ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 503-2 นรกในโลกมนุษย์ (2)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 503-2 นรกในโลกมนุษย์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 503 นรกในโลกมนุษย์ (2)

……….

ภาพนี้สั่นสะท้านจิตใจ ในยามที่ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่นี่ใจสั่น เส้นผมของพวกเขาก็สะบัดปลิว ผิวเกิดรอยยุบลงไปมากมาย กระทั่งว่าคนที่พลังบำเพ็ญไม่พอบางคน เลือดในร่างซึมออกมา กลายเป็นมนุษย์เลือด

ดีที่ไม่เกิดการตายขึ้น

ภาพนี้ทำให้ทุกคนต่างสูดลมหายใจลึก ยิ่งสังเกตเห็นต้นดำเนิดของทุกอย่างนี้

สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจากบนฟ้า แต่มาจากบนพื้นดิน

นั่นเป็นค่ายกลส่งข้ามขนาดมหึมาที่ปกคลุมพื้นที่รัศมีหนึ่งร้อยลี้

ค่ายกลนี้กำลังโคจร!

ความแข็งแกร่งของการระเบิดประเภทนี้ทำให้ทุกคนต่างหายใจหอบถี่ นอกจากในตอนที่สงครามเพิ่งเริ่มแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีพลังที่สั่นสะท้านจิตใจเช่นนี้อีกเลยจริงๆ

สิ่งที่ทำให้ค่ายกลส่งข้ามมีปฏิกริยาเช่นนี้มีเพียงการส่งข้ามขั้นสุดยอดที่แบกรับน้ำหนักจนถึงขีดสูงสุด!

นี่หมายถึงว่าจำนวนที่ส่งข้ามมามีจำนวนมากถึงหลายแสน

“นี่เป็นไปได้อย่างไร!”

“ตอนนี้เผ่าเรากับเผ่ามนุษย์อยู่ที่แนวหน้าสถานการณ์ซับซ้อน กำลังเหลือของเผ่ามนุษย์ไม่มีทางมีกำลังทหารเหลือมาแน่นอน หรือจะเป็นต่างเผ่า”

“ต่อให้เป็นต่างเผ่า ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็น้อยมาก เผ่าเราประกาศกับทุกเผ่าที่ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วว่า หลังจากที่ฝ่ายเราโจมตียึดได้แล้ว ผลประโยชน์ของทุกเผ่ายังคงเหมือนเดิม!”

“สถานการณ์เช่นนี้ต่างเผ่าเผ่าใดที่จะยกกันมาทั้งเผ่าได้!”

องครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายพันตนรอบๆ ที่เดิมคิดจะถอยหนีต่างหน้าเปลี่ยนสี ในขณะที่จิตใจสั่นสะท้านพวกเขาก็มองไปที่แสงสะท้านฟ้าที่ปะทุออกมาจากค่ายกลส่งข้ามร้อยลี้นั่น

แสงนี้แสบตามาก พร่างพรายเป็นอย่างยิ่ง สาดส่องท้องฟ้าราตรีให้สว่างไสวราวกับกลางวัน

ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางประกายแสงพร่างพรายนี้ เสียงระเบิดเลื่อนลั่นกึกก้องเดี๋ยวเบาเดี๋ยวดัง ตามกฎเดียวกัน แผ่มาจากค่ายกลไปทั่วทั้งแปดทิศ

“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะให้พวกมันโคจรค่ายกลนี้สำเร็จไม่ได้!”

“องครักษ์ชุดดำทุกนาย โจมตีทุกด้าน ขัดขวางการส่งข้าม!”

จากคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์ชุดดำ องครักษ์ชุดดำหลายพันตนต่างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที ตรงดิ่งไปยังค่ายกล

“ต้านทานสุดกำลัง ใครก็ตามที่เข้าใกล้ค่ายกล ฆ่า!” ดวงตาหงส์ของเหยาอวิ๋นฮุ่ยจ้องเพ่ง ออกคำสั่งเสียงดุดัน ตัวเองยิ่งพุ่งออกไปขัดขวางหัวหน้าองครักษ์ชุดดำ

และในยามที่ค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่เปิดออกก็จะมีพลังกดดันของตัวมันเอง พลังกดดันนี้นอกจากจะมาจากค่ายกลแล้ว ยังอาศัยพลังของการส่งข้ามด้วย

เช่นนี้แล้วถึงจะรับประกันว่าการส่งข้ามไม่มีปัญหา

แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวกับที่องครักษ์ชุดดำพวกนี้พุ่งมาแล้วถูกผู้บำเพ็ญวังอาญาขวางเอาไว้ ในค่ายกลก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวสะเทือนสะท้านฟ้าดินดังมา ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมๆ เงาร่างร้อยกว่าร่างก็ปรากฏขึ้นในนั้น

สิ่งที่องครักษ์ชุดดำวิเคราะห์นั้นถูกต้อง แต่ก็ผิดเช่นกัน

ที่ถูกคือมีผู้บำเพ็ญหลายแสนกระทั่งมากกว่านั้นส่งข้ามมา และที่ผิดคือนี่เป็นกลุ่มแรก ล้วนเป็นระดับหวนสู่อนัตตาทั้งหมด!

การมาเยือนของผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาร้อยกว่าคนทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก มิติรอบๆ ล้วนกำลังสั่นสะท้าน แผ่นดินยิ่งเกิดรอยแยกเป็นระลอกๆ

ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ชุดดำหรือวังอาญา หรือจะเป็นกองทัพพันธมิตรต่างเผ่า ต่างดวงตาเบิกกว้างทั้งหมด จิตใจสั่นสะท้านอย่างหนัก

“นี่…นี่…”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”

“กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์!”

องครักษ์ชุดดำทั้งหมดต่างหนังศีรษะชาหนึบ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลโดยสมบูรณ์ ขณะที่ในหัวมีเสียงฟ้าผ่าก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้บำเพ็ญวังอาญาล้วนตื่นเต้นฮึกเหิมจนถึงขีดสุด

“กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์!”

“ทัพเสริมมาถึงแล้ว!”

“ในที่สุดทัพเสริมก็มาถึงแล้ว!!”

ความทุกข์ยากบำบากของหนึ่งเดือน จากความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่ไม่ได้อยู่แนวหน้าแค่อยู่ในเขตสงครามเท่านั้นก็พอจะมองออกนิดๆ แล้ว ความยากลำบากของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องสะกดความสิ้นหวังที่ผุดขึ้นมาในใจลงไปอยู่เรื่อยๆ ถึงจะสามาถยืนหยัดต่อไปได้

ตอนนี้กระทั่งว่ามีคนร้องไห้แล้ว ส่งเสียงคำรามอย่างซาบซึ้ง

เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็ซาบซึ้งเช่นกัน สีหน้าฉายแววเหม่อลอยเล็กน้อย

เดิมนางคิดว่าไม่มีทางมีทัพเสริมมา เดิมนางคิดว่าสงครามครั้งนี้สุดท้ายมีเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น

และพวกเขาก็ล้วนคิดเช่นนี้เหมือนกัน จินตนาการได้ว่าเหล่านักรบที่อยู่ท่ามกลางความเป็นตายทุกเวลาที่แนวหน้าเหล่านั้น หลังจากนี้ไม่นาน เสี้ยวพริบตาที่ได้เห็นกองทัพเสริมระดับความดีใจจะต้องเป็นสิบเท่าร้อยเท่าของผู้บำเพ็ญที่นี่อย่างแน่นอน

เสี้ยวพริบตาต่อมา บนค่ายกลส่งข้าม บรรพจารย์สำนักต่างๆ จากมณฑลบังคับจำนนและมณฑลรับเสด็จราชันก็เหาะเหินออกมาจากทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว บางคนยกมือกวาด ฟ้าดินถล่มทลาย องครักษ์ชุดดำเหล่านั้นแต่ละคนเหมือนเยื่อกระดาษ อ่อนด้อยเหลือประมาณ แตกสลายระเบิดกลายเป็นดอกไม้เลือดเนื้อเป็นดอกๆ

เหมือนว่าการมาถึงของกองทัพเสริมส่งคำอวยพรมาให้

จากนั้น ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาหลายร้อยคนก็กระจายมาตรวจสอบค่ายกลส่งข้าม หลังจากมั่นใจว่ารอบๆ ปลอดภัย ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญที่คุ้มกันอยู่รอบๆ ค่ายกลก็ส่งเสียงกึกก้องขึ้นอีกครั้ง

ไม่นานนัก เงาร่างของกองทัพหลายแสนก็ลงมาเยือน

การปรากฏตัวของพวกเขา พลังที่รวมด้วยกันแล้วแผ่ออกมาทรงพลังรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ท้องฟ้ามีเสียงสายฟ้าดังเลื่อนลั่น ฟาดผ่าไปรอบๆ ไม่หยุด สะท้านสะเทือนฟ้าดิน

ยังไม่จบแค่นี้ ขณะที่กองทัพหลายแสนนี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากการกะพริบแสงวูบวาบของค่ายกลก็มีเงาร่างของกองทัพอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือน

สะท้านฟ้าสะเทือนปฐพี!

จวบจนเมื่อกองทัพหลายล้านของสองมณฑลปรากฏขึ้นแล้ว เงาร่างของนายกองและคนอื่นๆ ก็ลงมาเยือนที่นี่ แต่ตอนนี้ประกายแสงค่ายกลก็ยังคงกะพริบวูบวาบ หลอมรวมเงาร่างสุดท้ายออกมา

ขณะที่เงาร่างนี้ก่อเค้าร่างอยู่ตลอด ทุกคนบนค่ายกลก็ถูกสั่งให้ออกไป นายกองรวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

หลังจากทั้งค่ายกลว่างโล่งแล้ว ผู้บำเพ็ญหลายล้านของทั้งสองมณฑลบนท้องฟ้า ภายใต้ความเคร่งขรึมของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ทั้งสอง ทุกคนต่างสีหน้าจริงจังขึ้นมาตามสัญชาตญาณ พวกเขามองไปทางค่ายกล รอให้เงาร่างในค่ายกลหลอมรวม

ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายของวังอาญาที่อยู่รอบๆ สีหน้าเคร่งขรึม เหยาอวิ๋นฮุ่ยที่เดิมจะก้าวขึ้นไปต้อนรับและคารวะทำความเคารพฝีเท้าก็ชะงักไปเช่นกัน มองไปยังเงาร่างเพียงร่างเดียวในค่ายกลส่งข้ามบนพื้นอย่างอดไม่ได้

ท่ามกลางความเลือนราง นางรู้สึกค่อนข้างคุ้น

จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา ท่ามกลางประกายแสงค่ายกลที่กะพริบวูบวาบเจิดจ้า เงาร่างก็นั้นก็ชัดเจนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงยืนอยู่ในนั้น!

แทบจะในพริบตาที่เขาปรากฏขึ้น ผู้บำเพ็ญล้านคนที่อยู่รอบๆ อีกทั้งผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ทั้งสองต่างประสานหมัดโค้งคารวะไปทางสวี่ชิงทางนั้น

ไม่มีคำพูด มีเพียงการโค้งคารวะ

แต่การโค้งคารวะจากคนล้านคน ความแข็งแกร่งจากรัศมีอำนาจที่เกิดขึ้น สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้พื้นที่รกร้างส่งเสียงเลื่อนลั่น ลมสวรรค์กึกก้อง รอบๆ สายอสุนีฟาดผ่า

กระทั่งว่าขณะไร้รูปร่างยังมีพลังโชคชะตาหลอมรวม

สวี่ชิงเงยหน้า ทอดสายตามองทุกอย่างนี้

เขารู้ ตำแหน่งอาลักษณ์ตำแหน่งนี้ความจริงรับการโค้งคารวะนี่เอาไว้ไม่ได้

แต่ตอนนี้ เขาเป็นตัวแทนเจ้าวัง ดังนั้นการคารวะนี้เขาพอจะรับเอาไว้ได้

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผู้บำเพ็ญมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนน ภายใต้การจัดการของเขาได้ถูกปล่อยออกมา มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

ดังนั้น การคารวะนี้เขารับเอาไว้ได้!

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัด โค้งคารวะกลับ

“ขออาลักษณ์สวี่สั่งการแทนท่านเจ้าวัง!” บนท้องฟ้า ผู้อาวุโสใหญ่มณฑลรับเสด็จราชันเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“กองทัพเสริมมณฑลรับเสด็จราชัน มณฑลบังคับจำนน เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปยัง…แนวหน้าเขตตะวันตก!” สวี่ชิงเงยหน้า ชูป้ายของเจ้าวังขึ้นสูง เอ่ยเสียงดัง

“น้อมรับบัญชา!”

คนหนึ่งล้านต่างคำรามเสียงต่ำทุ้ม

เหยาอวิ๋นฮุ่ยที่อยู่ไกลๆ ทั้งคนอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น ในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่า สีหน้าเหม่อลอย ทุกอย่างเบื้องหน้าเหมือนหายไปหมด เหลือเพียงในค่ายกล เงาร่างเหยียดตรงที่ได้รับการโค้งคารวะจากคนล้านคน

ความทรงจำสลักลึกไปในใจ

กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์มณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนน ไม่ได้หยุดที่มณฑลสวนพิรุณ ในเสี้ยวขณะที่ส่งข้ามออกมา หลังจากที่สวี่ชิงออกคำสั่งแทนเจ้าวังแล้ว กองทัพแสนยาล้านคนก็เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

มุ่งหน้าไปยังแนวหน้าเขตตะวันตกในเขตสนามรบแห่งนี้ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เหยาอวิ๋นฮุ่ยและผู้บำเพ็ญวังอาญา พวกเขามีภาระหน้าที่ของตัวเองอยู่ จึงไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่หลังจากที่กองทัพแสนยานุภาพจากไปไกล คนทั้งหลายที่อยู่ที่ค่ายกลส่งข้ามร้อยลี้ ระลอกคลื่นในใจก็ยังคงยิ่งใหญ่อยู่อย่างนั้น ไม่อาจลบเลือนหายไป

โดยเฉพาะเงาร่างที่เดินออกมาจากค่ายกลส่งข้ามเป็นคนสุดท้าย ได้รับการโค้งคารวะจากผู้บำเพ็ญล้านคน ในใจของพวกเขาทุกคน สลักเอาไว้อย่างลึกซึ้ง

“นั่นก็คืออาลักษณ์ของเจ้าวังครองกระบี่…”

“สวี่ชิง!”

“ได้ยินว่าสวี่ชิงคนนี้กับหัวหน้าเหยา…มีเรื่องขัดแย้งกัน”

แม้ระดับความสนใจในตัวสวี่ชิงของผู้บำเพ็ญวังอาญาจะไม่สู้วังครองกระบี่ แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง

โดยเฉพาะช่วงก่อนสงคราม เนื่องจากเจ้าวังครองกระบี่รับหน้าที่แทนเจ้าเขตปกครอง สวี่ชิงยืนอยู่ข้างๆ เขา ย่อมได้รับการจับจ้องจากทั้งเขตปกครอง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็สู้ความสะท้านสะเทือนที่มาจากภาพนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้

และตอนนี้ก็มีคนนึกถึงข่าวลือการไม่ลงรอยกันของสวี่ชิงกับเหยาอวิ๋นฮุ่ย จึงแอบมองไปทางนาง

เหยาอวิ๋นฮุ่ยเงียบนิ่ง

ในใจของนางเกิดระลอกคลื่นเป็นระลอกๆ เรื่องในอดีตต่างๆ ลอยปรากฏขึ้นข้างหน้า หลังจากที่ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด ก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน

จวบจนครู่หนึ่ง นางสะกดระลอกคลื่นในใจ ออกคำสั่งกับผู้บำเพ็ญวังอาญาที่อยู่รอบๆ

“คุ้มกันค่ายกลส่งข้ามที่นี่อย่างเข้มงวด!”

ฐานะตำแหน่งกับพลังบำเพ็ญ ตลอดจนประสบการณ์ในช่วงนี้ ทำให้บนร่างของเหยาอวิ๋นฮุ่ยมีอำนาจความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ตอนนี้จากคำสั่ง คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างก้มหน้ารับคำ เก็บอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการมาเยือนของกองทัพลงไป

แต่การมาถึงของกองทัพก็ยังคงทำให้พวกเขามีความหวังในสงครามครั้งนี้

ความหวังนี้เหมือนไฟ ลุกไหม้มณฑลสวนพิรุณ และลุกโหมที่มณฑลเผชิญคลื่น ยิ่งเริ่มส่องประกายเจิดจ้าในแนวหน้าเขตตะวันตก

และที่แนวหน้าเขตตะวันตกตอนนี้ หลังจากที่เผ่ามนุษย์และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ผ่านสงครามที่มีระยะเวลาสิบสามวัน ทั้งสองฝ่ายก็หยุดพักจัดระเบียบกันชั่วคราว

กวาดสายตามองไป สนามรบมีรอยแยกมหึมาทางหนึ่งที่ใต้เทือกเขาคลื่นนภาห่างออกไปหนึ่งหมื่นลี้ ถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน

สุดปลายหมื่นลี้นอกรอยแยกคือเทือกเขาคลื่นนภา ที่นั่นเดิมเป็นประตูที่สามของมณฑลเผชิญคลื่น

ในอดีต พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกเทือกเขา สกัดกั้นไว้ด้วยหลุมลึกเนตรสวรรค์และที่ราบเก้ามณฑล ถึงจะเป็นดินแดนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

แต่ตอนนี้มองจากท้องฟ้ามา เทือกเขาคลื่นนภาเหมือนมังกรยักษ์ที่ไม่อาจดิ้นรน นอนอยู่ตรงนั้น จำต้องสยบศิโรราบหายใจรวยริน

จากภาพรวมจะเห็นได้ว่ามีพื้นที่หลายแห่งเสียหาย มีภูเขาจำนวนไม่น้อยที่พังถล่ม เกิดควันสีดำลอยคลุ้ง

ยิ่งมีเศษชิ้นส่วนอาวุธเวทจำนวนมหาศาลเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกทิศ

นั่นคือร่องรอยของสงคราม

ที่นี่ เดิมเป็นแนวป้องกันที่สามในการต่อต้านเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน จากการที่บางส่วนของของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรแหลกสลาย ที่นี่…ก็ถูกตีแตกแล้ว

กองทัพเผ่ามนุษย์จึงจำต้องถอยไปหมื่นลี้ อาศัยตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามก่อตัวขึ้นใหม่ ปกป้องคุ้มครองอยู่ที่แนวป้องกันที่สี่

ดังนั้น เทือกเขาคลื่นนภาตอนนี้ไม่มีเผ่ามนุษย์ ที่มีคือกองทัพมหาศาลเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่สวมชุดเกราะ

จำนวนมีไม่น้อยว่าหลายล้าน กระทั่งว่าในพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดลูกหูลูกตาข้างหลังเทือกเขา ยังสามารถเห็นกระโจมค่ายทหารราบมากมาย

ในนั้นไม่ได้มีเพียงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังมีเผ่าที่ถูกจับมาเป็นทาสมากมายในแดนดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์

ส่วนเทือกเขาคลื่นนภา เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในครึ่งเดือนนี้ก็ทำการเปลี่ยนแปลง สร้างสิ่งก่อสร้างอีกนับไม่ถ้วน สร้างเจดีย์แหลมสูงจำนวนหลายล้าน

สายฟ้าแต่ละทางๆ แล่นอยู่ที่ปลายเจดีย์ ก่อเป็นตาข่ายสายฟ้าผืนใหญ่ ปกคลุมไปทั่วสารทิศ

ในนั้นประเดี๋ยวๆ ก็มีสายฟ้าถูกเหนี่ยวนำถึงไปกลางอากาศ หายไปในท้องฟ้า ส่งเสียงฟ้าร้องกึกก้อง และวาดเค้าร่างเมฆหมอกดำทะมึนออกมาอย่างชัดเจน เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานับไม่ถ้วนประเดี๋ยวเลือนราง ประเดี๋ยวปรากฏในเมฆหมอกบนท้องฟ้า

สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาพวกนั้น ทุกตัวล้วนมีขนาดพันจั้ง รูปร่างสี่เหลี่ยมรูปว่าวเป็นระเบียบนัก ที่ตรงกลางมีดวงตาข้างเดียวสีแดง

จำนวนไม่น้อยกว่าแสน

พวกมันมีตัวตนอยู่ในเมฆหมอกบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต แผ่ปรากฏไปบนสนามรบแนวหน้า ขณะที่แผ่พลังสะกดน่าหวาดกลัวเป็นระลอกๆ ออกมา ก็มีเสียงโคจรวู้มๆ เหมือนสัตว์ยักษ์คำราม ดังก้องมาอยู่ตลอด

ทุกที่ที่เสียงพาดผ่า มิติบิดเบี้ยว ทุกทิศรางเลือน ประดุจเทพเจ้าพึมพำ

พวกนี้ก็คือของวิเศษเวทสงครามที่เผ่าฟ้าทมิฬมอบให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

เสียงโคจรของพวกมันทำลายจิตใจได้ พลังกดดันที่พวกมันแผ่ออกมาสามารถบดขยี้เลือดเนื้อ วิชาเวทที่พวกมันปลดปล่อยออกมาสามารถทำลายแปดทิศได้

และที่อันตรายที่สุดคือผู้เก็บเกี่ยวที่พวกมันปล่อยออกมา

นั่นเป็นตัวตนแปลกประหลาดที่มองไม่เห็นไม่อาจรับรู้ได้ พวกมันปรากฏตัวบนสนามรบ ประดุจทูตแห่งความตายแบกเคียว สร้างการบาดเจ็บล้มตายให้กับเผ่ามนุษย์อย่างมหาศาล

การลงมือของพวกมันไม่ใช่แค่ทำศึกสงครามอย่างเดียว แต่รวมถึงการซุ่มโจมตีด้วย

ไอพลังประหลาดที่แผ่ออกมาจากในตัวพวกมันไม่เหมือนกับพื้นที่ต้องห้าม แดนต้องห้าม

นั่นเป็นการทำให้แปดเปื้อนอย่างสาหัสสำหรับเผ่ามนุษย์โดยเฉพาะ

เผ่ามนุษย์ที่อยู่ในบริเวณของผู้เก็บเกี่ยว มักจะลงมือไม่กี่ครั้งก็ร่างกายแห้งเหี่ยว สุดท้ายจุดกลายพันธุ์ในร่างก็จะถูกเหนี่ยวนำระเบิด กลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ที่สูญเสียสติปัญญา

และสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเครื่องมือสงครามของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ท้องฟ้าของสนามรบเป็นสีดำ แผ่ความอึมครึม แปรเปลี่ยนเป็นความกดดัน ยิ่งมีหิมะสีดำโปรยปราย

หิมะพวกนี้เป็นเครื่องมืออีกอย่างของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

พวกมันมองเผินๆ คือหิมะ แต่เมื่อมองให้ละเอียดแล้วก็จะพบว่า ในหิมะจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ทุกเกล็ดล้วนมีมือเท้าเรียว มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม

พวกมันมีอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งสามารถอยู่เดี่ยวๆ ก่อเป็นวิชาเวท และสามารถจับกลุ่มกันเองก่อเป็นพลังวิเศษ แผ่ปกคลุมไปในสนามรบ หากมีเผ่ามนุษย์สูดเข้าไปในปาก หรือติดไปบนร่างกายก็จะกลายเป็นพิษร้ายแรง

การเปลี่ยนแปลงของพวกมันกระทั่งว่าสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นอาวุธในมือของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

ป้องกันกันไม่หวาดไม่ไหว

ในเมฆหมอกมีอาวุธเวทสี่เหลี่ยมรูปว่าว ใต้เมฆหิมะดำโปรยปรายมากมาย

แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด

พื้นดินก็ถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีชีวิตขึ้นมา

ดินนับไม่ถ้วนหลอมรวมกับโครงกระดูก ก่อเป็นแขนขาดขนาดมหึมาแต่ละข้างๆ เคลื่อนที่อยู่บนพื้น

และการปรากฏขึ้นของแขนขาดทุกข้าง พื้นดินตรงนั้นจะยุบลงไปส่วนหนึ่ง แล้วเติมเต็มด้วยหิมะสีดำอย่างรวดเร็ว

ในมือของแขนขาดบนพื้นเหล่านี้ยังถือโซ่เหล็กสีดำเอาไว้ด้วย

จำนวนของโซ่เหล็กมีมหาศาล ยืดขยายไปในท้องฟ้า ทะลุเมฆหมอก หลอมรวมอยู่เหนือเมฆหมอก

สุดปลายขอบฟ้าเหนือเมฆหมอกมีคลื่นวนสีดำขนาดมหึมาลูกหนึ่ง

คลื่นวนลูกนี้ดูแล้วเหมือนดวงอาทิตย์ ขณะหมุนวนเสียงดังครืนครันเลื่อนลั่น โซ่เหล็กที่ยืดมาจากพื้นดินล้วนลึกเข้าไปในคลื่นวน

จากการลากของแขนที่ขาดบนพื้น โซ่เหล็กส่งเสียงเคร้ง เหมือนว่ามีตัวตนอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังถูกลากออกมาช้าๆ

กลิ่นเหม็นเป็นระลอกๆ แผ่ออกมาจากในคลื่นวน ก่อเป็นเมฆดำจำนวนมากยิ่งขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นหิมะสีดำเข้มข้น โปรยปรายอยู่ตลอด

ในยามที่กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนนเข้ามาใกล้พื้นที่แนวหน้า ส่งคำขอคำสั่งไปให้กรมสั่งการที่อยู่แนวหน้า รอคำสั่งอนุมัติให้เข้ามาใกล้ สนามรบเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเห็นก็เป็นเช่นนี้

สวี่ชิงอยู่ข้างหน้ากองทัพ ทอดสายตามองทุกอย่าง ในใจเกิดระลอกคลื่นลูกยักษ์ ขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนบนสนามรบ

เขาศพทะเลเลือด โครงกระดูกราวป่า

สวี่ชิงชีวิตนี้สังหารมามากมาย แต่ต่อให้เป็นเขาตอนนี้เมื่อเห็นสนามรบแห่งนี้ ก็หวั่นไหวกับสิ่งที่เห็นทุกอย่างนี้ไปเช่นกัน

โครงกระดูกมากมายมหาศาลนัก

แทบจะกว่าครึ่งล้วนไม่อาจประกอบกันได้ สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาคือเลือดเนื้อ สิ่งที่จมูกได้กลิ่นคือกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง

สงครามเหมือนโม่ฟ้าดิน ภายใต้การบดขยี้ซึ่งกันและกัน สรรพชีวิตที่อยู่ในนั้นล้วนยากจะหนีเคราะห์ภัย

เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาในความทรงจำของสวี่ชิงก็เป็นนรกในโลกมนุษย์แล้ว แต่เทียบกับที่นี่แล้วไม่มีค่าที่จะให้พูดถึงเลย

ที่นี่ถึงจะเป็นนรกในโลกมนุษย์ของจริง

พวกนายกองที่อยู่ข้างๆ เขา ภายใต้การทอดสายตามองไปต่างเงียบนิ่งไปเช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด