ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 445 กายทิพย์เทพเจ้า
บทที่ 445 กายทิพย์เทพเจ้า
นอกประตูเมืองยอดฟ้าพลันเงียบลง
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดต่างถลึงตาโต งงงันกันก่อนจากนั้นก็พรั่นพรึง
ไม่ว่าพวกเขาจะพลังบำเพ็ญใด ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะสงสัยสวี่ชิงกับเฉินเอ้อร์หนิวอย่างไร ตอนนี้ เมื่อเห็นเทวรูปฟ้าทมิฬที่กำลังคุกเข่าคารวะอยู่ตรงนั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ได้ยินเสียงตะโกนที่มาจากมัน
ในใจพวกเขาแต่ละคนคลื่นยักษ์ถาโถม ถลึงตาอ้าปากค้างกันหมด
แม้แต่เจ้ารัฐที่อยู่ระดับสมบัติวิญญาณคนนั้น ในสมองยังส่งเสียงครืนครัน จิตเทพโหมพายุคลั่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พัดกวาดทะเลความรู้สึกทั้งหมด สมบัติลับสามชิ้นด้านหลังก็บิดเบี้ยว
และผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุด ก็คือชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มกันสวี่ชิงกับเฉินเอ้อร์หนิวมาที่นี่คนนั้น
เขาในฐานะองค์ชายของรัฐยอดฟ้า คนที่ภาคภูมิใจกับสติปัญญาของตนมาตลอด ตลอดทางมานี้เขาแสร้งทำตัวโง่งม เดิมคิดว่าตนใช้แผนหลอกโจรสองคนสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับตาลปัตร ทำให้เขารู้สึกตั้งตัวไม่ทัน
เวลานี้ดวงตาเขาเบิกกว้างที่สุด จิตเทพครืนครันดังสนั่นที่สุด ในใจโหมคลื่นน่าครั่นคร้าม ในสมองมีทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าครืนครันสนั่นหวั่นไหวนับหมื่นครั้งจนสีหน้าสบสน
“นี่…นี่…
“นี่เป็นไปได้อย่างไร!
“นั่นเป็น…เทวรูปฟ้าทมิฬเชียวนะ!”
เขาร่างกายสั่นเทา หายใจหอบถี่ ขณะที่ตกตะลึงก็มีความรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริงออกมาอย่างแรงกล้า
ในบรรดาสามสิบหกนครรัฐ ใช่ว่าทุกนครรัฐจะมีคุณสมบัติอัญเชิญเทวรูปจากราชวงศ์เบื้องบนลงมา มีเพียงสี่นครรัฐเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้ นี่เป็นตัวแทนว่าพวกเขาทั้งสี่เมืองเป็นขั้วอำนาจสายตรงของสี่ราชวงศ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่นี่
ดังนั้นองค์ชายรัฐเล็กท่านนี้ จึงทราบดีว่าเทวรูปฟ้าทมิฬเป็นสัญลักษณ์ของอะไร
สัญลักษณ์ของมันคือเผ่าฟ้าทมิฬ!
แต่เทวรูปที่เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฟ้าทมิฬ กลับคุกเข่าให้กับอีกฝ่าย เดิมเรื่องนี้ก็เหลวไหลอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงคำที่ตะโกนออกมาเลย…
คำนี้ ราวกับเป็นกฎเกณฑ์มรรคาสวรรค์ เสียงสะท้อนก้องไปทั่วทิศ ราวฟ้าดินเปลี่ยนสีเพราะมัน
ผู้ที่ใจสั่นสะท้านยังมีชิงชิวอีกคน ตอนนี้นางรู้สึกว่าความคิดตนสับสนเสียแล้ว
เดิมตอนที่นางเห็นเผ่าฟ้าทมิฬสองคนนี้ถูกเปิดโปง ก็คิดว่าสองคนนี้เป็นตัวปลอมตามสัญชาตญาณ นี่ก็บ่งบอกถึงสาเหตุที่ไม่สังหารตน มั่นใจแปดเก้าส่วนว่าเป็นเผ่ามนุษย์แน่ๆ
แต่ยังไม่ทันได้มั่นใจความคิดนี้เต็มร้อย พริบตาต่อมาก็ถูกเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งไม่ใช่แค่กลับลำง่ายๆ แต่ราวกับเป็นการพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล กวาดล้างอย่างสั่นฟ้าสะเทือนดิน
เพราะคำว่าใต้เท้า ความหมายของมันยิ่งใหญ่มาก หากคิดให้ลึกซึ้ง สามารถทำให้คนทั้งหมดสั่นสะท้านได้
ในพริบตา สายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่สวี่ชิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ สายตาเหล่านี้แฝงความพรั่นพรึง ซับซ้อน ตกตะลึง ไม่อยากเชื่อรวมถึงคาดไม่ถึงไว้ด้วย
ต่อให้นายกองที่อยู่ข้างๆ ระหว่างที่มาก็วางแผนและพูดคุยกับสวี่ชิง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์มันจะเกินคาดถึงขั้นนี้
มีเพียงสวี่ชิงที่สีหน้าเรียบสงบมาตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนในใจจะเป็นอย่างไร คนนอกไม่มีทางรู้
ถึงอย่างไรสีหน้าเรียบนิ่ง ก็เป็นสีหน้าที่เขาคงไว้บ่อยที่สุดในยามปกติ และรักษาสีหน้านี้ไว้ตลอดอย่างเชี่ยวชาญ
ระหว่างทางก่อนหน้านี้ เขากับนายกองพบว่าชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ผิดปกติ
อันดับแรกพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายอ่อนแอมาก จึงไม่กล้าที่จะทดสอบ เพราะหากผลการทดสอบสำเร็จ สิ่งที่รออีกฝ่ายอยู่ก็มีเพียงความตายเท่านั้น
ต่อมาเขาในฐานะที่เป็นเผ่าที่ต่ำศักดิ์กว่า ทดสอบเผ่าที่สูงศักดิ์กว่าเช่นนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ต่อให้จะฉลาดเพียงใดก็ไม่ถูกต้อง
แต่เห็นได้ชัดว่าเชื่อขึ้นมาอย่างสนิทใจโดยไม่ทดสอบ นี่ก็เสแสร้งเกินไป
นี่ก็คือสาเหตุที่ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้นคอยทดสอบตลอดทาง ไม่ใช่เพื่อทดสอบหาความจริง แต่ว่ากังวลจะมองความคิดของตนออก จึงจงใจทดสอบ
เป็นวิธีการแบบคิดย้อนกลับไปในมุมมองของอีกฝ่ายอย่างหนึ่ง
และการกระทำนี้ ก็ทำให้เขากับนายกองมองพิรุธออก ส่วนวิธีการรับมือสวี่ชิงก็คิดเอาไว้ระหว่างทางแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาศึกษดวงตาเผ่าฟ้าทมิฬมาสามวัน สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่วิชาเวทเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วงของตนส่งผลกระทบต่อดวงตาด้วย
ตอนนั้น เขาเหมือนสัมผัสรับรู้รางๆ ว่าหลังจากปลอมตัวเป็นเผ่าฟ้าทมิฬ ในบางระดับอาจจะสูงส่งยิ่งกว่าเผ่าฟ้าทมิฬที่แท้จริงเสียอีก
เพราะเผ่าฟ้าทมิฬศรัทธาต่อพระจันทร์สีชาด และพระจันทร์สีม่วงในวังสวรรค์วังที่สี่ของเขา ก็คืออำนาจที่ช่วงชิงมาจากพระจันทร์สีชาด ขณะเดียวกันก็มีกายทิพย์เทพเจ้าอยู่ด้วย
ในระดับหนึ่ง เขากับพระจันทร์สีชาดคือสิ่งเดียวกัน
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมเทวรูปฟ้าทมิฬจึงเรียกเขาว่าใต้เท้า
แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญที่สัมผัสใกล้ชิดกับพระจันทร์สีชาดมาทั้งปี ก็ยังยากที่จะมองปัญหาออก เพราะนี่เป็นพลังจากต้นกำเนิดเดียวกัน กายทิพย์ที่เป็นของเทพเจ้า
มีเพียงพระจันทร์สีชาดเองเท่านั้นที่มองออก
ตอนนี้ขณะที่คนทั้งหมดกำลังสั่นสะท้าน รอบด้านเงียบสงัด สีหน้านายกองก็เผยโทสะออกมา ส่งเสียงเย็นชาดังก้องไปทั่ว
“เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก!
“พวกเจ้ามีสถานะอันใด มีคุณสมบัติอะไรมาตรวจสอบบุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬของข้า!
“ถ้าหากทำลายแผนการใหญ่เผ่าข้าไป พวกเจ้ายังตายไม่คุ้มเสีย!”
เมื่อนายกองเอื้อนเอ่ย เทวรูปฟ้าทมิฬที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าสวี่ชิงพลันระเบิดแสงทมิฬ ทั่วร่างแผ่ปราณพิฆาตที่น่าตกตะลึงออกมา หันหน้าไปมองกลุ่มคนของรัฐยอดฟ้าฉับพลัน
สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ว่าตนสั่งการเทวรูปฟ้าทมิฬนี้ได้
ขณะเดียวกัน รัฐยอดฟ้าก็มีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นเป็นระยะจากเสียงของนายกองรวมถึงปราณพิฆาตของเทวรูปฟ้าทมิฬ เจ้ารัฐยอดฟ้าคนนั้นรีบเดินหน้ามา คุกเข่าให้สวี่ชิง
“ข้าน้อยเผ่าต่ำศักดิ์ คารวะต่อท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง!”
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่ประตูเมืองด้านหลังเขา ก็ทยอยเดินก้าวหน้าขึ้นด้วยใจที่สั่นสะท้าน คารวะสวี่ชิงอย่างพร้อมเพรียง
“คารวะท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง!”
องค์ชายรัฐยอดฟ้าคนนั้น ทิ้งตัวลงคุกเข่า ตะโกนเสียงหลง
“คารวะท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง!”
เขารู้สึกว้าวุ้นใจมาก เรื่องนี้ราวกับฝันไป
เมื่อชิงชิวด้านหลังสวี่ชิงเห็นภาพนี้ ขณะที่สมองกำลังอื้ออึง ในใจก็มีจิตสังหารแรงกล้า นางเข้าใจว่าเผ่าฟ้าทมิฬเบื้องหน้าคนนี้ สถานะและตำแหน่งสูงส่งมาก
‘ถ้าหากสังหารเขาได้…’ ชิงชิวก้มหน้า ซ่อนจิตสังหารในใจ
ขณะที่ทุกคนจิตเทพโหมกระเพื่อม สวี่ชิงก็เดินไปด้านหน้า เดินไปอยู่เบื้องหน้าเทวรูปฟ้าทมิฬ ขึ้นไปยืนบนศีรษะของมัน นั่งขัดสมาธิ เอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเจ้าเดาไม่ผิด ข้าปลอมตัวมาจริงๆ”
เมื่อเขาเอื้อนเอ่ยออกไป ผู้คนรอบด้านก็พากันก้มหน้า
“ข้าปลอมตัวเป็นเผ่าฟ้าทมิฬธรรมดาทั่วไป”
พูดประโยคนี้จบ เทวรูปฟ้าทมิฬใต้ร่างก็ลุกขึ้นยืนจากท่าคุกเข่าจากการสั่นคลอนของวังสวรรค์วังที่สี่ในตัวสวี่ชิง แผ่แรงกดดันที่น่าครั่นคร้ามไปทั่วสารทิศ และระหว่างที่แสงทมิฬแผ่ออกไป สายลมก็พัดพาเมฆาก็โหมทะลัก ฟ้าดินเปลี่ยนสี
นายกองขยับเท้า เหยียบขึ้นไปเช่นกัน ยืนอยู่บนหัวของเทวรูป ด้านหลังสวี่ชิง มองพื้นพสุธาอย่างหยามหมิ่น
จากนั้นเทวรูปฟ้าทมิฬนี้ก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ใช้ท่าทางที่อหังการจ้องมองลงเบื้องล่างขณะอยู่ระหว่างฟ้าดิน
พวกสวี่ชิงทั้งสองบนหัวของมัน ร่างเงาเลือนราง ราวกับหลอมรวมเข้าไปในราตรีใต้ฉัตรบนท้องนภา แผ่กลิ่นอายลึกลับยากคาดเดา
บนแผ่นดินใหญ่ ผู้บำเพ็ญคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสั่นสะท้าน สีหน้าเจ้ารัฐก็ลังเล แต่เขาเข้าใจว่าเวลานี้จำเป็นต้องคารวะอีกครั้ง
“คารวะบุตรเทวะ!”
จากนั้นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็คารวะพร้อมกัน
องค์ชายท่านนั้น ตอนนี้ในดวงตาเผยความร้อนแรง เสียงดังที่สุด
เขาคือเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ และเผ่านี้เคยเป็นเผ่ามนุษย์ ดังนั้นตัวองค์ชายรัฐยอดฟ้าคนนี้จึงแฝงนิสัยของมนุษย์ไว้ด้วยและนิสัยของมนุษย์ก็มักจะยืนหยัดกับความเชื่อมั่นที่แลกมาจากความสงสัยมากกว่าความเชื่อมั่นแบบธรรมดา
ภายใต้การคารวะของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ สวี่ชิงกับนายกองยังไม่ได้จากไป แต่ถูกเจ้ารัฐเชิญเข้าไปในรัฐยอดฟ้า พวกเขาคิดอย่างไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับรัฐยอดฟ้าให้ชัดเจน และรัฐยอดฟ้าก็ไม่กล้าถามเช่นกัน
แต่ขณะที่เข้าเมือง นายกองก็สอบถามถึงเรื่องเซียนแท้สิบลำไส้ และรู้มาว่าตอนนี้ยังเหลืออีกเก้าวันกว่าที่ต้นสิบลำไส้จะออกผล
จากนั้นสวี่ชิงกับนายกองเยื้องย่างเข้าไปในวังหลวงของรัฐยอดฟ้า และเทวรูปฟ้าทมิฬก็ไม่ได้จากไป ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนักที่สวี่ชิงเข้าไปพัก คอยคุ้มครอง
ส่วนชิงชิวนายกองกลับให้เปลี่ยนเป็นชุดบ่าวรับใช้ในช่วงนี้ไป
ชิงชิวกัดฟัน ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น
และเรื่องการมาถึงของบุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬ ก็ไม่มีทางที่จะถูกปิดบัง เรื่องนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นไม่นานสามสิบหกนครรัฐก็ได้ข่าวกันหมด แต่ละคนเกิดสงสัยในขณะที่ใจสั่นสะเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สามวันผ่านไปเช่นนี้
ในช่วงสามวันนี้ ส่วนใหญ่สวี่ชิงจดจ่ออยู่กับการศึกษาเทวรูปฟ้าทมิฬ นอกจากนี้นายกองก็อดถามเรื่องที่เทวรูปคุกเข่าให้อย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
ระหว่างทางก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเคยพูดคุยกัน แต่สวี่ชิงไม่ได้พูดถึงพระจันทร์สีม่วง บอกเพียงว่าเกี่ยวกับกลิ่นอายของพระจันทร์สีชาด
“กลิ่นอายพระจันทร์สีชาดข้าก็มีนะ ไม่ใช้สิ แล้วทำไมเจ้านี่ไม่คุกเข่าให้ข้าบ้าง ทั้งยังบอกว่าข้าศรัทธาไม่บริสุทธิ์ สายเลือดยุ่งเหยิงอีก กับผีสิ” นายกองไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
สวี่ชิงคิดๆ และบอกเรื่องยันต์อักขระที่จอมเซียนจื่อเสวียนให้เขามา
นายกองอิจฉาเสียเต็มประดา ถอนใจยาวออกมา หยิบลูกท้อออกมากินอดไม่อยู่
ชิงชิวไม่ได้ยินการสื่อเสียงของทั้งสองคน แต่เห็นนายกองกินลูกท้อ นางก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง เพิ่งคิดจะสังเกตอย่างละเอียด ลูกท้อนายกองก็หายไปแล้ว มองออกไปนอกตำหนักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นอกตำหนักใหญ่ เจ้ารัฐพาลูกชายของเขามาเข้าพบ เชื้อเชิญอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าบุตรเทวะ สามสิบหกนครรัฐจะจัดงานเลี้ยงแด่ใต้เท้าสักครั้งขอรับ”
“ใต้เท้าบุตรเทวะไม่สนใจเรื่องนี้!” ในตำหนักใหญ่ สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่พูดจา นายกองที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
เมื่อเจ้ารัฐยอดฟ้าด้านนอกได้ยินก็ก้มหน้า มองไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงที่นอบน้อมต่อ
“เป็นข้าน้อยที่เลินเล่อ แจ้งข่าวกับนครรัฐอื่น นอกจากนี้ราชครูรัฐยอดฟ้าของข้าก็กลับมาแล้ว ต้องการเข้าเฝ้าใต้เท้าขอรับ”
เจ้ารัฐยอดฟ้าที่อยู่นอกตำหนักใหญ่ยังคงก้มหน้า ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เขาจึงส่งเสียงอีกครั้ง
“มู่เยี่ยลูกชายโง่เขลา ครั้งนี้ล่วงเกินใต้เท้า ข้าน้อยก็ลงโทษเขาอย่างรุนแรงแล้ว ใต้เท้ายังมีเรื่องกำชับอื่นอีกหรือไม่ขอรับ”
ในตำหนักใหญ่ นายกองหรี่ตาลง เขาฟังความนัยอื่นในประโยคนี้ออก จึงมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง มององค์ชายที่นั่งคุกเข่าคารวะก้มหน้าไม่พูดจาอยู่ข้างเจ้ารัฐด้านนอก จู่ๆ ก็เอ่ยว่า
“มู่เยี่ย? เจ้าเคยกล่าวว่าอยากได้พรฟ้าทมิฬสินะ”
เมื่อสวี่ชิงพูดออกมา ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเผยความร้อนแรง โขกศีรษะอย่างแรง
เจ้ารัฐยอดฟ้ายังคงก้มหน้า ไม่เผยอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย
“ยาลูกกลอนจันทราปีศาจฟ้าทมิฬ รวมถึงผลมรรคาเซียนแท้สิบลำไส้อีกหนึ่งแสนผล” สวี่ชิงไม่พูดมาก พูดถึงของที่ต้องการใช้ประทานพรออกมา
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าถึงยังต้องวางท่าที แต่หากมากเกินไปก็ไม่ดี สุดท้ายจะต้องมีอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือห้ามดูถูกผู้ใด ก่อนหน้านี้องค์ชายคนหนึ่งยังมีวางแผนร้ายพวกนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้ารัฐตรงหน้าคนนี้รวมถึงเหล่าผู้บำเพ็ญในรัฐยอดฟ้าเลย
ส่วนหลังจากเอ่ยปากก็บอกสิ่งที่ตนเองต้องการ ผนวกกับการปฏิเสธหลายครั้งก่อนหน้าก็จะยิ่งทำให้เกิดการคาดเดามากมาย นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงต้องการ
เพราะมือผีสอนเขาไว้ว่าไม่ว่าจะเรื่องใดจะเอาแต่ปฏิเสธอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้คำตอบเท็จไว้ด้านในด้วย เช่นนี้จะยิ่งสมจริงมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเขาเอ่ยจบ ขณะที่ดวงตาของเจ้ารัฐแข็งค้างและขมวดคิ้วขึ้นมา สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“มู่เยี่ย เจ้าเดินก้าวหน้ามา”
เจ้ารัฐตกตะลึง เมื่อชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็หายใจหอบถี่ ดวงตายิ่งเปล่งประกายร้อนแรง ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างนอบน้อม คุกเข่าลงเบื้องหน้าสวี่ชิง เอ่ยเสียงดัง
“บุตรเทวะ!”
สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น วังสวรรค์วังที่สี่ในร่างกายสั่นคลอน ไอพลังประหลาดพิเศษที่มาจากพระจันทร์สีม่วงสายหนึ่ง ก็มารวมที่นิ้วชี้สวี่ชิง แตะลงไปบนหว่างคิ้วขององค์ชายรัฐยอดฟ้าคนนี้
หลังจากที่สัมผัส องค์ชายรัฐยอดฟ้าคนนี้ก็สั่นทิ้มไปทั้งร่าง พลังบำเพ็ญในร่างกายระเบิดขึ้นฉับพลัน ในดวงตาเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบแล้วหายไป และมีกลิ่นอายที่ใกล้เคียงกับพระจันทร์สีชาดปะทุขึ้นมาจากตัวเขา
ขณะที่คลุมเครือ กระทั่งมีความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ด้วย สายตาที่มองสวี่ชิงไม่ใช่ความร้อนแรงอีกต่อไป แต่เป็นความซื่อสัตย์ เลื่อมใสศรัทธามาก คารวะยกใหญ่
“ใต้เท้า!”
ภาพนี้ ทำให้ใจของเจ้ารัฐโหมคลื่นยักษ์น่าครั่นคร้ามอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจยิ่งหอบถี่
ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาแม้จะมองสวี่ชิงไม่ทะลุ แต่ก็ยังมองลูกชายตนออก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลูกชายตนในตอนนี้ มีกลิ่นอายเผ่าฟ้าทมิฬเพิ่มขึ้นมา จิตวิญญาณเปลี่ยนไป
กลิ่นอายนี้ผสานเข้าไปในเลือดเนื้อ ผสานเข้าไปในพลังบำเพ็ญจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำให้คนที่ได้รับการประทานพร สามารถใช้พรสวรรค์ของเผ่าฟ้าทมิฬได้ส่วนหนึ่ง
สิ่งนี้เหมือนกับที่เขาเคยเห็นเผ่าฟ้าทมิฬประทานพรให้เหล่าองค์ชายสูงศักดิ์ในราชวงศ์รัฐเบื้องบนไม่ผิดเพี้ยน กระทั่งว่า…ยังมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่การเลื่อนขั้นสถานะเข้มงวด กลิ่นอายนี้เป็นบ่งบอกถึงสถานะที่นับจากนี้จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เหมือนการยกระดับต้นกำเนิด!
ขณะที่จิตเทพโหมระลอกคลื่นขนาดมหึมา เจ้ารัฐมองสวี่ชิง สวี่ชิงก็มองเขา
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เขาใช้การกระทำ แสดงท่าทีของตนเองออกมา
การปฏิเสธหลายครั้งก่อนหน้านี้คือท่าที และการเอ่ยความต้องการออกมาไม่ใช่การแลกเปลี่ยน แต่เป็นคำสั่ง!
นี่ถึงจะสอดคล้องกับสถานะของเผ่าฟ้าทมิฬ
ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้ทำเกินควรด้วย
Comments