ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 504 โลกใบนี้มันกินคน (1)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 504 โลกใบนี้มันกินคน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 504 โลกใบนี้มันกินคน (1)

ผ่านไปครู่ใหญ่ สวี่ชิงมองแนวป้องกันเผ่ามนุษย์ในสนามรบฝั่งตน

ตาข่ายสีทองที่เชื่อมระหว่างฟ้าดิน ราวกับเป็นม่านยักษ์ที่ถูกตัดเหนือสนามรบ

ไม่ว่าจะบนท้องฟ้า บนพื้นดิน วิธีการทั้งหมดของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ถูกตาข่ายยักษ์สีทองสกัดไว้ด้านนอกแนวป้องกันที่สี่ของเผ่ามนุษย์

ม่านยักษ์สีทองนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ใช่แค่เชื่อมระหว่าวฟ้าดิน ก็ยังทอดยาวออกไปอาณาบริเวณด้านข้างไม่รู้จบ

หากมีดวงตาที่มองเห็นเขตแดนทั้งหมดของเขตปกครองผนึกสมุทรได้ เช่นนั้นก็จะมองเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน ขณะที่เชื่อมกับทางทิศเหนือของสนามรบก็ครอบคลุมแนวที่ชายแดนระหว่างเขตปกครองผนึกสมุทรและเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดอีกด้วย

และที่นี่ ในตาข่ายสีทอง ในร่องน้ำแนวป้องกันที่สี่ที่เผ่ามนุษย์ขุดไว้นานแล้วสร้างสิ่งป้องกันนับไม่ถ้วนเอาไว้ กระโจมทหารมากมายตั้งเรียงรายอยู่ที่นี่

ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนที่อ่อนระโหยโรยแรงกำลังต่อเติมและป้องกันที่นี่ต่อเนื่อง

อาวุธเวทสงครามที่เหมือนกับหนามแหลมหลายแถวติดตั้งไล่ยาวอยู่ตามขอบร่องน้ำนี้สุดลูกหูลูกตา ชี้ไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

จำนวนมากมายเรือนแสน ตอนนี้กำลังเปล่งแสงเจิดจ้า ทำให้ความว่างเปล่าด้านหน้าเริ่มบิดเบี้ยว กระทั่งปรากฏรอยปริแตกอีกหลายทาง เสียงครืนครันสนั่นหูแทบดับ กึกก้องไม่หยุด

นี่ไม่ใช่เสียงระเบิด แต่เป็นเสียงการสะสมพลัง

การระเบิดของพวกมัน ไม่ใช่วิชาเวทที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ใช้ต้านทานท่วงทำนองพลังที่เกิดจากหิมะสีดำโดยเฉพาะ

เมื่อเปิดใช้งานทุกด้าน จะทำให้หิมะดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นสูญเสียความสามารถในรวมตัวกัน หลอมละลายไปก่อน

และเสียงครืนครันที่มีอยู่ทุกที่ ก็เป็นเรื่องปกติของแนวหน้า

ยิ่งมีหวนสู่อนัตตานับร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านยักษ์สีทอง พวกเขาคือผู้ควบคุมของวิเศษเวทต้องห้าม ใช้พลังของวิเศษเวทต้องห้ามรบกวนอาวุธเวทสี่เหลี่ยมรูปว่าวของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ต้านทานเฉพาะจุด

ขณะเดียวกันก็ทำสัญลักษณ์ไว้กับพวกผู้เก็บกู้ด้วย จากนั้นก็ส่งผู้บำเพ็ญออกไปทำภารกิจล่าสังหาร

นอกจากนี้ยังเห็นหุ่นเชิดสงครามร่างสูงใหญ่อีกหลายร่างบนพื้นดินด้วย

หุ่นเชิดเหล่านี้มีลักษณะเด่นของเผ่ามนุษย์อยู่ ทุกร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขา พวกมันยืนอยู่บนค่ายกลแต่ละจุด การขับเคลื่อนของแต่ละตัวต้องใช้ผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลขับเคลื่อนพร้อมกัน พลานุภาพย่อมไม่ธรรมดา

และจุดที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุดก็คือกระบี่จักรพรรดิเล่มใหญ่เก้าเล่ม!

ทั้งเก้าเล่มสูงเทียมฟ้า เป็นกระบี่ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน

ขณะที่พวกมันแผ่พลานุภาพไร้เทียมทาน ก็ปะทุพลังสยบด้วยอานุภาพที่น่าครั่นคร้ามออกมา อีกทั้งหากมองอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่ากระบี่จักรพรรดิเก้าเล่มนี้เกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่จักรพรรดินับไม่ถ้วน

พวกมันสามารถรวมอำนาจสยบเป็นหนึ่งเดียวกัน และสามารถกระจายตัวได้ด้วย ถือเป็นหอกหนักของเผ่ามนุษย์ในสงครามครั้งนี้

ยิ่งบนท้องฟ้า ยังมีระฆังเต๋าขนาดยักษ์อีกใบหนึ่ง

ระฆังนี้ เป็นสิ่งที่วังครองกระบี่สาขาหลักเมืองหลวงจักรพรรดิมอบให้ตอนที่วังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรสร้างเสร็จ

เดิมแขวนไว้ในวังครองกระบี่ ตอนนี้วางอยู่ในสนามรบ และเพราะมัน…เป็นสมบัติชั้นยอดของวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร ตอนแรกเป็นขุมพลังของวังครองกระบี่เช่นเดียวกับกรมราชทัณฑ์

ประโยชน์ของมันไม่เพียงแต่ส่งผลกับภายนอก แต่ยังส่งผลกับภายในได้ด้วย

เสียงระฆังที่ส่งผลกับภายนอก สังหารได้แปดทิศ ส่วนภายในคือการอัญเชิญ

มองไกลๆ จะเห็นว่ารอบๆ ระฆังยักษ์ใบนี้มีโลงศพสัมฤทธิ์อยู่นับแสนใบ และบนโลงศพทุกใบก็วาดผนึกไว้หลายชั้น

สิ่งที่นอนอยู่ด้านใน ไม่ใช่คนตาย

แต่คือคนเป็น!

ในบรรดาพวกเขามีทั้งชายและหญิง มีทั้งชราและหนุ่มสาว พวกเขาคือคนบ่มเพาะกระบี่ที่วังครองกระบี่เตรียมไว้นานหลายปีแล้วสำหรับสงคราม

ในกลุ่มพวกเขาส่วนใหญ่ใช้ชีวิตค่อนข้างสงบสุขมานาน และในตอนที่น้ำมันตะเกียงใกล้แห้งก็ยังไม่ได้หักกระบี่ของตนเอง จึงยอมใช้วิชาลับทำให้อยู่ในห้วงนิทรา และผสานกระบี่จักรพรรดิกับชีวิต

รอเพียงพริบตาที่ตื่นขึ้น ก็จะหักกระบี่ที่บำเพ็ญด้วยชีวิตของตนเอง

และยังมีคนที่รู้ว่าตนเองฝึกบำเพ็ญมาจนถึงคอขวดแล้ว จึงยอมเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อเขตปกครองผนึกสมุทร ผสานชีวิตหล่อเลี้ยงกระบี่

ในกลุ่มพวกเขาทุกคนรู้ว่าตอนที่ตนตื่นขึ้น จะเป็นช่วงเวลาที่เขตปกครองผนึกสมุทรวิกฤตขั้นสุด

และตอนนี้ ในโลงศพกว่าแสนก็ว่างเปล่าไปสามส่วนแล้ว

ผู้ครองกระบี่ด้านในถูกปลุกให้ตื่นขึ้นท่ามกลางสงครามก่อนหน้า และตัดชีวิตของตนเองจนกลายเป็นกระบี่สุดท้ายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ตอนนี้ หลังจากทั้งหมดสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ในแนวป้องกันที่สี่ของเขตปกครองผนึกสมุทรก็มีร่างเงานับสิบทะยานออกมา พุ่งมาหากองทัพใหญ่ที่สวี่ชิงอยู่

ไม่นานนัก ผู้มาเยือนก็เข้ามาใกล้ ผู้นำคือรองเจ้าวังครองกระบี่

เขาออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นี่อธิบายท่าทีได้แล้ว

สีหน้าที่เหนื่อยล้าของเขามีแววตื่นเต้น คลื่นอารมณ์เช่นนี้ สำหรับเขาผู้บำเพ็ญผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้อย่างเขา เห็นได้ไม่บ่อยนัก

ข่งเสียงหลงก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เนื้อตัวเขามีบาดแผล หดหู่อย่างมาก แต่ตอนที่เห็นสวี่ชิงก็ฝืนยิ้มออกมา

เมื่อสวี่ชิงเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกอัดอั้น เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาซักไซร้ หลังจากรองเจ้าวังครองกระบี่มาถึง ก็ส่งเสียงกึกก้อง

“สหายหมิงอี่ สหายก้งเจ๋อ!”

ผู้อาวุโสใหญ่ของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันกับมณฑลบังคับจำนนก็ทะยานออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คารวะรองเจ้าวัง

“พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ทันท่วงทีจริงๆ!” รองเจ้าวังสูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นเต้นในใจ เอ่ยขึ้นทันที

“เจ้าวังมีคำสั่ง!

“หวนสู่อนัตตาของมณฑลบังคับจำนนและเสด็จราชันทั้งหมดรวมถึงผู้รับผิดชอบสำนักต่างๆ ให้ตรงไปยังกระโจมใหญ่ทันที เจ้าวังเรียกเข้าพบ!

“ส่วนคนที่เหลือ จงตั้งค่ายพักแรม เฝ้ารอขั้นตอนต่อไปที่นี่

“เชิญ!”

รองเจ้าวังประสานหมัดคารวะกับเผ่ามนุษย์จากทั้งสองมณฑล จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สวี่ชิง เผยประกายประหลาดออกมา สีหน้าฉายแววชื่นชมเข้มข้น

“อาลักษณ์สวี่ เจ้าก็ไปกับข้าด้วย”

สวี่ชิงขานรับอย่างเคร่งขรึม

ทุกผู้ไม่เสียเวลา ติดตามรองเจ้าวังไปทันที

ก่อนที่จะเดินทาง สวี่ชิงหันกลับไปมองนายกองผาดหนึ่ง

นายกองตอนนี้โตขึ้นมาขนาดเท่าเด็กเจ็ดแปดขวบแล้ว ยืนอยู่ข้างกายผู้ดูแลสมบัติวิญญาณของโถงครองกระบี่เหมือนเด็กคนหนึ่ง

หลังจากสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง เขาก็โบกมือให้ เป็นสัญญาณว่าจะไปหาสวี่ชิงภายหลัง

สวี่ชิงพยักหน้า รีบเดินตามคนอื่นไป ไม่นานก็มาถึงแนวป้องกันเขตปกครองผนึกสมุทร

ตลอดทางที่เดินมาถึงพื้นที่นี้ สวี่ชิงเห็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มากมายได้รับบาดเจ็บ

เหล่านักรบแนวหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้การมาถึงของทหารกองหนุนจากสองมณฑล ดังนั้นแทบจะพริบตาที่กลุ่มของสวี่ชิงเดินเข้ามาในอาณาเขตป้องกัน ก็มีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนเดินออกมาจากในกระโจมของตน มองไปทางพวกสวี่ชิงด้วยสายตาตื่นเต้น

ในนี้มีศิษย์สำนักต่างๆ อยู่ มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัด และมีผู้ครองกระบี่ อาการบาดเจ็บมีทั้งหนักและเบา แต่ในตอนที่เห็น ก็ประสานหมัดให้พวกสวี่ชิง

ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ความน่าเวทนา ความขมขื่น ความเหนื่อยล้าของพวกเขาถือว่าหนักหนาสาหัสมากแล้ว แต่ยังคงไม่สิ้นหวัง เพียงแต่พวกเขาปรารถนาที่จะมองเห็นความหวัง

ตอนนี้ ความหวัง ปรากฏแล้ว!

จากนัยน์ตาผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เหล่านี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเขา และตอนที่กำลังเดินหน้าต่อ เขาก็มองเห็นนักรบแนวหน้าที่มากยิ่งกว่า

คนเหล่านี้ในตอนแรก บ้างก็เงียบยิ่งบ้างก็เย็นชา บ้างก็ขมขื่นบ้างก็จิตสังหารในดวงตายังไม่สลายไป แต่หลังจากที่สังเกตเห็นพวกเขาก็กลายเป็นความตื่นเต้นระคนยินดี

ยังมีบางส่วนที่เป็นผู้ครองกระบี่ของวังครองกระบี่ คู่ฝึกเต๋าเฉินถิงหาวทั้งสองก็อยู่ในนี้ด้วย

พวกเขาบาดเจ็บไม่น้อย หลังจากเห็นสวี่ชิง เฉินถิงหาวก็เผยรอยยิ้ม คู่ฝึกเต๋าของเขากำลังพันแผลให้เขาอย่างอ่อนโยน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิงก็ยิ้มให้

แต่พวกเขาไม่ได้พูดออกมา เพราะยิ่งเข้าใกล้แนวหน้า เสียงครืนครันของที่นี่ก็ยิ่งดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงคลื่นพลังที่มาจากอาวุธเวทหนามแหลมนับไม่ถ้วนนั้นดังก้องไปทั่วทิศ สนั่นหวั่นไวจนหูแทบดับ

สวี่ชิงพยักหน้า เขาเห็นว่าแม้เฉินถิงหาวจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู จึงผ่อนคลายลง

สวี่ชิงรู้สึกดีกับสองคนนี้ เพราะตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง พวกเขาไม่ใช่แค่บอกข้อมูลมากมายอย่างเป็นมิตร อีกทั้งยังเคยยืนอยู่ข้างเขาที่วังอาญาอีกด้วย

สวี่ชิงจึงมองอยู่หลายครั้ง ถึงถอนสายตากลับมา

ระหว่างที่เดินไป ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้ากระโจมที่ตั้งอยู่ที่ชายขอบร่องน้ำด้วยการนำทางของรองเจ้าวัง

ที่นี่ ก็คือหน่วยสั่งการแนวหน้า

ขณะที่มีทหารคุ้มกันนับร้อย ก็มีผู้ครองกระบี่ตำแหน่งบุ๋นหลายคนรออยู่อย่างเคร่งขรึม ทุกครั้งที่ในกระโจมเจ้าวังสั่งการ พวกเขาก็จะรับคำสั่งทันที จัดทำบันทึกรวมถึงกำกับดูแลดำเนินการ

“ให้กองทัพที่เจ็ดตรงไปแนวหน้าทันที จับตาการเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!

“สั่งการกองทัพที่เก้า กระจายกำลังออกไป ในเขตสนามรบ รวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของหิมะดำเสีย!

“จากนั้นจัดกลุ่มกรมราชทัณฑ์เป็นกลุ่มย่อย ออกไปสังหารองครักษ์ชุดดำที่แฝงเข้ามาภายหลังด้วย การสร้างแนวป้องกันที่ห้าจะถูกทำลายไม่ได้!”

เสียงเคร่งขรึมของเจ้าวังดังลอดออกมาจากในกระโจมไม่หยุด หลังจากกลุ่มคนนอกกระโจมได้รับคำสั่ง ก็เริ่มดำเนินการทันที

ในสายตาสวี่ชิงพร้อมกับความละเอียดถี่ถ้วน กวาดมองผู้ครองกระบี่บุ๋นเหล่านี้ตามสัญชาตญาณ

ส่วนผู้ครองกระบี่บุ๋นเหล่านี้ก็สังเกตเห็นสวี่ชิงแล้วเช่นกัน ก็ต่างตกตะลึง จากนั้นแววตาก็เผยความยำเกรง และตอนที่ได้รับคำสั่งให้ไปดำเนินการ ตอนผ่านร่างสวี่ชิงก็ล้วนโค้งคำนับให้เขา

ฐานะและหน้าที่การงานของพวกเขาตลอดจนผลลัพธ์ของประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาตามพื้นที่ต่างๆ ในแนวหน้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ทว่าขณะที่เผชิญหน้ากับสวี่ชิง จำเป็นต้องทำเชนนี้

เพราะพวกเขาเป็นคนของกรมอาลักษณ์ เป็นลูกน้องกลุ่มแรกที่ถูกเรียกมาหลังจากสวี่ชิงจัดตั้งกรมอาลักษณ์ขึ้นในช่วงเตรียมศึกสงคราม

ตอนนั้นสวี่ชิงยังไม่มาที่สนามรบ แต่คนของกรมอาลักษณ์ของเขาส่วนใหญ่ติดตามทหารมา

สวี่ชิงพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าให้พวกเขารีบไปทำงาน หลังจากที่ศิษย์กรมอาลักษณ์เหล่านี้พากันจากไป รองเจ้าวังจึงรีบสาวเท้าขึ้นหน้า เอ่ยที่ด้านนอกกระโจมอย่างนอบน้อม

“เจ้าวัง หวนสู่อนัตตาของมณฑลรับเสด็จราชันและบังคับจำนนรวมถึงผู้รับผิดชอบต่างๆ มาถึงแล้วขอรับ”

“เข้ามา!” ในกระโจมใหญ่ มีเสียงเคร่งขรึมของเจ้าวังลอดออกมา

เหล่าหวนสู่อนัตตาที่อยู่นอกกระโจมแต่ละคนก็สีหน้าเคร่งขรึม พากันเดินเข้าไป

ไม่นาน ด้านนอกกระโจมใหญ่นอกจากทหารที่คอยคุ้มกันเหล่านั้นก็เหลือแค่สวี่ชิงกับพวกของข่งเสียงหลง

ขณะที่รอ สวี่ชิงมองข่งเสียงหลงที่หน้าซีดเซียวห่อเหี่ยว

“พี่ข่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ” สวี่ชิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“เย่หลิง…ตายแล้ว” ข่งเสียงหลงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ในน้ำเสียงเจือปวดร้าวและขมขื่น หน้าซีดเซียวไร้ประกาย

สวี่ชิงใจสั่นวูบ เขารู้ว่าเย่หลิงชอบข่งเสียงหลง

“ก่อนที่นางจะตาย นางบอกกับข้าว่า นางชอบข้า…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด