ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 502 ศิษย์น้องเล็ก ข้าอยู่นี่!! (1)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 502 ศิษย์น้องเล็ก ข้าอยู่นี่!! (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 502 ศิษย์น้องเล็ก ข้าอยู่นี่!! (1)

……….

กองทัพข้ามเขตแดน พัดหอบรัศมีอำนาจท่วมท้นทรงพลัง ชั่วร้ายในเขตปกครองผนึกสมุทรถอยหลีก

ท้องฟ้าลมพัดกรีดหวีดก้อง พื้นดินเลื่อนลั่นสนั่นหวั่นไหว ยิ่งมีพลังฆ่าล้างสังหารพวยพุ่งจากในนั้นไม่หยุด

เรือลำมหึมาหลายหมื่นในยามที่โลดแล่นอยู่ในหมู่เมฆ สวี่ชิงไปจากทางหัวทางด้านขวาของชิงฉิน มาถึงยังในเรือลำมหึมาของโถงครองกระบี่ที่อยู่ข้างหน้าสุด

เสี่ยเลี่ยนจื่อก็อยู่ในนี้เช่นกัน

สวี่ชิงมาที่นี่เพื่อถามเรื่องเกี่ยวกับแดนต้องห้ามมรณะโดยเฉพาะ เรื่องนี้ตอนนั้นเป็นเขาที่ค้นพบมือยักษ์ในประตูสัมฤทธิ์ ทำให้สวี่ชิงจำได้อย่างแม่นยำ

“แดนต้องห้ามมรณะไม่เหมือนกับแดนต้องห้ามอื่นๆ ที่ล้วนเกิดจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาสองครั้ง

“จากเอกสารโบราณที่มีบันทึกเกี่ยวกับแดนต้องห้ามมรณะและการสำรวจมาหลายปี เสี้ยวหน้าเทพเจ้าในห้วงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานสิ่งที่มองครั้งแรกคือประตูสำริดโบราณที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลต้องห้าม ทำให้ที่นั่นแปรเปลี่ยนเข้าไป ครั้งที่สองก็มองไปทางประตูบานนี้เช่นกัน

“ความจริงไม่ใช่แค่แดนต้องห้ามที่เป็นเช่นนี้เท่านั้น พื้นที่ต้องห้ามหลายๆ แห่งก็เช่นกัน ล้วนแต่มีวัตถุพิเศษบางอย่างเป็นต้นกำเนิดพลังทั้งนั้น ดังนั้นมีคนวิเคราะห์ว่าทุกครั้งที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาคล้ายกำลังหาวัตถุอะไรบางอย่าง แน่นอน ก็มีคนวิเคราะห์เเหมือนกันว่าเสี้ยวหน้าเทพเจ้ากำลังคัดเลือก รายละเอียดเป็นเช่นไร สุดท้ายก็ยังไม่รู้”

หากเป็นคนอื่นถามเสี่ยเลี่ยนจื่อไม่มีทางพูดละเอียดขนาดนี้ แต่หากเป็นสวี่ชิงก็ไม่เหมือนกันแล้ว

เขาเอ่ยเนิบนาบ บอกข้อมูลที่ตัวเองรู้ทุกอย่างกับศิษย์หลานที่ตัวเองชื่นชอบที่สุดข้างหน้าคนนี้

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เขานึกถึงตอนนั้นที่ตัวเองใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดสำนัก มองเห็นพิณโบราณเก่าโทรมในพื้นที่ต้องห้ามฐานที่มั่นคนเก็บกวาด มณฑลปักษาสวรรค์ทักษิณตัวนั้น

“ส่วนจักรพรรดิแดนต้องห้ามมรณะความจริงก็คือร่างชีวิตของประตูสำริดโบราณที่แปลงมาจากจากพลังที่แผ่ออกมาจากในพื้นที่ต้องห้ามมาเนิ่นนานหลายปีผสานไปในไอพลังประหลาด

“นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประตูสำริดโบราณเกิดรอยแยกมันถึงไม่มีแรงต้านทานใดๆ ก็ถูกกลืนกิน ความจริงในระดับหนึ่งเจ้าจะมองแดนต้องห้ามเป็นทุ่งหญ้าเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ก็ได้”

เสี่ยเลี่ยนจื่อมองสวี่ชิง เอ่ยเสียงแหบแห้ง

“เพียงแต่เจ้าของทุ่งหญ้าเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ที่เห็นภายนอกก็แค่ดูแลแทนก็เท่านั้น มันเองก็เป็นลูกแกะเช่นกัน เจ้าของทุ่งหญ้าเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ที่แท้จริงกำลังหลับใหลอยู่

“พวกมันล้วนกำลังรอ รอเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามองไปครั้งที่สาม ตื่นขึ้นอย่างอย่างแท้จริงท่ามกลางการอาบแสงสายตาครั้งที่สาม ทำให้พื้นที่ที่อยู่กลายเป็นแผ่นดินเทวะ”

คำอธิบายเช่นนี้ สวี่ชิงได้ยินเป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาเงียบนิ่งก็พลันเอ่ยขึ้นมา

“เช่นนั้นแดนต้องห้ามปักษาราชันล่ะขอรับ”

“แดนต้องห้ามปักษาราชัน…ต่างออกไป” เสี่ยเลี่ยนจื่อส่ายหน้า

“ต้นกำเนิดของแดนต้องห้ามปักษาราชันไม่ใช่วัตถุแต่เป็นตัววิหคเพลิงสวรรค์ และวิหคเพลิงสวรรค์ไม่จำเป็นต้องหลับ เดิมมันก็ตื่นอยู่แล้ว

“วิหคเพลิงสวรรค์จะรอเทพเจ้าลืมตาครั้งที่สาม หรือจะไม่รอ อาศัยตัวเองยกระดับก็ได้

“ดังนั้นวิหคเพลิงสวรรค์ ไม่เหมือนกัน”

“แกว๊ก!” นอกเรือลำมโหฬาร เสียงหยิ่งทะนงของชิงฉินดังมา

สวี่ชิงประหลาดใจ หันไปมองชิงฉินที่อยู่ข้างนอกเรือ

ชิงฉินไม่ได้บิน มันขี้เกียจยู่นิดๆ ดังนั้นกรงเล็บทั้งสองข้างของมันต่างคว้าเรือยักษ์เอาไว้ข้างละลำ ห้อยอยู่ข้างล่างเหมือนยืนกลับหัว หัวทั้งสามส่ายไปส่ายมากลืนกินหมอกเมฆ

สังเกตถึงสายตาของสวี่ชิง หัวข้างขวาของมันผงกขึ้นมา ในดวงตาฉายระลอกคลื่นอารมณ์ไม่พอใจ

ท่าทางแบบนี้ สวี่ชิงมองออกแล้ว

เขารู้ว่าชิงฉินอยากสังหารล้างเผ่า…

“ผู้อาวุโสพวกเราไม่รีบร้อน มีโอกาสแน่นอน” สวี่ชิงรีบปลอบ

หัวขวาของชิงฉินคราวนี้ถึงได้ห้อยลง กลืนกินเมฆหมอกที่ทำให้เป็นนกจืดชืดได้ หน้าตาท่าทางเหม่อลอยว่างเปล่า

เสี่ยเลี่ยนจือสังเกตเห็นภาพฉากนี้ คล้ายครุ่นคิดอะไร ถอนหายใจอย่างสะท้อนใจออกมา

“อาจารย์ของเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถ ชั่วชีวิตนี้รับเจ้ากับศิษย์พี่หญิงของเจ้าสองคนนี้เป็นวาสนาของเขา และก็เป็นวาสนาของพวกเจ้าเช่นกัน ดังนั้นเจ้าจะต้องมีชีวิตให้ดี เติบโตมาให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องขบคิด ฉวยโอกาสที่ข้าตาแก่คนนี้ยังกระโดดโลดเต้นได้ ข้าจะเป็นผู้คุ้มครองเจ้าเอง!”

เสี่ยเลี่ยนจื่อมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ความชื่นชมในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน

“เอ๋ ข้ากับศิษย์พี่หญิง ไม่ใช่ว่ายังมีศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สามของข้าด้วยหรอกหรือขอรับ” สวี่ชิงอึ้ง

“พวกเขาหรือ หึๆ ข้าลืมไปแล้ว” เสี่ยเลี่ยนจื่อแค่นเสียงขึ้นจมูก

“ผู้บำเพ็ญเช่นพวกเราจะได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ไม่ได้ ศิษย์พี่สามของเจ้าแต่เดิมก็อยู่ดีๆ อยู่หรอก แต่กลับไปลักลอบคบหากับธิดาเทพของสำนักเซียนล้ำบารมี สุดท้ายหนีงานแต่งงานไม่สำเร็จ ปล่อยให้สำนักเซียนล้ำบารมีจับจุดอ่อนได้ เมื่อปีก่อนถูกพวกเขาลากกลับมาจากนอกทะเล

“ตอนนี้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์มนุษย์ของภายในสำนักเซียนล้ำบารมี เจ้าดูสิว่าเขาน่าอนาถเพียงใด นี่ก็คือจุดจบที่พลังบำเพ็ญไม่พอ!” เสี่ยเลี่ยนจื่อท่าทางโมโหที่เขาไม่เอาเรื่องเอาราว

“หากพลังบำเพ็ญของเขาเพียงพอ เหมือนอย่างอาจารย์ของเจ้า แค่ถลึงตา คู่ฝึกเต๋าหรือคนอื่นๆ ใครบ้างจะกล้าพูดว่าไม่”

สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด มองบรรพจารย์ผาดหนึ่ง ไม่มั่นใจว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายมีความหมายแฝงอะไรหรือไม่

“ตอนนี้เป็นแบบนี้สภาพน่าอเนจอนาถ อาจารย์เจ้าขี้เกียจจะไปช่วย ข้าก็ไม่อยากจะไปเอาตัวกลับมา

“ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคนนั้น…ไม่รู้ทำไมก็เริ่มหื่นกามขึ้นมาเหมือนกัน เมื่อครึ่งปีก่อนเขียนจดหมายมาหาอาจารย์ของเข้า บอกให้อาจารย์เจ้าไปสู่ขอผู้บำเพ็ญชื่อเถาอะไรนั่น งานการไม่ทำ ไม่ทำหน้าที่ผู้ครองกระบี่ให้ดี แล้วก็ไม่รู้จักขยันฝึกบำเพ็ญ รู้จักแต่หื่นกาม!”

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร

“เป็นเจ้าที่ไม่เลว เจ้าต้องจำเอาไว้ พวกเราผู้บำเพ็ญแม้การฝึกบำเพ็ญไม่ได้บอกว่าตัดขาดซึ่งความรัก แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ พลังบำเพ็ญถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“รอเมื่อเจ้าถึงระดับหวนสู่อนัตตา คู่ฝึกเต๋าแบบใดที่หาไม่ได้บ้าง สูงเตี้ยอ้วนผอม ผู้หญิงต่างๆ นานา รังแต่จะเข้าแถวมาให้เจ้าเลือกได้ตามใจ

“ข้าบรรพจารย์คนนี้เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้าเชื่อฟังข้าไว้ไม่มีผิดพลาด เจ้าต้องขยันมุมานะบากบั่น!”

เสี่ยเลี่ยนจื่อสั่งสอนชี้แนะออกมาจากใจจริง

สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ศิษย์พี่รองกับหวงเหยียนทางนั้นไม่ใช่ว่า…”

“นั่นไม่เหมือนกัน!” เสี่ยเลี่ยนจื่อกระแอมทีหนึ่ง กวาดสายตาองชิงฉินที่อยู่ข้างนอก ไม่พูดอะไรอีก

สวี่ชิงแปลกใจเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นสายตาของเสี่ยเลี่ยนจื่อ ในสมองมีภาพที่ตอนนั้นตัวเองใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามเจ็ดเนตรโลหิตมองไปทางหวงเหยียน อีกฝ่ายรู้ตัวภาพนั้นผุดขึ้นมา

ตอนนั้นเขารู้สึกว่าหวงเหยียนไม่ธรรมดาอยู่นิดๆ

‘เหมือนหวงเหยียนจะบอกว่าเขามีสหายอยู่ที่เขตปกครองหลวง ให้เขาคอยดูแลข้า…’ สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ในสมองพลันมีความคิดน่าเหลือเชื่อผุดขึ้นมา ใจกระตุกวูบ มองไปทางชิงฉินโดยสัญชาตญาณ

ก่อนหน้านี้ชิงฉินยอมรับง่ายๆ แบบนั้นทำให้สวี่ชิงไม่รู้มาโดยตลอดถึงสาเหตุ

หลังจากเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็สะกดเรื่องนี้ไว้ในใจ เขาเตรียมหาโอกาสถามชิงฉิน

เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้เอง

กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันภายใต้การจัดการจากโถงครองกระบี่ทำการส่งข้ามเป็นบริเวณกว้าง ทำให้เส้นทางมุ่งหน้าไปยังมณฑลบังคับจำนนสั้นลง ดังนั้นหลังจากนั้นสามวัน กองทัพยิ่งใหญ่ก็อยู่ไกลจากมณฑลบังคับจำนนอีกเพียงสามชั่วยามเท่านั้น

ในสามวันนี้สวี่ชิงคอยอยู่เคียงข้างเสี่ยเลี่ยนจื่อ ได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักช่วงที่ตนไม่อยู่ช่วงนั้น

ขณะเดียวกันเขาก็ไปหาผู้อาวุโสใหญ่ทางนั้นหลายครั้ง บอกเรื่องของแนวหน้าที่ตนได้รู้ และข้อมูลข่าวปัจจุบันที่เกี่ยวกับแดนต้องห้ามอาภรณ์จากกรมอาลักษณ์ที่ตนได้รับ ดำเนินการวางแผนร่วมกับแผนการที่วางเอาไว้

“แดนต้องห้ามอาภรณ์แห่งมณฑลบังคับจำนนอยู่ชายขอบของดินแดนเผ่าอาภรณ์ ที่นั่นไม่ใช่ป่า แต่เป็นชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำตัวใหญ่มโหฬารตัวหนึ่ง

“ชุดสวมใส่สำหรับคนตายตัวนี้แฝงไว้ด้วยความอัปมงคล เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่เข้าไปก็เหมือนเหยียบเข้าไปในโลกแปลกประหลาดมืดมิดที่ตัดขาดกับโลกภายนออกโดยสิ้นเชิง

“ความวุ่นวายครั้งนี้พูดจากแก่นแท้แล้วก็คือการฟื้นตื่นขึ้นของชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำตัวนี้

“ผู้เสียหายกลุ่มแรกความจริงแล้วไม่ใช่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนนกับเผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าอาภรณ์”

“เผ่าอาภรณ์ความจริงแล้วไม่ใช่ชนเผ่าดั้งเดิมของมณฑลบังคับจำนน พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน เมื่อเกิดแดนต้องห้ามอาภรณ์ก็กำเนิดขึ้นมาในนั้น

“พวกมันต่อต้านความตาย ปรารถนาไขว่คว้าความงดงาม ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมของแดนต้องห้ามอาภรณ์ จึงแยกออกมาตั้งเป็นเผ่าเองข้างนอก และด้วยเหตุนี้จึงไม่ถูกกันกับแดนต้องห้ามอาภรณ์”

“ดังนั้น ปกติแล้วสะกดแดนต้องห้ามอาภรณ์คือการกระทำโดยสัญชาตญาณของเผ่าอาภรณ์

“ครั้งนี้มณฑลบังคับจำนนเรียกรวมพลังของทั้งมณฑล ใกล้ผนึกแดนต้องห้ามอาภรณ์เสร็จสิ้นแล้ว จากข้อมูลที่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนนให้มา สถานการณ์ส่วนใหญ่ควบคุมเอาไว้ได้แล้วขอรับ”

เรื่องพวกนี้ข้อมูลเป็นข้อมูลที่สวี่ชิงได้รับโดยผ่านการเรียบเรียงจากชิงชิวแล้ว ส่วนทางผู้อาวุโสใหญ่ทางนั้นก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ยังไม่ครบทุกด้านเหมือนข้อมูลที่รวบรวมจากกรมอาลักษณ์

“เช่นนั้นครั้งนี้มีการช่วยเหลือจากพวกเรา สามารถทำเหมือนกับแดนต้องห้ามมรณะ เร่งความเร็วการผนึกให้สำเร็จเร็วขึ้น” ผู้อาวุโสใหญ่ได้ยินก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

สวี่ชิงพยักหน้า สายตากวาดไปที่ร่างของเทพวิญญาณโยวจิงที่ตัวหดเล็กเท่าคนปกติข้างหลังผู้อาวุโสใหญ่

ในฐานะที่เป็นนักโทษ นางไม่มีอิสระ จึงถูกพามาที่กองทัพใหญ่ด้วย

ตอนนี้สัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ชิง โยวจิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่สนใจ

สวี่ชิงกวาดสายตาไปก็ไม่ได้สนใจ หารือกับผู้อาวุโสใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จากกองทัพที่เข้าใกล้มณฑลบังคับจำนนเข้ามาเรื่อยๆ เขาไปจากเรือยักษ์ กลับมาที่หัวขวาของชิงฉิน

ฉวยโอกาสที่ใกล้จะถึงมณฑลบังคับจำนน สวี่ชิงนึกถึงการคาดเดาของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ จึงถามเสียงเบา

“ผู้อาวุโสชิงฉิน ท่าน…รู้จักหวงเหยียนหรือไม่”

“แกว๊ก” ชิงฉินที่กำลังไซร้ขนให้กัน หัวทั้งสามกะพริบตาปริบๆ ทันที

สวี่ชิงจ้องตามัน ถามหยั่งเชิงไปประโยคหนึ่ง

“ผู้อาวุโสชิงฉิน ไม่เช่นนั้นพวกเราใช้จิตเทพสื่อสารกันดีหรือไม่”

“แกว๊ก!”

ในดวงตาชิงฉินฉายแววไม่พอใจ คล้ายว่ามันยิ่งดื้อดึงที่จะใช้เสียงแกว๊กถ่ายทอดภาษาของตัวเองยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นหัวทั้งสามต่างส่ายหน้า กำลังจะไซร้ต่อ แต่เสี้ยวขณะต่อมา หัวทั้งสามก็พลันขยับ มองไปทางที่ไกล

ไม่ใช่แค่มันที่ทำเช่นนี้เท่านั้น กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันที่อยู่บนฟ้าต่างแผ่ระลอกคลื่นพลังเวทออกมาทันที จับเป้าหมายข้างหน้า

ถึงมณฑลบังคับจำนนแล้ว

เหตุที่ทำให้คนทั้งหลายเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นนี้เพราะกลิ่นอายความตายที่เข้มข้นเป็นอย่างยิ่งพวยพุ่งมาจากพื้นดินมณฑลบังคับจำนน เปลี่ยนสีท้องฟ้า เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

ในความทรงจำของสวี่ชิง พื้นดินของมณฑลบังคับจำนนมีที่ราบเป็นภูมิประเทศโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสถานที่ที่พวกเขาเข้ามาในตอนนี้เป็นพื้นที่ของเผ่าอาภรณ์

และเผ่าอาภรณ์ยึดครองพื้นที่มณฑลบังคับจำนนเกือบสองชั้น การมีตัวตนอยู่ของพวกมันทำให้พื้นดินเปลี่ยนมามีสีสันพร่างพราย งดงามนัก

แต่ตอนนี้…ที่นี่ถูกสีเทาขาวปกคลุมไปแถบหนึ่ง

นั่นเป็นผ้าคลุมศพผืนใหญ่มหึมาผืนหนึ่ง!

มองให้ละเอียด จะเห็นว่าผ้าคลุมศพผืนนี้ประกอบจากเผ่าอาภรณ์นับไม่ถ้วน พวกมันผสานไว้ซึ่งกันและกัน รวมเป็นผ้าคลุมศพผืนมหึมาเช่นนี้

มีเสื้อ กางเกง หมวก ถุงมือ เสื้อผ้าต่างๆ มีทั้งนั้น แต่กลับไม่มีสีสัน รวมเป็นสีเทาขาว

ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวแผ่ออกมาจากผ้าคลุมศพผืนนี้ ส่งผลกระทบต่อท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าที่นี่มืดสลัว เหมือนสีของศพเน่าเปื่อย ทำให้คนเกิดความรู้สึกกดดันอย่างไม่อาจควบคุมได้

และสีเทาขาวบนพื้นแผ่ความเหี่ยวแห้ง แผ่กลิ่นอายความตายเข้มข้นออกมา กระทั่งว่าเมื่อกวาดประสาทสัมผัสเทพออกไปก็จะพบว่า เผ่าอาภรณ์ที่รวมกันเป็นผ้าคลุมศพผืนนี้ล้วนตายไปหมดแล้ว

นี่คือผ้าที่ต่อขึ้นโดยใช้ร่างของพวกมัน

น่าสยดสยองนัก

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

จากการเข้ามาของกองทัพมณฑลบังคับจำนน ขณะที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุด พวกเขาในที่สุดก็มองเห็นกองทัพที่รวมตัวขึ้นจากเผ่าต่างๆ สำนักต่างๆ ในใณฑลบังคับจำนน

พวกเขามีจำนวนเกินหนึ่งล้าน ภายใต้การบัญชาของโถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนน ต่างกระจายกันอยู่ชายขอบผ้าคลุมศพผืนมหึมาผืนนั้น ในนั้นมีทุกเผ่า ต่างลงแรงสุดกำลัง ใช้พลังบำเพ็ญยกผ้าคลุมศพน่าพรั่นพรึงผืนนี้ขึ้น คลุมไปข้างหน้าช้าๆ

ยิ่งมีของวิเศษเวทต้องห้ามรูปร่างหน้าตาแต่ละชิ้นๆ วนล้อมอยู่บนท้องฟ้า แผ่เส้นออกมาเป็นเส้นๆ เชื่อมกับผ้าคลุมศพ ยกขึ้นสุดกำลัง

และสิ่งที่ถูกพวกเขาคลุมก็คือชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเมื่อเทียบกับมันแล้วก็เหมือนมด เล็กจ้อยไร้ค่า

มีเพียงผ้าคลุมศพใหญ่โตผืนนั้นที่เด่นที่สุด

ตอนนี้ขณะที่คลุม ก็คลุมไปบริเวณอกเสื้อของชุดสวมใส่สำหรับคนตายแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาหลายสิบคน ภายใต้การบัญชาของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ ก็กำลังใช้พลังวิเศษพลังเวททำการโจมตีชุดสวมใส่สำหรับคนตาย

สิ่งที่พวกเขาประมือด้วยคือเงาร่างเหี้ยมเกรียมเป็นร่างๆ ที่แปลงมาจากไอพลังสีดำที่แผ่ออกมาจากชุดสวมใส่สำหรับคนตาย

ในนั้นมีเงาร่างของทุกเผ่า สวมชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำเหมือนกัน แผ่ไอพลังน่าครั่นคร้าม

และข้างล่าง ชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำก็เหมือนหุบเหวลึก ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวชั่วร้าย ไอพลังสีดำนับไม่ถ้วนบิดม้วน คล้ายว่าดิ้นรนสุดกำลัง

เสียงคำรามต่ำทุ้มที่สั่นสะท้านจิตใจเป็นระลอกๆ ดังออกมาจากในนั้น ขณะที่สะท้านสะเทือนฟ้าดินก็มาพร้อมด้วยลมหายใจออก

ทุกครั้งของลมหายใจล้วนเป็นการระเบิดของหมอกดำความตาย ทุกที่ที่พาดผ่าน ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาเหล่านั้นจำต้องหลบหลีก และผ้าคลุมศพในเวลานี้ก็จะกระพือสั่นไหวขึ้นมา

นี่ก็คือผนึกที่เกิดขึ้นจากการรวมพลังทั้งมณฑลของมณฑลบังคับจำนน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด