ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 505 จักรพรรดิหงหลิง (1)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 505 จักรพรรดิหงหลิง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 505 จักรพรรดิหงหลิง (1)

……….

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงที่เห็นหายใจหอบถี่ เวลาสั้นๆ เช่นนี้ จำนวนคนที่ตายบนสนามรบของทั้งสองฝ่าย น่าสยดสยองมาก

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญมนุษย์มากมาย การตายของพวกเขาเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่ศัตรูรอบด้านอยู่ห่างออกไปไกลโข แต่พริบตาต่อมาอาณาบริเวณนั้นก็เหมือนถูกคมดาบที่มองไม่เห็นกวาดเรียบจนตายทั้งหมด

และหลังจากตายไปก็ไม่ได้กลายพันธุ์จนเป็นอสูรกลายพันธุ์ที่ไม่มีสติปัญญา

เสียงคำราม เสียงร้องน่าเวทนา เสียงระเบิดตนเอง จากนั้นก็เป็นเสียงครืนครันดังสนั่นของการโคจรอาวุธเวท เต็มสองหูสวี่ชิง

มองรวมๆ พลังโจมตีกลับของเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรไม่เพียงพอ จึงอยู่ในสภาวะป้องกัน

‘เขตปกครองผนึกสมุทรเดิมทีมีสิบสามมณฑล เนื่องจากตอนแรกเสียไปสามมณฑล บังคับจำนนกับรับเสด็จราชันก็เข้าร่วมสงครามไม่ได้ ก่อนหน้านี้จึงเหลือแค่พลังของแปดมณฑล ช่วงที่เตรียมตัวทำสงครามในตอนแรก ข้าจำได้ว่าแบ่งออกเป็นแปดกองทัพใหญ่!’

ขณะที่สวี่ชิงสะกดคลื่นโหมกระหน่ำในใจเพราะความรุนแรงของสงคราม

‘ไม่มีการจัดการควบคุมแผนการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่สงครามธรรมดา อีกทั้งแต่ละมณฑลก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง จะทำลายพวกเขาด้วยกำลังไม่ได้

‘ดังนั้น…กองทัพใหญ่ทั้งแปดนี้ แต่ละกองก็มีระบบของตนเอง รวมถึงเสบียง อาวุธเวท การวางแผนเป็นต้น

‘เช่นพลังหนามเวท ก็มีกองทัพที่สามรับผิดชอบคุ้มกัน

‘และที่มีส่วนร่วมจากทั้งเขตปกครองก็มีแค่ของวิเศษเวทต้องห้ามของเมืองหลวงเขตปกครองเท่านั้น หวนสู่อนัตตานับร้อยที่นั่นก็ดึงออกมาจากกองทัพอื่น พวกเขาเป็นเพียงหวนสู่อนัตตาส่วนหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร

‘ในนี้ที่ขึ้นตรงกับวังครองกระบี่ คือหุ่นเชิดสงครามรวมถึงระฆังเต๋ากลางท้องฟ้า กระบี่จักรพรรดิผู้ครองกระบี่!’

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก มองไปทางซ้ายและขวาไกลๆ เขาสังเกตเห็นว่าคนที่มาร่วมรบของมณฑลบังคับจำนนและมณฑลรับเสด็จราชันไม่อยู่ในบรรดานี้ และจำนวนทหารที่นี่ ก็เหมือนยังขาดอยู่

ทำให้สวี่ชิงคิดถึงแผนที่จากทรายที่เห็นในกระโจมใหญ่เจ้าวัง

‘แนวป้องกันยาวมาก แนวหน้าแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ ดังนั้นมณฑลบังคับจำนนกับมณฑลรับเสด็จราชัน ยังมีพลังจากอีกสองมณฑลล้วนถูกจัดไปอยู่บนแนวป้องกันฝั่งตะวันตก

‘เจ้าวังสร้างหน่วยสั่งการขึ้นที่นี่ หรือว่าคิดจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ตรึงกำลังของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์…

‘บางทีอาจจะมีแผนการอื่นอยู่อีก’ สวี่ชิงยังขาดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ค่อยเข้าใจแผนการที่วางไว้นัก

แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการให้เขาทำความคุ้นเคยกับสนามรบ

หลังจากแบ่งสนามรบออกเป็นเขตต่างๆ ในใจแล้ว สวี่ชิงก็นำพื้นที่กว้างใหญ่ผืนนี้ที่ตนอยู่ แบ่งออกเป็นนับร้อยส่วน

วิธีการแบ่งเช่นนี้ ทำให้เขาเข้าใจสนามรบได้รวดเร็วขึ้น

‘เขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ในเขตตะวันตก เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเขตตะวันออก

‘ตอนนี้เขตตะวันตกหนึ่ง ตะวันตกสาม ตะวันตกสี่รวมถึงตะวันตกแปด อยู่ชิดกับขอบตาข่ายสีทอง กำลังเฝ้ารอ เตรียมสลับกับกองทัพใหญ่ที่เข้ารบในเขตตะวันออกห้า ตะวันออกเจ็ด ตะวันออกสิบเอ็ด

‘เขตตะวันตกสอง ตะวันตกสี่ กำลังเปิดใช้งานหุ่นเชิดสงคราม และยังอีกสามพื้นที่กำลังเข้าสนับสนุน

‘ส่วนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ฝั่งตะวันออกอีกนับสิบพื้นที่เช่น สาม หก สิบสี่ สิบเจ็ด ก็กำลังเปลี่ยนรูปขบวน ทำให้พื้นที่ตะวันออกสองยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด…

‘ไม่สิ ขบวนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แปรเป็นลูกธนู ตะวันออกสองเป็นหัวธนู!’

สวี่ชิงมองภาพรวมทั้งหมด หลังจากพิจารณาในใจอย่างรวดเร็ว ก็มองไปเขตตะวันตกสองในนสนามรบด้านนอกตาข่ายยักษ์สีทองฉับพลัน

ที่นั่นหลังจากที่รูปขบวนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป ก็มีมือขาดนับหมื่นที่โผล่พ้นพื้นดินปรากฏขึ้น

พวกมันจับโซ่เหล็กขนาดยักษ์เอาไว้ ตอนนี้พุ่งออกมาฉับพลัน ขณะที่โซ่เหล็กถูกสะบัด บนท้องฟ้าก็มีเสียงครืนครันดังสนั่น คลื่นวนถูกฉีกจนใหญ่ยิ่งขึ้น

หิมะดำร่วงลงมาจากที่นั่นราวกับหิมะถล่มมากกว่าเดิมไปที่สนามรบ

ขณะที่สวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยน บนท้องฟ้าแนวป้องกันของเขตปกครองผนึกสมุทร กระบี่จักรพรรดิขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่ตรงนั้นพลันสว่างวาบขึ้น ราวกับว่ารอจังหวะนี้อยู่

แสงกระบี่เจิดจ้าเปล่งออกมาจากด้านใน กลายเป็นทะเลกระบี่ พุ่งไปยังคลื่นวนบนท้องฟ้า

เข้าประชิดในพริบตา ระเบิดฉับพลัน ทำให้ขณะที่คลื่นวนหมุนเวียน ด้านในมีเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังออกมา

ขณะเดียวกัน กองทัพใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทรก็ลอยขึ้นฟ้า ระฆังเต๋าขนาดยักษ์ที่ถูกโลงศพสัมฤทธิ์ห้อมล้อม ก็ลั่นระฆังเสียงก้องกังวานออกมา

ฉายความบรรพกาล ฉายกาลเวลา เปล่งพลังอำนาจที่บดขยี้สรรพสิ่งกระจายออกไปทั้งแปดทิศ

เสียงระฆังดังก้องเจ็ดครั้ง และทุกครั้งก็บิดเบี้ยวสนามรบ ร่างกายผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนแตกสลายไปทันที ขณะที่กระจายเป็นชิ้นๆ ก็ทำให้ร่างเงาในสภาพมายาแต่เดิมปรากฏออกมาในสนามรบทีละร่าง

ร่างเงามายาเหล่านั้น ไม่ใช่รูปร่างของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ พวกมันคล้ายคลึงกับตั๊กแตน ทุกร่างสูงนับสิบจั้ง ไอพลังประหลาดพิเศษที่แผ่ออกมา ขณะที่รุกลามบริเวณที่อยู่ ก็ลงมือกับกองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน

สวี่ชิงรู้ว่าพวกมันล้วนเป็นผู้เก็บกู่ที่ก่อร่างจากอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวของเผ่าฟ้าทมิฬ

และด้วยสภาพพิเศษของพวกมันที่ไม่สามารถสัมผัสได้จึงรับมือยากมาก ปกติต้องใช้พลังของวิเศษเวทต้องห้ามตาข่ายสีทองระบุตำแหน่ง

แต่ตอนนี้ ด้วยระฆังเต๋า ขณะที่ทุกสิ่งอย่างถูกสะกดทั้งหมดไว้ ร่างของพวกมันก็ถูกเปิดเผยออกมา

พริบตาต่อมา หุ่นเชิดสงครามเผ่ามนุษย์ที่รอคำสั่งอยู่นานแล้วก็พุ่งออกมาทันที

หุ่นเชิดนับหมื่นกลายเป็นยักษ์นับหมื่น พุ่งเข้ามาประหัตประหารกับผู้เก็บกู้เหล่านั้นในสนามรบ

สงครามก็คือหมากกระดาน

การป้องกันบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นการโต้กลับ วิธีการก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว

ดูรวมๆ เหมือนจะซับซ้อน แต่อันที่จริงนั้นง่ายดายมาก เพียงแต่การหมุนทุกขั้นตอนของหินโม่ที่เรียกว่าสงครามนี้ สิ่งที่ต้องจ่ายมากมายมหาศาล

ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ล้วนต้องใช้เลือดเนื้อ

เพราะสิ่งที่ได้จากการบดออกมาจากโม่หินนี้ นอกจากเสียงครืนครันก็มีแต่ความตาย แพ้ชนะเป็นแค่สิ่งที่แนบมาด้วยเท่านั้น

สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองสนามรบไกลๆ

เห็นได้ชัดว่าสีท้องฟ้าของสนามรบไม่ได้แปรเปลี่ยนไป ที่มองเห็นล้วนเป็นความขมุกขมัว

แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ยังเป็นเช่นนี้ ตอนกลางคืนก็เช่นเดียวกัน

เสียง คาวเลือด ไอพลังประหลาด เป็นท่วงทำนองหลักของที่นี่ ส่วนเจ้าเสียงดนตรีที่กินคนอย่างโหดเหี้ยมนี้จะอยู่อีกนานเท่าไร ไม่มีใครรู้คำตอบ

การสังหารที่ไม่มีจุดจบ หลังจากวนเวียนซ้ำไปมา จินตนาการได้ว่าแรงกดดันก็มหาศาลเช่นกัน

ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ จะมีความสิ้นหวังเช่นไรโหมขึ้นมา

สวี่ชิงถอนสายตากลับมาเงียบๆ เขาเห็นภาพรวมกว้างๆ ของสนามรบมาพอสมควรแล้ว ตอนนี้การสังหารยังคงดำเนินต่อไป วิธีการต่างๆ ของแต่ละฝ่ายก็สำแดงออกมาไม่หยุดบนโม่หินเลือดเนื้อนี้

ความตาย กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

การมีชีวิตอยู่ ถึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์

แต่อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ สวี่ชิงก็ยังไม่เห็นทหารหนีทัพออกมามากนัก

“ถอยจนถอยไม่ได้แล้ว”

สวี่ชิงพึมพำ เขาที่ยืนอยู่บนภูเขาหุ่นเชิดไร้ประโยชน์ หันหน้ามองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทร แม้ว่าเขาที่ผ่านประสบการณ์ลำบากมานักต่อนักตั้งแต่เด็ก ตลอดทางที่ผ่านมานี้มีแต่ความพะว้าพะวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย

และความพะว้าพะวัง ถึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่พึงมี

ครู่ใหญ่ สวี่ชิงถอนสายตาที่มองไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรกลับมา เงยหน้ามองอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวบนท้องฟ้าที่แผ่พลังบิดเบี้ยวออกมาไม่หยุดเหล่านั้น

‘อาวุธเวทเหล่านี้ มีพลังของพระจันทร์สีชาดอยู่เลาๆ’

หลังจากที่สวี่ชิงสังเกตอยู่ห่างๆ ก็สัมผัสได้ ขณะเดียวกันหิมะดำที่ปลิวว่อนอยู่ในสนามรบเหล่านั้น ก็ทำให้เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาด้วย

แต่อยู่ห่างกันเกินไป จึงสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก

ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ไหววูบ ออกจากภูเขาหุ่นเชิดไร้ประโยชน์ ตรงไปที่สนามรบ

ขณะที่ผ่านชายชราสีหน้าชินชาที่นั่งอยู่คนนั้น ชายชราก็ทักสวี่ชิง

“มีชีวิตกลับมา!”

น้ำเสียงแหบแห้ง เลือนรางไม่ชัดเจน

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ได้ยินเสียงตะโกนของอีกฝ่ายไม่ค่อยชัด จึงมองไปทางชายชรา

เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย หลังจากมาถึงที่นี่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน นี่คือประโยคแรก

ชายชราไม่พูดอะไรอีก มองไปทางสนามรบ สีหน้าเผยความเสียใจ

สวี่ชิงเงียบนิ่ง พยักหน้าให้ กลายเป็นสายรุ่งยาวพุ่งไปทางตาข่ายยักษ์สีทอง

เขาจะไปในสนามรบเพื่อสัมผัสกับหิมะสีดำรวมถึงพลังที่มาจากอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวบนท้องฟ้าเล็กน้อย หากของสองสิ่งนี้กระตุ้นด้วยพลังของพระจันทร์สีชาดจริง สวี่ชิงก็คิดว่าตนน่าจะช่วยเหลือสงครามครั้งนี้ได้มากยิ่งขึ้น

เขาจึงปะทุความเร็วทั้งหมด พุ่งทะลวงตาข่ายสีทองในพริบตา เหยียบย่ำไปบนพื้นดินที่เกิดจากเลือดเนื้อทับถมกัน

กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นกว่าตอนอยู่ในตาข่ายยักษ์รวมถึงคลื่นลมเปียกชื้นที่เกิดจากเลือดซ่านกระเซ็น พัดโถมใส่หน้าสวี่ชิงโดยไม่มีอะไรขวางกั้น

ทั้งเปียกชื้น ทั้งเหม็นเน่า

ต่อให้เป็นคนที่สังหารเป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่อได้กลิ่นนี้ก็อยากจะสำรอกออกมาเช่นกัน รู้สึกครั่นเนื้อตัว

เพราะจำนวนคนตายมีมากเกินไป ทำให้ที่นี่แฝงอารมณ์สิ้นหวังมหาศาลเอาไว้

ด้วยการซึมซับอารมณ์นี้ สองตาของผู้คนจึงแดงก่ำขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะความหวาดกลัวหรือการกระตุ้น ดวงตาก็ยังสีแดงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะตอนที่คลื่นอารมณ์สองอย่างนี้ปะปนกันก็ยังเป็นเช่นนี้

หลังจากที่เดินเข้ามาในสนามรบ แตกต่างกับตอนที่เห็นอยู่ไกลๆ

สายตาที่ได้รับผลกระทบ การได้ยินที่ปะทุขึ้น การรับกลิ่นที่ถาโถม ทั้งหมดนี้ยิ่งสัมผัสได้โดยตรงมากขึ้น

ใบหน้าทรมาน ความโหดเหี้ยมอำมหิต การไล่ล่าสังหารและถอยหนี ความบ้าคลั่งและมึนงงสับสน ทั้งหมดทั้งมวลราวกับมีจิตรกรบนท้องฟ้าร่างสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างละเอียดเบื้องหน้าสวี่ชิง

กระทั่งในความไม่รู้เนื้อรู้ตัว อีกฝ่ายก็วาดเขาให้เข้าไปอยู่ในภาพร่างนั้นด้วย กลายเป็นจุดหนึ่งที่ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงในภาพวาดสงครามนี้

ส่วนข้างๆ จุดนี้ ร่างเงาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ร่างหนึ่ง กำลังพุ่งหวีดหวิวเข้าประชิดอย่างโหดเหี้ยม คว้ามาที่หัวของสวี่ชิง

อาวุธเวทที่ดูเหมือนกรงเล็บผีซึ่งก่อตัวขึ้นจากหิมะดำระเบิดพลานุภาพไม่ธรรมดาออกมา และในพริบตาที่รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ปรากฏขึ้น สวี่ชิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็หายไปแล้ว

ขณะที่เลือดสดสาดกระเซ็น หัวนั้นก็ลอยหวือ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ก็เห็นร่างไร้ศีรษะของตนเองยืนอยู่ด้านข้าง

สวี่ชิงเลียเลือดสดที่กระเซ็นมายังมุมปาก รสชาติเค็มๆ ฝาดๆ ทำให้ดวงตาสีแดงที่ถูกสงครามย้อม ปลดปล่อยปราณพิฆาตที่ซ่อนไว้ในร่างกายออกมา

สวี่ชิงไม่เสียเวลา พุ่งออกไปฉับพลัน พลังลูกกลอนพิษต้องห้ามแผ่ซ่าน ปกคลุมร่างกาย

ทุกจุดที่แล่นผ่าน เพียงแค่เขาเข้าประชิด ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ร่างสะท้านเฮือก ใต้ชุดเกราะกรีดร้องเสียงที่เขาไม่ได้ยินออกมา ร่างกายเน่าเปื่อย

สวี่ชิงไม่กังวลว่าจะทำร้ายพวกเดียวกัน เพราะจำนวนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในนสนามรบนี้มีมากกว่าอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นพิษของเขาก็โอบล้อมอยู่ที่ผิวนอกกายเท่านั้น จะปล่อยหรือเก็บก็ควบคุมด้วยจิตใจระดับหนึ่งได้ โอกาสที่พิษทำร้ายจึงไม่มากนัก

ดังนั้น ขณะที่เคลื่อนไปด้านหน้า เขาก็เริ่มสังเกตหิมะสีดำที่มีอยู่อณูสนามรบในระยะใกล้ ยอมให้พวกมันสัมผัสโดนตัว สัมผัสถึงพลังพระจันทร์สีชาดที่แฝงไว้อย่างละเอียด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด