเจ็ดก็มองจานขนมรอบๆ

“กินไปเก้าจานขอรับ…” ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเอ่ย

“เฮ้อ คนน่ะ เมื่ออายุเยอะแล้วก็ชอบให้ผู้เยาว์มาหาบ่อยๆ มาคอยอยู่ข้างๆ กาย แต่ก็ยากจะเอ่ยร้องขอตรงๆ…วิธีของเจ้าวิธีนี้ไม่เลว วันหน้าทำขนมมามากสักหน่อย พวกเขาก็คงหาข้ออ้างมาหาข้าทุกวันแล้ว”

นายท่านเจ็ดหัวเราะ มองไปทางมวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ สายตาแฝงด้วยรอยสะท้อนใจ

“เจ้าสองกับ…หวงเหยียนกลับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปแล้ว ก่อนไปข้ามองออกว่านางอาลัยอาวรณ์ แต่ว่าไปทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็ดีเหมือนกัน นางอยู่ที่นั่นจะไม่มีทางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอะไรแม้แต่น้อย

“อีกทั้งนางอยู่ที่นั่น วันหน้าหากศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางมีปัญหาอะไร ที่แห่งนั้นก็นับว่าเป็นที่หลบลมฝนได้

“เจ้าใหญ่ทางนั้น จากนิสัยของเขา ไม่แน่ว่าวันไหนคงแทะอะไรสร้างเคราะห์ภัยครั้งใหญ่หลวง

“เจ้าสามก็ไม่ทำให้เบาใจเลย ติดหนี้หัวใจทั้งตัว” นายท่านเจ็ดถอนหายใจ

ผู้ติดตามสีหน้าแปลกประหลาด เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“องค์ชายสามหายตัวไปนานมากแล้ว ตระกูลเจ้าแห่งสำนักเซียนล้ำบารมี สำนักกาลศักดิ์สิทธิ์ และยังมีเผ่าหลายตาอีกทั้งเผ่าเกล็ดเลื้อยต่างถามมาหลายครั้ง”

“เขาเล่นใหญ่เกิน ถูกบังคับแต่งงานทั้งสี่ด้าน ไม่รู้ว่าหนีไปใดแล้ว” นายท่านเจ็ดโมโหจนสะบัดชายเสื้อ

“ตอนนี้เป็นเจ้าสี่ที่ทำให้รู้สึกวางใจที่สุด จากนิสัยของเขา โดยพื้นฐานแล้วใครที่หาเรื่องล้วนฆ่าทิ้งหมด ไม่ให้มีหายนะภายหลัง แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้จิตสังหารรุนแรงเกินไป ไปเขตปกครองผนึกสมุทร…ก็ไม่รู้ว่าวาสนาหรือเคราะห์จะมากกว่ากัน”

สีหน้านายท่านเจ็ดแฝงด้วยความลังเลเล็กน้อย

ผู้ติดตามพยักหน้า

“เขตปกครองผนึกสมุทรดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง แต่กลับมังกรและอสรพิษปะปน เผ่ากลุ่มมากมาย แต่ละฝ่ายล้วนแปลกประหลาดซับซ้อน และเจ้ามณฑลเผ่ามนุษย์ของเราคนนี้นิสัยว่ากันว่าจิตใจโลเล ไม่เด็ดขาด…

“เจ้ามณฑลไม่ใช่จิตใจโลเล ไม่เด็ดขาดแต่ชอบรักษาสมดุล เขาอยู่แล้วว่าอำนาจของเจ้ามณฑลที่ไร้ความสามารถทำให้เผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง แต่การรักษาสมดุลมักจะหมายถึงการประนีประนอม” นายท่านเจ็ดส่ายหน้า

ส่วนสวี่ชิงในตอนนี้ก็ลงเขาไปด้วย เรอไปด้วย เลียริมฝีปาก

“ขนมของอาจารย์ไม่ธรรมดาเลย!”

ขณะที่นึกถึงรสชาติ สวี่ชิงก็กลับมาถึงท่าจอดเรือ

หลายวันหลังจากนั้นเขาก็ไปหาจางซาน ทำการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเรือศึกเวทของตัวเองอีกครั้ง หลังจากนี้ต้องเดินทางไกลแล้ว

ติงเสวี่ยก็มาหาสวี่ชิงเช่นกัน

ส่วนเหยียนเหยียนหลังจากที่กลับมาก็ถูกจอมคนบูรพาสงัดลงโทษให้ปิดด่าน หากไม่ทะลวงพลังบำเพ็ญ ห้ามออกไปข้างนอก

แต่กู้มู่ชิงไม่ได้มา นางถูกจัดให้ประจำอยู่ที่สำนักที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

เป็นเช่นนี้เอง หลังจากที่สวี่ชิงรอเรือเวทของตนได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเรียบร้อยแล้วจากจางซานที่สำนัก ก็เลือกออกเดินทางในวันที่หก เตรียมไปที่เผ่าสิงซากสมุทร ไปเป็นผู้ควบคุมของวิเศษสามเดือน

ระหว่างนี้ก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นด้วย พันธมิตรแปดสำนักมีลูกศิษย์บางคนได้หายตัวไปที่บริเวณชายขอบแดนต้องห้ามมรณะบนทะเลต้องห้ามในยามออกปฏิบัติภารกิจ

จากเบาะแสเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าไปในแดนต้องห้ามมรณะทำไม

เรื่องเกี่ยวพันกับแดนต้องห้าม ดังนั้นตามขั้นตอนแล้ว พันธมิตรจะจัดลูกศิษย์ของสำนักส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปตรวจสอบที่แดนต้องห้ามมรณะ

เรื่องนี้ในพันธมิตรไม่ได้เกิดระลอกคลื่นใหญ่นัก เพราะเรื่องการหายสาบสูญในแดนต้องห้ามแบบนี้ หลายปีมานี้ก็มักจะเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง

ความจริงไม่ใช่แค่พันธมิตรที่เป็นเช่นนี้ สำนักอื่นๆ เผ่าอื่นๆ โดยเฉพาะเผ่า สำนักที่อยู่บนทะเลต้องห้ามล้วนเกิดเรื่องเช่นนี้

สวี่ชิงได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน แต่นี่ไม่ส่งผลต่อแผ่การเดินทางไปยังเผ่าสิงซากสมุทรของเขา

อย่างมากเขาก็แค่ระมัดระวังรอบคอบ ไม่ใช้เรือศึกเวทเดินทางเหมือนอย่างแต่ก่อน แค่ใช้ค่ายกลส่งข้ามของสำนักส่งข้ามไปก็เท่านั้น

เขาในตอนนี้ยืนอยู่บนค่ายกลส่งข้าม จากการกะพริบส่องแสงของแสงค่ายกล เสี้ยวพริบตาต่อมาสวี่ชิงก็หายตัวไป ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ที่เผ่าสิงซากสมุทรแล้ว

การส่งข้ามในระยะเช่นนี้ หากไม่มีการปกป้องคุ้มครอง ก็จะเกิดการเหนี่ยวรั้งต่อวิญญาณและกายเนื้อของผู้บำเพ็ญ

แต่กายเนื้อสวี่ชิงแข็งแกร่ง เพียงแค่รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อยเท่านั้นก็กลับคืนเป็นปกติ

ในเสี้ยวพริบตาที่เงาร่างของเขามาปรากฏอยู่บนค่ายกลส่งข้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในเผ่าสิงซากสมุทร นอกค่ายกลส่งข้ามก็มีลูกศิษย์พันกว่าคนรอคอยอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเขาต่างประสานหมัดโค้งคารวะสวี่ชิงพร้อมกัน

“คารวะผู้สืบมรรคา”

คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกศิษย์ของแต่ละยอดเขาที่ประจำการอยู่ที่นี่ หลังจากสวี่ชิงโค้งคารวะกลับแล้วไปเข้าพบ ทำความเคารพนายท่านสาม สุดท้ายก็มาที่บนของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางกระจกโบราณสำริดบานมหึมาบานนั้น

ที่นี่อยู่กลางท้องฟ้า กระจกโบราณมีขนาดถึงร้อยจั้ง นั่งอยู่บนนั้นเหมือนนั่งอยู่บนจานมหึมาใบหนึ่ง รอบๆ ยังมีเสียงลมโหมกระหน่ำกรีดหวีด

ก้มลงไปมองก็จะเห็นทะเลต้องห้ามสีดำเหมือนหมึก ซัดขึ้นลงไม่หยุดในสุดครรลองสายตา

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก นั่งขัดสมาธิ ดวงตาทั้งสองหลับลง จิตเทพแผ่ออกเริ่มผสานไปในของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นนี้

เสี้ยวขณะต่อมา จิตเทพน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งที่ไม่แฝงด้วยระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ก็ปกคลุมมาบนร่างของสวี่ชิง

เหมือนพิสูจน์และตรวจสอบฐานะกับขอบเขตอำนาจของเขา สุดท้ายจิตเทพก็เปลี่ยนเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง หลังจากที่ปกคลุมไปรอบๆ สวี่ชิงก็มีเสียงเย็นเยียบเสียหนึ่งดังก้องมาในจิตใจของเขา

“วิญญาณศัสตราเนตรโลหิต โปรดสั่งการ”

สวี่ชิงดวงตาฉายประกายแสงวาบ หวั่นไหวเล็กน้อย

เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากที่จิตเทพจากกระจกโบราณสำริดปกคลุมทั้งตัวแล้ว ร่างของเขาก็เหมือนไม่มีอยู่ ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตน มีเพียงจิตเทพเท่านั้นที่แผ่ออกไปได้ เหมือนว่าตัวเองกลายเป็นกายวิญญาณ

“ข้าทำอะไรได้บ้าง” สวี่ชิงถ่ายทอดจิตเทพออกไป

“หนึ่ง ท่านเลือกที่จะผสานกับเนตรโลหิตได้ เปิดภาวะภาชนะวิญญาณ ภายใต้สภาวะนี้ ของวิเศษเวทอยู่ ท่านอยู่

“สอง ท่านสามารถตรวจสอบมองไปในทุกที่ที่ท่านอยากดูในเขตพื้นที่ของวิเศษเวทได้

“สาม ที่ที่สายตามองไป สามารถส่งเงาร่างของผู้ควบคุมของวิเศษได้ร่างหนึ่งเป็นระยะเวลาครึ่งชั่วยาม พลังเทียบเท่ากับตัวจริงของท่าน

“สี่ ชีวิตที่เป็นปัจเจกใดก็ตาม ภายใต้เจตจำนงของท่านสามารถกระตุ้นพิพากษาเป็นตายได้ แต่สิทธิ์นี้จำต้องให้ผู้ควบคุมของวิเศษทั้งสามอนุมัติ”

เสียงวิญญาณศัสตราอันเย็นเยียบดังก้องในจิตใจของสวี่ชิง

สวี่ชิงเมื่อฟังจบเขาก็เข้าใจในพื้นที่ที่อาจารย์บอกว่าไม่ให้ตนไปมองพวกนั้น หลังจากที่กระจ่างแจ้งแล้ว เขาก็เลือกที่จะผสาน

จากการแผ่ออกไปของจิตเทพ เสี้ยวขณะต่อมาวิญญาณของสวี่ชิงก็แผ่ออกไป เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองเหมือน ณ ตอนนี้มีร่างใหม่ และร่างนี้…ก็คือบานกระจกโบราณสำริด

ทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่ง หลอมรวมเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์

ในขณะเดียวกัน ครรลองสายตาที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ปรากฏขึ้นในสัมผัสของสวี่ชิง

เขามองเห็นในระยะที่เกินกว่าขีดจำกัดสูงสุดของครรลองสายตาในอดีต เหมือนว่าเขาเป็นศูนย์กลาง ทางเหนือคือมณฑลรับเสด็จราชัน ทางใต้ปกคลุมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ตะวันตกติดทะเล ตะวันออกคลุมแดนต้องห้ามมรณะ

จิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นซัดโหม

จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็สงบจิตใจ สถานที่แรกที่เขาอยากดูคือฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้น หลุมศพของหัวหน้าเหลยที่ฝังอยู่ข้างๆ พื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่น

ท่ามกลางจิตใจที่โหมกระเพื่อม กระจกโบราณสำริดในเผ่าสิงซากสมุทรก็ส่งเสียงวู้ม ขยับช้าๆ หน้ากระจกเล็งไปทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

เสี้ยวขณะต่อมา ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดที่คุ้นเคยก็สะท้อนภาพมาในครรลองสายตาสวี่ชิง

ฐานที่มั่นยังคงสกปรกเช่นเคย ยังคงทรุดโทรม สถานที่อยู่ของสวี่ชิงในตอนนี้มีคนอื่นเข้าครอบครองแล้ว

เห็นได้ชัดว่าการผันเปลี่ยนของเวลาทำให้บารมีที่เขาสร้างขึ้นในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในตอนนั้นกลายเป็นอดีต กลายเป็นตำนานไปแล้ว

สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สายตาเบนไปยังกลางพื้นที่ต้องห้ามที่ มองเห็นสุสานของหัวหน้าเหลย

ที่นั่นรักษาเอาไว้นับว่าสมบูรณ์ดี

นี่พูดได้ว่าเป็นกฎจำนวนไม่มากที่คนเก็บกวาดปฏิบัติตาม สำหรับสุสานของคนเก็บกวาดที่จากไปจะไม่ไปแตะต้อง ไปทำลาย เพราะใครก็ไม่อยากให้ตัวเองวันหนึ่งก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน

เพ่งมองอยู่นาน สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ ในตอนที่กำลังจะเก็บสายตากลับมาก็คิดๆ

“สถานที่ที่ท่านอาจารย์บอกว่าไปดูไม่ได้พวกนั้นมีแดนต้องห้าม แต่ไม่มีพื้นที่ต้องห้าม” สวี่ชิงแค่คิดก็เบนสายตาผ่านไปยังกลุ่มศาลเจ้า จับจ้องไปในจุดที่ลึกที่สุดของพื้นที่ต้องห้าม

เพียงมองไปจิตใจของสวี่ชิงก็สั่นสะท้านรุนแรง

ในจุดลึกของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนั้นเขาเห็นในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง เห็นเงาร่างผู้หญิงที่รางเลือนร่างหนึ่งใต้หุบเหว นางกำลังคุกเข่าคารวะอยู่ข้างหน้ากู่เจิงเก่าโทรมตัวหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้สวี่ชิงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่รองเท้าที่อยู่ใต้เท้าที่ประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวก็ปรากฏคู่นั้น สวี่ชิงเคยเห็น เป็นคนรักของหัวหน้าเหลยที่ปรากฏขึ้นในเสียงเพลงคนนั้นนั่นเอง

กู่เจิงตัวนั้นบนนั้นมีคราบดำเป็นดวงๆ ผุไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ตอนนี้มันกำลังดีดบรรเลงเพลงเอง ในขณะที่ส่งเสียงเพลงออกมาเป็นระลอกๆ รอบๆ กู่เจิงที่อยู่ในหุบเหวลึกมีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนคุกเข่าคารวะอยู่

ไอพลังประหลาดมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจากกระดูกพวกนี้ และหากมองไปให้ละเอียดก็จะพบว่า ต้นกำเนิดของทุกอย่างนี้ล้วนมาจากกู่เจิงเก่าโทรมตัวนั้น

ไม่ได้มองนานนัก มองเพียงปราดเดียวสวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา

เงียบงันไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็มองไปทางผืนอินทินิล มองไปทางหลุมศพของปรมาจารย์ไป่

เพียงมองไป ฟ้าดินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในสายตาเขา เสี้ยวขณะต่อมา สุสานสาธารณะในแผ่นดินผืนอินทนิลก็ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิง ที่นั่น สวี่ชิงเห็นหลุมศพที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดหลุมหนึ่ง

หลุมศพของปรมาจารย์ไป่

ดอกไม้ที่นั่นเหมือนว่าเพิ่งผ่านมาวันเดียว ตอนนี้ยังไม่โรย ภายใต้การห้อมล้อมจากทะเลดอกไม้ เหมือนว่าเงาร่างของปรมาจารย์ไป่ปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชิงอีกครั้ง

มองไปๆ จวบจนมีคนที่คุ้นเคยสองคนปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเขา

ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เป็นเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้นั่นเอง พวกเขาเดินมาจากที่ไกล มาถึงหน้าหลุมศพ เอาดอกไม้มาเปลี่ยน หลังจากเอามาวางคารวะหลุมศพ ก็ไปจากสุสาน

สวี่ชิงมองพวกเขาจากไปจนลับสายตา เขาก็สังเกตว่าในร่างของเฉินเหยหยวนตอนนี้มีลูกข่างหน้าผีอันหนึ่งกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว เหนี่ยวนำเลือดลมของเฉินเหยหยวน แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นวน แผ่พลังกดดันที่น่ากลัวออกมาเป็นระลอกๆ

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงนึกถึงที่เฉินเฟยหยวนบอกกับตนในตอนนั้นเกี่ยวกับสายเลือดของรัฐม่วงครามที่อยู่ในกาย ได้พรสวรรค์จากการนั้น

มีชีวิตอยู่ร่วมกับของวิเศษเวท

ในขณะที่ครุ่นคิด สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา แล้วมองไปที่อื่น หลังจากมองจนรอบแล้ว เขาก็มองไปทางทะเลต้องห้าม

นายท่านเจ็ดเคยเตือนไว้ว่า ทะเลต้องห้ามมองได้บ้าง เขาจึงแค่กวาดตาไปเท่านั้น

และจากการกวาดสายตานี้ เขาก็เห็นหวงเหยียนกับศิษย์พี่รองที่เพิ่งเดินทางจากไปไม่นาน หวงเหยียนตอนนี้กำลังอยู่บนพื้นกระดานเรือ นวดขาศิษย์พี่รอง สีหน้าแฝงด้วยความสุข

ใบหน้าสวี่ชิงฉายรอยยิ้ม สายตาที่กวาดไปกำลังจะเก็บกลับมา ทว่าในตอนนี้ หวงเหยียนพลันเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางท้องฟ้าอย่างสงสัย

รอยยิ้มของสวี่ชิงค้างแข็งทันที อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

“เขาสัมผัสข้าได้อย่างนั้นหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด