ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 504-2 โลกใบนี้มันกินคน (2)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 504-2 โลกใบนี้มันกินคน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 504 โลกใบนี้มันกินคน (2)

……….

ข่งเสียงหลงคว้าไหล่ของสวี่ชิงเอาไว้ด้วยร่างเทา ดวงตาแดงก่ำ มือสั่นรัว

“สวี่ชิง ข้าเสียใจ”

ข่งเสียงหลงพูดด้วยตาแดงก่ำ ท้ายสุดก็หลับตาลง

สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยอมให้ข่งเสียงหลงบีบหัวไหล่ของตนเอง

เขาเผชิญหน้ากับการเกิดการตายการพลัดพรากจากกันมาแล้วหลายครั้ง เขาจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ นั่นคือความรู้สึกที่เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้ และจะชินกับมันไม่ได้ด้วย

สิ่งที่เขาทำได้ คือทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ข่งเสียงหลง ขณะที่ข่งเสียงหลงตัวสั่นเทาก็ยื่นสุรากาหนึ่งให้กับเขา

ข่งเสียงหลงรับกาสุรา หลังดื่มลงไปอึกใหญ่ ก็พึมพำเสียงต่ำ

“ที่แท้สุรา ก็มีช่วงเวลาที่ไร้รสชาติด้วย”

ข่งเสียงหลงคลายมือที่หัวไหล่สวี่ชิง ตบลงเบาๆ หันหลังจากไป

เขามาที่นี่ เพราะอัดอั้นตันใจ ได้ยินว่าสวี่ชิงมา จึงตามมาดู

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เบื้องหน้ามีวังครองกระบี่ในตอนนั้นปรากฏขึ้น ภาพแรกที่พบกับเย่หลิง

เด็กสาวที่กำลังกินเม็ดแตงเลือดเนื้อคนนั้น เด็กสาวที่บอกเขาว่าไปเรียนเคล็ดจำแลงปีศาจที่สำนักมายาจำแลงปีศาจได้ เด็กสาวที่ไม่ว่าจะตอนใด ในสายตาในดวงใจมีแค่ข่งเสียงหลงคนนั้น

ผ่านไปนาน สวี่ชิงถอนหายใจแผ่วเบา

“โลกใบนี้ มันกินคน” สวี่ชิงพึมพำ อารมณ์ซับซ้อน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหวนสู่อนัตตาทยอยเดินออกมาจากกระโจม ขณะที่เสี่ยเลี่ยนจื่อกับผู้อาวุโสใหญ่ลานครองกระบี่ทั้งสองทยอยจากไป ในกระโจมก็มีเสียงของเจ้าวังลอดออกมา

“สวี่ชิง เจ้าเข้ามา”

ตอนที่เดินเข้าไป เขาเห็นเจ้าวังนั่งอยู่ด้านหน้าสุด และเห็นว่าในกระโจมมีแผนที่จำลองที่ทำจากทรายขนาดยักษ์ที่ก่อร่างจากวิชาเวท

แผนที่จำลองจากทรายนี้วาดโครงร่างแนวหน้าทั้งฝั่งตะวันตกได้สมบูรณ์แบบมาก เห็นเทือกเขาคลื่นนภาจากด้านในเป็นแค่เส้นแนวป้องกันส่วนหนึ่ง

เส้นคดเคี้ยวซ้ายขวาของมันทอดยาวไปทั้งฝั่งตะวันตกเชื่อมกับแนวหน้าทางเหนือ อาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โต

นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสงครามที่กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก

และถึงแม้ที่นี่จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแนวป้องกันทั้งหมด แต่หน่วยสั่งการของเจ้าวังเลือกที่นี่ จินตนาการได้ว่าที่นี่คือศูนย์กลางของแนวป้องกัน

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สายตาย้ายจากแผนที่ทำจากทราย มองไปทางเจ้าวัง

เจ้าวังซูบซีดกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ดวงตามีแต่เส้นเลือด อีกทั้งเรือนร่างยังมีบาดแผล ชุดเกราะตอนนั้นที่ตนเองสวมให้เขายังอยู่บนร่าง เหมือนยังไม่เคยถอดออก

ส่วนปราณพิฆาต ก็เข้มข้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ป่าแห่งยุคตนหนึ่ง รวมกองกำลังทหารขนาดใหญ่ทั้งหมดไว้กับตนเอง บางครั้งก็เลือกคนมากัดกิน ทำให้รู้สึกหวาดผวาตามสัญชาตญาณ

“คารวะเจ้าวัง” สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะ

“สวี่ชิง ข้าได้รับทรัพยากรที่เจ้าส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว”

เจ้าวังจ้องสวี่ชิง ราวกับจะสลายปราณพิฆาตจากเรือนร่าง แต่การรวมตัวกันของดวงชะตากองทัพใหญ่ ทำให้เขาไม่สลายปราณพิฆาตได้ เขาจึงพยายามทำให้สีหน้าตนอ่อนโยนลงเล็กน้อย ดวงตาก็เผยความชื่นชมออกมา

“ที่รวมกำลังทหารทั้งสองมณฑล ข้าก็รู้ดี ครั้งนี้ เจ้าได้คุณงามความดีครั้งใหญ่!”

สวี่ชิงก้มหน้า เอ่ยราบเรียบ

“นี่เป็นเรื่องที่ควรทำขอรับ นอกจากนี้ที่เขาประกายอรุณ ข้า…”

คำพูดสวี่ชิงพูดถึงตรงนี้ ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ท้องฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนสี ราวกับว่าดวงดาวย้ายตำแหน่ง พื้นดินแผ่จิตสังหาร สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับมังกรอสรพิษโผล่ออกมาจากที่ซ่อน

ยิ่งมีเสียงหวีดหวิวที่มาจากผู้บำเพ็ญคลื่นศักดิ์สิทธิ์เป็นระลอก กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

สงคราม หลังจากหยุดพักไปชั่วคราว ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!

จิตสังหารราวกับพายุ พัดเข้ามาจากเทือกเขาคลื่นนภา ซัดมาบนตาข่ายผนึกต้องห้ามของเขตปกครองผนึกสมุทร

ตาข่ายสีทองนี้สั่นไหวในพริบตา เปล่งแสงเจิดจ้าแยงตาออกมา

ความบ้าคลั่งที่แฝงอยู่ในพายุนี้ พัดกวาดร่องน้ำแนวป้องกัน แล่นผ่านหวีดหวิวด้านนอกกระโจมเผ่ามนุษย์ของเขตปกครองผนึกสมุทรหลายแห่ง ทำให้กระโจมทหารนับไม่ถ้วนสั่นไหวอย่างรุนแรง

และพัดมาที่ด้านนอกกระโจมใหญ่ของเจ้าวัง พัดผ้ากระโจมเกิดเสียงดังสนั่น ประตูผ้าโบกสะบัดเข้าไปด้านใน เผยให้เห็นเมฆดำเต็มท้องฟ้ารวมถึงสายอัสนีอีกนับไม่ถ้วนฟาดผ่าเส้นขอบฟ้า

ครืน!

พื้นดินและท้องฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นออกมาพร้อมกัน

ผมยาวของสวี่ชิงปลิวไสวตามลม จิตใจก็โหมระลอกคลื่นกระหน่ำซัดเช่นเดียวกับเส้นผม

เสียงคำรามราวกับอสูรขนาดยักษ์นับไม่ถ้วนกู่ร้อง กึกก้องไปทั่วทิศเหนือสนามรบยิ่งกว่าสายทัณฑ์สวรรค์ ดั่งลั่นระฆัง

เจ้าวังสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ปราณพิฆาตเข้มข้นขึ้นในตอนนี้ ขณะที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เขาก็ลุกขึ้นยืน โยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิง เดินออกไปนอกกระโจมใหญ่

“ในแผ่นหยกชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางส่วนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในนสนามรบ เจ้าถอยไปค้นคว้าดูก่อน ให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน รีบทำความคุ้นชินกับสนามรบโดยเร็ว

“นี่เป็นแค่การรบขนาดธรรมดา ยังห่างชั้นกับระดับสงครามใหญ่อีกโข ส่วนเรื่องจะทำความคุ้นเคยอย่างไร ก็จัดการเอง

“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ เจ้าก็กลับไปตำแหน่งเดิม ทำหน้าที่อาลักษณ์!”

ได้ยินคำพูดของเจ้าวัง สวี่ชิงขานรับเสียงดังทันที

เจ้าวังพยักหน้า เดินออกจากกระโจมใหญ่ ส่วนศิษย์ของกรมอาลักษณ์ทั้งหมดด้านนอกกระโจมตอนนี้ก็กลับมาแล้ว ยืนอย่างเคร่งขรึม รอรับคำสั่ง

สวี่ชิงยืนอยู่ด้านหลังเจ้าวัง มองสนามรบไกลๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดมหัศจรรย์บนท้องฟ้าแล้ว เขาเห็นผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ร้องคำรามพุ่งมาราวกับท้องทะเล

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ส่วนหนึ่งเหาะเดินอากาศ ส่วนหนึ่งพุ่งทะยานอยู่บนพื้นดิน ล้วนสวมเสื้อเกราะ จิตสังหารแรงกล้า

ส่วนขบวนรบของพวกเขาก็มีมือถูกตัดขนาดยักษ์หลายข้างถูกกระตุ้นหลายเป็นศูนย์กลาง แบ่งออกเป็นรูปขบวนหลายรูปแบบ ปกคลุมฟ้าดิน

ไม่นาน โองการแต่ละฉบับก็ออกมาจากปากของเจ้าวัง กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรก็ราวกับเป็นสัตว์ร้ายตนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลในตอนนี้ เริ่มทำการโต้กลับ

สวี่ชิงประสานหมัดจากไปในตอนนี้ เขารู้ดีว่าตนที่เพิ่งมาถึงสนามรบ ยังไม่ค่อยเข้าใจจังหวะของสงครามรวมถึงจุดได้เปรียบจุดเสียเปรียบของกองทัพต่างๆ

ส่วนตำแหน่งอาลักษณ์ก็ไม่ได้ง่ายดายปานนั้น ต้องคอยควบคุมให้ได้ตลอดเวลา ถึงอย่างไรนอกจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ยังต้องคอยติดตามระดับความสมบูรณ์แบบ รวมถึงสรุปวิเคราะห์ล่วงหน้า

สิ่งนี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดของสนามรบจึงจะทำได้

ภายในเวลาหนึ่งวัน อันที่จริงยังไม่เพียงพอ

แม้ในแผ่นหยกที่เจ้าวังให้มาจะบันทึกข้อมูลสนามรบของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไว้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

ดังนั้น เพื่อทำให้ตนปรับตัวได้ไวที่สุด เขาต้องหาตำแหน่งที่มองเห็นสนามรบ สังเกตภาพรวมกว้างๆ ของสนามรบนี้ได้ ขณะเดียวกันตำแหน่งนี้ต้องอยู่ในจุดที่ให้ตนเข้าสู่สนามรบได้ตลอดเวลา ทั้งต้องเข้าใจรายละเอียดยิบย่อยของทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้วย

แม้การอยู่ข้างกายเจ้าวังจะสอดคล้องกับเงื่อนไขข้อที่หนึ่ง แต่ตำแหน่งที่เจ้าวังอยู่คือจุดศูนย์กลาง ไม่เหมาะที่จะเข้าสู่สนามรบได้ทันที ต่อให้เข้าไป ก็ยังต้องยื่นเรื่อง ยุ่งยากเกินไป

ดังนั้นขณะที่ฟ้าดินครืนครัน สงครามกำลังปะทุอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สวี่ชิงก็มองไปรอบด้าน หาตำแหน่งที่สอดคล้องกับเงื่อนไข สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ภูเขาหุ่นเชิดหมดสภาพกองยักษ์หลายกองในจุดใกล้กับแนวหน้า

หุ่นเชิดสงครามของเขตปกครองผนึกสมุทรทุกร่างขับเคลื่อนโดยผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาล ปกติจะอยู่ตามค่ายกลที่จัดตั้งไว้บนพื้นหลายแห่ง ทำให้มันรักษาสภาพระดับสูงสุดอยู่ตลอดเวลา

แต่ที่มากกว่านั้นก็ใช้การไม่ได้แล้ว ซ่อมแซมไม่ได้ ทำได้เพียงกองรวมกันไว้ ขณะที่ใช้ชิ้นส่วนมาซ่อมแซมหุ่นเชิดตัวอื่น ก็เป็นที่กำบังส่วนหนึ่งไปด้วย

นอกจากนี้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังสามารถใช้เป็นต้นกำเนิดการปนเปื้อน แล้วโยนออกไปให้ระเบิดได้ด้วย

เห็นกองภูเขาที่เกิดขึ้นจากการที่หุ่นเชิดไร้ประโยชน์กองรวมกัน สวี่ชิงก็เหาะเหินเข้าไปใกล้

ขณะที่ปะทะกัน ที่นี่มีคนคอยคุ้มกันอยู่ไม่มาก มีเพียงชายแก่ที่ขาเน่าเปื่อยไปแล้วนั่งอยู่ตรงนั้น มองสนามรบด้วยสีหน้าชินชา

การมาถึงของสวี่ชิง แม้จะดึงดูดความสนใจจากเขา แต่เขาก็สายตาที่มองมาก็ไร้ประกาย ไม่ได้สนใจอะไร

สวี่ชิงก็ไม่พูดมาก หลังจากมาถึงก็กระโดด เหยียบกองขยะเหล่านั้นขึ้นไปบนยอดทันที

ยืนอยู่ตรงนั่น เขาล้วงแผ่นหยกที่เจ้าวังมอบให้ออกมา อ่านพลางมองสนามรบ

ตำแหน่งนี้ค่อนข้างสูง ทำให้สวี่ชิงมองเห็นสนามรบทั้งหมดได้ชัดเจนยิ่ง

ด้านนอกตาข่ายสีทอง ในสนามรบเวลานี้เสียงครืนครันกึกก้อง

บนฟากฟ้า อาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวขนาดยักษ์ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งเสียงวึงๆ หูแทบดับออกมาต่อเนื่อง ดังก้องไปทั้งสี่ทิศ ขณะที่ทำให้มิติบิดเบี้ยว อัสนีหลายสายก็แล่นจากด้านใน ฟาดลงมาบนพื้นเป็นระยะ ส่งเสียงอื้ออึงไปทั้งอาณาบริเวณ

และยังมีแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากดวงตาสีเลือดของของวิเศษเวททรงข้ามหลามตัดมายังสนามรบ ขณะที่สนับสนุนผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ โจมตีกองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์

สวี่ชิงรู้จักอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวนี้ผ่านแผ่นหยก เวลานี้จุดที่มองไป ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มากมายอาบย้อมเลือดไปทั้งตัว ส่วนหนึ่งมาจากศัตรู อีกส่วนหนึ่งมาจากปฏิกิริยาหลังปนเปื้อนไอพลังประหลาดเข้มข้นของตน

สิ่งเหล่านี้มาจากอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวของเผ่าฟ้าทมิฬ พลานุภาพแปลกประหลาด สั่นสะเทือนไปรอบทิศ

ทว่าเผ่ามนุษย์ก็มีวิธีรับมือโดยเฉพาะ จากการที่ตาข่ายยักษ์สีทองเปล่งแสงเจิดจ้าซึ่งแปรมาจากผนึกต้องห้ามของเมืองหลวงเขตปกครอง สวี่ชิงเห็นผู้แข็งแกร่งหวนสู่อนัตตานับร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นควบคุมค่ายกล ราวกับกลายเป็นต้นกำเนิด แผ่พลังบำเพ็ญทั้งหมดผสานกับตาข่ายยักษ์สีทอง

ฉับพลันใบหน้าสีทองขนาดยักษ์หลายหน้าก็นูนออกมาจากตาข่ายยักษ์สีทอง คำรามไร้เสียง พุ่งออกมาข้างนอกฉับพลัน กระแทกอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวบนท้องฟ้า

ภายใต้เสียงดังสนั่นระหว่างฟ้าดิน ในที่สุดอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวเหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบ ถ่วงดุลกันและกัน

ทว่าหิมะดำที่ขจรกระจายอยู่ระหว่างฟ้าดินของสนามรบก็แทรกซึมเข้าไปทุกจุด ยากที่จะสกัดกั้น เวลานี้กำลังล่องลอยอย่างต่อเนื่อง

พวกมันบ้างก็แปรเป็นวิชาเวทหลายสายโจมตีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ บ้างก็รวมตัวกัน แปลงร่างเป็นอสูรบ้างมนุษย์ พุ่งหากองทัพใหญ่ท่ามกลางเสียงคำราม

ยังมีบางส่วนที่ร่วงโรยที่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นอาวุธ ให้พวกเขาประกบปางมือควบคุม พลานุภาพเพิ่มขึ้นมหาศาล

ยิ่งมีหิมะสีดำร่วงลงมาบนตัวผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ แม้ว่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรจะคอยหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลัง ทว่าหิมะสีดำทั้งมากมายทั้งหนาแน่นเกินไป ไม่แผ่วเลยแม้แต่น้อย

ผู้บำเพ็ญที่ถูกปนเปื้อน ร่างกายสั่นเทาในพริบตา หิมะดำกลายเป็นพิษร้าย ทำให้ในไอพลังประหลาดในร่างกายพวกเขาก้าวข้ามจุดวิกฤต ชั่วพริบตาก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนไปทั่วทิศ ยิ่งมีไม่น้อยที่กลายพันธุ์ทันที ส่งเสียงคำราม ไม่แบ่งแยกพันธมิตรหรือศัตรู

โหดร้ายน่าเวทนาเป็นล้นพ้น

แต่เผ่ามนุษย์ทำสงครามกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงตอนนี้ จึงมีวิธีรับมืออยู่

ไม่นานระหว่างที่สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน ร่องน้ำแนวป้องกันก็มีเสียงครืนครันสนั่น หนามแหลมที่น่าตกตะลึงหลายแท่งยื่นออกมา ตำแหน่งปลายแหลมชี้ไปทางสนามรบ ท่ามกลางเสียงน่าครั่นคร้ามหูแทบดับ ก็แผ่คลื่นเสียงที่บ้าคลั่งไปทางสนามรบ

ทุกจุดที่คลื่นเสียงนี้ผ่าน หิมะดำระหว่างฟ้าดินก็ละลาย หลังจากกลายเป็นน้ำ ยังไม่ทันจะหยดลงพื้นก็เดือดพล่านระเหยไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำขับออกไป

ใช้โอกาสนี้ เผ่ามนุษย์ของเขตปกครองผนึกสมุทรในสนามรบจึงมีเวลาพักหายใจ กองทัพที่ออกศึกถอยกลับอย่างรวดเร็ว กองทัพอื่นที่เตรียมตัวอยู่นานแล้วก็พุ่งเข้าไปทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด