ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 491 เงาร่างบนบุปผาสราญใจ

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 491 เงาร่างบนบุปผาสราญใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 491 เงาร่างบนบุปผาสราญใจ

เสียงของสวี่ชิงไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังก้องเข้ามาในหูของศีรษะ มันยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ความจริงจะอย่างไรมันก็คิดไม่ถึงว่าคำว่าพร้อมหน้าที่พูดออกไปเช่นนั้น จะกลับเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ

ภาพนี้ทำให้มันอึ้งตะลึง

บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ในใจเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยเร่งขึ้นมา

“ยังไม่รีบเข้าไปอีก!”

ศีรษะครั้งนี้จะร้องไห้ของจริง กำลังจะพูดอะไร แต่สวี่ชิงยกมือสะบัด ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของมันก็ถูกบังคับส่งเข้าไปในห้องขังติงหนึ่งสามสอง

ส่งเข้าไปในห้องขังที่เดิมก็เป็นของมัน

ในพริบตาที่เข้าไปในห้องขัง ศีรษะก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของนิ้วเทพเจ้าทันที เสียงร้องโหยหวนกลายเป็นเสียงตื่นกลัว

“นี่ๆๆ…”

ไม่ทันที่มันจะตั้งสติได้อย่างสมบูรณ์ สิงโตหินท่ามกลางประกายแสงที่กะพริบวาบก็ถูกส่งเข้ามาในห้องติงหนึ่งสามสองเช่นกัน ร่วงลงมาอยู่ในห้องขังที่เคยอยู่ นอนหมอบอยู่ตรงนั้น ตัวของมันส่งเสียงดังบึ้มแล้วแปรเปลี่ยนเป็นอสูรเมฆา

หลังจากสัมผัสรอบๆ อย่างงงงัน มันก็หมุนตัวไปเงียบๆ กินรยางค์ของตัวเอง เหมือนว่ามีเพียงทำเช่นนี้ ถึงจะทำให้จิตใจของมันสงบลงได้

เพียงแต่ ทุกครั้งก่อนนี้มันจะกินรยางค์เข้าไป ก็จะเปลี่ยนให้พวกมันเป็นรูปร่างหน้าตาเหมือนศีรษะ

เห็นได้ถึงความเกลียดชังของคำว่าพร้อมหน้าพร้อมตาที่ศีรษะพูด

สังเกตเห็นภาพนี้ ศีรษะร้องไห้จริงๆ แล้ว

แต่น้ำตายังไม่ทันได้ร่วงลงมาสักเท่าไร ประกายแสงก็ฉายวาบในเขตติงหนึ่งสามสองอีกครั้ง ชายชราเผ่าจิตรกรรมปรากฏตัวขึ้นแล้ว

เพื่อให้นิ้วเทพเจ้าเกิดความรู้สึกสนิทสนมที่คุ้นเคย สวี่ชิงไม่ได้คิดหาวิธีฆ่าชายชรา แต่ส่งเขาเข้ามาในติงหนึ่งสามสอง ทำการสะกดเอาไว้

ชายชราเผ่าจิตรกรรมที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยแผลกัดทึ้ง ยับเยินน่าสังเวช ในพริบตาที่เห็นติงหนึ่งสามสองก็อึ้งตะลึง โดยเฉพาะเมื่อมองห้องขังที่คุ้นเคย ฟังเสียงครวญครางของศีรษะ มองนิ้วเทพเจ้าหลับใหลสู่ห้วงนิทราลึก สีหน้าของมันก็ฉายรอยเหม่อลอยเหมือนฝันออกมา

ศีรษะร่ำไห้ สิงโตหินกัดกิน ชายชราเผ่าจิตรกรรมตัวสั่นเทา

แต่นิ้วเทพเจ้าเห็นได้ชัดว่าหาความคุ้นเคยในอดีตเจอแล้ว จึงหลับได้สนิทมากยิ่งขึ้น

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ สวี่ชิงก็ไม่สนใจวังสวรรค์วังที่สิบของตัวเองอีก เขาเงยหน้ามองไปทางเขาประกายอรุณ ร่างเพียงไหววูบก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาในตอนก่อนหน้านี้ไม่อาจเดินทางอยู่ใต้หุบเหวสมุทรนี้ได้นาน แต่ร่างในตอนนี้สามารถทำได้

เวลาหมุนผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้เอง

หนึ่งวันหลังจากนั้น ใต้หุบเหวสมุทรที่ห่างจากเขาประกายอรุณเป็นระยะเวลาอีกสองวัน สวี่ชิงที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็พลันหยุดชะงัก เขาเหมือนได้ยินเสียงร้องของความช่วยเหลือจากที่ไกลมาแว่วๆ

หากเปลี่ยนเป็นร่างเมื่อก่อนหน้านี้ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาไม่มีทางเฉียบไวเช่นนี้ ตอนนี้หลังจากที่ทำการยืนยันความอัศจรรย์ไม่ธรรมดาของร่างนี้ สวี่ชิงก็จับสังเกตอย่างละเอียดต่อเสียงที่ดังมาเสียงนี้

ภายใต้การตั้งสมาธิของเขา เสียงนี้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

“ช่วยด้วย…มีใครอยู่ไหม ช่วยด้วย…ช่วยข้าที…”

เสียงนี้อ่อนแรงมาก ดังในหูสวี่ชิง เขาขมวดคิ้ว รู้สึกค่อนข้างคุ้น

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็จำได้ทันที

“หนิงเหยียนหรือ”

สวี่ชิงประหลาดใจ มองหุบเหวสมุทรมืดมิดรอบๆ นึกถึงว่าตอนนั้นที่ต้นสิบลำไส้ อีกฝ่ายถูกส่งข้ามออกไป จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

‘หรือเพราะรอยแยกมิติลมสุริยะของที่นี่มีค่อนข้างมาก ดังนั้นตอนที่ส่งข้ามมาเขาตกมาอยู่ที่นี่ เจอกับเรื่องไม่คาดฝัน จึงไม่ได้กลับไปอย่างนั้นหรือ’

สวี่ชิงสงสัย จึงไล่หาไปตามเสียง หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ที่ใต้หุบเหวสมุทรแห่งนี้เขาเห็นดอกไม้งดงามแปลกประหลาดขนาดมหึมาดอกหนึ่งบานสะพรั่งอยู่ที่ไกลๆ

นั่นคือบุปผาสราญใจ

บนดอกไม้ขนาดหลายสิบจั้งมีกลีบดอกสีสันฉูดฉาดมากมาย ขณะที่ขยับเลื้อยไม่หยุด ก็มีเกสรดอกไม้หลายร้อยเกสรลอยอยู่ลอบๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวต่างเผ่ามากมาย

พวกมันไม่ได้กระจายออกไปจากหุบเหวสมุทร แต่รายล้อมอยู่รอบๆ ฐานรองดอก แต่ละนางสีหน้าแฝงด้วยความรื่นรมย์ กำลังดูดซับไม่หยุด

บนฐานรองดอกขนาดมหึมา กลีบดอกนับไม่ถ้วนโปรยปราย จะเห็นรางๆ ว่ามีคนคนหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น

เป็นหนิงเหยียนนั่นเอง

เสื้อผ้าของเขาหลุดรุ่ยไม่เรียบร้อย ลมหายใจรวยริน ร่างยิ่งผอมแห้งราวกับโครงกระดูก

ดวงตาทั้งสองที่ไร้ชีวิตชีวาตอนนี้ฉายความสับสนและเหม่อลอย จากการดูดซับจากปีศาจหญิงต่างเผ่ารอบๆ เหล่านั้น ร่างของเขากระตุกไม่หยุด ในขณะที่ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ปากก็ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนแรง

“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”

บุปผาสราญใจเป็นพืชประหลาดที่มีเฉพาะมณฑลประกายอรุณเท่านั้น ระหว่างทางมาสวี่ชิงเคยเห็นอยู่ดอกหนึ่ง และได้ยินศีรษะพูดเหมือนว่าชายกำยำทั่วๆ ไป เพียงแค่การดูดซับสามครั้งห้าครั้ง บุปผาสราญใจก็จะดูดเอาเลือด พลังชีวิตไปหมด กลายเป็นศพแห้งๆ

ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหลอมตันเถียนก็ยืนหยัดได้ไม่เท่าไร

และลักษณะพิเศษของดอกไม้นี้คือในยามที่มันบาน เกสรดอกไม้จะแปรเปลี่ยนเป็นต่างเพศของเผ่าต่างๆ อีกทั้งยังตรงกับมาตรฐานความงามที่เป็นนิยมของเผ่าๆ นั้น ใช้เรื่องนี้มาดึงดูดนักเดินทาง

สีหน้าสวี่ชิงแปลกประหลาดเล็กน้อย มองบุปผาสราญใจดอกมหึมาที่อยู่ข้างหน้าดอกนี้

ขนาดของอีกฝ่ายเล็กกว่าต้นที่เขาได้เจอระหว่างเดินทางเมื่อก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ระดับความงดงามเย้ายวนกลับเหนือยิ่งกว่า

โดยเฉพาะต่างเพศต่างเผ่าเหล่านั้นที่ปรากฏออกมา แต่ละคนสีผิวแดงเรื่อ ร่างกายอวบอิ่ม งดงามเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยียนมอบสารหล่อเลี้ยงอันอุดมสมบูรณ์ให้กับพวกนาง

‘หนิงเหยียนคนนี้…หากถูกส่งข้ามมาที่นี่ เช่นนั้นนี่ผ่านมานานเท่าไรแล้ว แต่กลับยังมีชีวิตอยู่!’ สวี่ชิงค่อนข้างตื่นเต้น หลังจากนึกย้อนถึงภาพที่ต้นสิบลำไส้ เขายิ่งรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของนายกองถูกต้อง

‘ในตัวคนคนนี้มีปัญหาใหญ่จริงๆ ด้วย’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด กวาดตามองหนิงเหยียนที่ผอมแห้งดุจฟืน ก็เตรียมจะไปช่วยสักหน่อย

อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มีฐานะเป็นอาวุธของตนกับนายกอง เวลาใช้ก็นับว่าสะดวกมือดี หากเห็นว่ากำลังจะตายแต่ไม่ช่วยก็ค่อนข้างน่าเสียดาย

ดังนั้นแล้วสวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง เดินไป

เพิ่งเข้าใกล้ บุปผาสราญใจดอกนี้ก็สัมผัสได้ถึงอันตราย ภายใต้การสะท้านเฮือก ต่างเพศจากละอองเกสรที่ล้อมรอบกายหนิงเหยียน ก็พากันหันมาพร้อมกัน จ้องสวี่ชิงที่เดินมา

ไม่เหมือนกับนักเดินทางคนอื่นๆ ครั้งนี้ต่างเผ่าละอองเกสรพวกนี้เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็แยกเขี้ยวใส่สวี่ชิง ส่งเสียงขู่หวงอาหาร

สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ

เห็นเป็นเช่นนี้ บุปผาสราญใจที่กำลังกินเลี้ยงสะท้านเฮือก พ่นหมอกสีชมพูออกมาเป็นวงกว้าง พัดกวาดไปรอบๆ ดอกไม้พลันเคลื่อนไหวขึ้นมา คล้ายว่าจะหนี

และในหมอก ต่างเพศจากเกสรเหล่านั้นต่างขยับออกจากร่างของหนิงเหยียน พุ่งมาหาสวี่ชิง คิดจะขัดขวาง

แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ เพียงพริบตาปากของของต่างเพศต่างเผ่าทั้งหลายที่อยู่หน้าสุดก็ส่งเสียงร้องโดยหวนออกมา กายเนื้อเน่าเปื่อยอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะเปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำสีดำตกลงพื้น

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เขาสัมผัสได้ว่าพิษต้องห้ามของตัวเองที่สำแดงในตอนนี้ ด้านความเร็วที่ปะทุขึ้นเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย

ขณะคิดสวี่ชิงก็เดินต่อไป

ทุกที่ที่ผ่าน เกสรที่เข้าใกล้ทั้งหมดล้วนเน่าเปื่อย ต่างแห้งเหี่ยวไป พวกที่แปลงออกมาเป็นต่างเพศต่างเผ่าพวกนั้น ใบหน้างดงามล้วนฉายความหวาดกลัว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องต่างพากันถอยหลัง เนื้อตัวสั่นเทา

ท่าทางเหมือนอย่าเข้ามา

ภาพนี้สวี่ชิงรู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

เขานึกถึงภาพที่วังสวรรค์ของตัวเองเผชิญหน้ากับการเข้ามาใกล้จากผลึกวารีสีม่วง และนึกถึงภาพที่คล้ายกันจากนิ้วเทพเจ้า

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบภาพนี้ จึงยกเท้าเหยียบลงไป ทันใดนั้นพื้นดินสะท้านสะเทือน ต่างเพศจากเกสรดอกบุปผาสราญใจพวกนั้น ระเบิดแหลกละเอียด

เหลือเพียงบุปผาสราญใจที่ไม่มีเกสรต้นหนึ่ง เนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัว

สวี่ชิงพออกพอใจ เดินไปบนฐานรองดอก กระชากหนิงเหยียนที่ผอมแห้งเนื้อตัวสั่นระริกในกลีบดอกไม่มหาศาลออกมา

หนิงเหยียนทั้งตัวเปล่าเปลือย ตอนนี้มองสวี่ชิงอย่างอ่อนแรง ในดวงตาฉายแววขอความช่วยเหลือ

“ศิษย์พี่สวี่ชิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร…ช่วยด้วย…ช่วยข้าด้วย…”

สวี่ชิงมองเด็กหนุ่มข้างหน้าถูกทรมานจนถึงขั้นนี้ ในใจทอดถอนสะท้อนใจ ยิ่งมีความเข้าใจต่อความน่ากลัวของโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น

จึงหยิบยาลูกกลอนออกมาป้อนเขา แล้วเอาชุดออกมาชุดหนึ่งคลุมไปบนร่างเขา พยุงหนิงเหยียนที่อ่อนแรงเดินออกมาจากบุปผาสราญใจ

จากการเดินออกมา บุปผาสราญใจข้างหลังเขาถูกหมอกพิษปกคลุมทันที เน่าสลายไปอย่างรวดเร็ว จวบจนสุดท้ายเมื่อเสียงโหยหวนดังก้อง ก็ทลายลงมา กลายเป็นน้ำสีดำเจิ่งนอง

ในเสี้ยวพริบตาที่บุปผาสราญใจแตกดับ หนิงเหยียนที่ถูกสวี่ชิงพยุงเอาไว้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันไปมองบุปผาสราญใจทันที สีหน้าแฝงด้วยความซับซ้อน

“อาลัยอาวรณ์หรือ” เห็นหนิงเหยียนเมื่อได้สติมามีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ สวี่ชิงแปลกใจนัก

“เปล่า…” หนิงเหยียนขณะที่เนื้อตัวสั่นเทาก็รีบมองไปทางสวี่ชิง ในดวงตาฉายความซาบซึ้งอย่างชัดเจน

“ศิษย์พี่สวี่ บุญคุณช่วยชีวิตครั้งนี้ หนิงเหยียนชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันลืม! ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่…”

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง ถามขึ้นมา

เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจำตัวตนของเขาที่ต้นสิบลำไส้ได้หรือไม่

แต่ว่าไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ ความจริงก็ล้วนไม่สำคัญ อย่างไรเสีย เรื่องใหญ่ที่พวกเขาทั้งสี่คนร่วมกันลงมือ หากเล่าลือออกไป ไม่ว่าใครก็จบไม่สวยทั้งนั้น

“เอ๋” หนิงเหยียนลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำ

“ศิษย์พี่สวี่ชิง ข้ามาทำภารกิจที่มณฑลประกายอรุณ ถูกบุปผาสราญใจพวกนี้จับได้ ขังเอาไว้อยู่นาน…”

“ดังนั้นเจ้าไม่รู้เรื่องที่เขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนี้อย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงมองไปทางหนิงเหยียน

หนิงเหยียนอึ้งตะลึง เขาไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ความจริงการวิเคราะห์ของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย เขาถูกส่งข้ามตกมาที่นี่ เดิมคิดจะจากไป แต่กลับมาเจอกับบุปผาสราญใจ

ทีแรกบุปผาสราญใจนั่นยังเป็นดอกเล็กๆ พลังธรรมดาๆ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไม ดอกไม้ดอกนั้นจากเวลาที่ผ่านไปก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แรงดูดก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…เขาจึงไม่อาจสลัดได้หลุด ถูกดูดจนถึงตอนนี้

จากสีหน้าของหนิงเหยียน สวี่ชิงก็มองคำตอบออก

‘ท่าทางเขายังเดาไม่ได้ว่าเป็นข้า…’ สวี่ชิงไม่พูดอะไรมา เดินไปข้างหน้า

หนิงเหยียนใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เขากลัวสวี่ชิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้เห็นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยิ่งกลัวมากกว่าเดิมจากสัญชาตญาณ เขาสามารถสัมผัสได้เลาๆ ว่าสวี่ชิงเหมือนจะแข็งแกร่งน่ากลัวยิ่งกว่าในความทรงจำของเขามาก จึงรีบตามหลังสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง

“ศิษย์พี่สวี่ชิง…พวกเราจะไปไหนหรือขอรับ” หนิงเหยียนถามเสียงแผ่วเบาด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

“ไปเขาประกายอรุณ” สวี่ชิงที่อยู่หน้าหนิงเหยียนส่งเสียงสงบนิ่งมา

เวลาก็ค่อยๆ หมุนไปเช่นนี้เอง จากการเคลื่อนไปข้างหน้าของสวี่ชิงและหนิงเหยียน พวกเขาก็เข้าใกล้เขาประกายอรุณมาเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน วิกฤตอันตรายของเขาประกายอรุณก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญ

ท่ามกลางฟ้าดินปั่นป่วนอื้ออึง หนามสีดำมากมายก็พุ่งออกมาจากทั่วทุกทิศของเขาประกายอรุณ โจมตีไปบนค่ายกลเขาประกายอรุณ

การโจมตีอันดุเดือดทำให้ค่ายกลสั่นไหวรุนแรง เกิดเสียงระเบิดรัวเป็นชุดสะท้อนก้อง

เมื่อกวาดตาไป บนค่ายกลเขาประกายอรุณตอนนี้ หนามแหลมสีดำอย่างเมื่อครู่มีจำนวนมหาศาล มากถึงหลายพันอัน

และการแทงมาของพวกมันทำให้ค่ายกลเขาประกายอรุณเกิดรอยยแตกร้าวที่ชัดมากยิ่งขึ้น

คล้ายว่าทานทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด