ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 506 ข่าวร้าย!! (1)
บทที่ 506 ข่าวร้าย!! (1)
……….
การฆ่าล้างสังหารบนพื้นตอนนี้ยิ่งดุเดือด แม้รัศมีอำนาจที่บุกมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งทรงพลัง แต่ภายใต้การเพิ่มพลังจากตาข่ายสีทองเขตปกครองผนึกสมุทร ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวของอาวุธเวทนับไม่ถ้วนนั่น กองทัพต่างๆ ถอยไปอย่างเป็นระเบียบ
ยิ่งมีหุ่นเชิดสงครามที่ผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลผสานตัวเองไปในนั้นแต่ละตัวๆ พุ่งออกไปรับ
หุ่นเชิดเหล่านี้มีขนาดเล็ก มีขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่มีขนาดพันจั้ง ขนาดเล็กมีขนาดหลายสิบจั้ง ทุกตัวแฝงไว้ด้วยค่ายกลมากมาย จำนวนผู้บำเพ็ญที่ผสานอยู่ในนั้นแตกต่างกันไป
ที่มากก็มีหลายพันคน ที่น้อยก็เกือบร้อย
เหมือนก่อนหน้านี้ที่สังหารผู้เก็บกู้ก็เป็นหุ่นเชิดสงครามพวกนี้
ผู้บำเพ็ญในบรรดานั้น พลังของแต่ละคนต่างแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว ปะทุกำลังรบที่เทียบได้กระทั่งระดับสมบัติวิญญาณขั้นต่างกันไป กวาดตามองไป หุ่นเชิดน้อยใหญ่มีมากถึงหลายหมื่น
ดังนั้นไม่นานนักกองทัพในนสนามรบที่เผ่ามนุษย์อยู่ ภายใต้การถอยอย่างต่อเนื่องนี้ ก็เข้าไปใกล้ตาข่ายยักษ์สีทอง ถอยเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิหงหลิงที่อยู่บนท้องฟ้ามองเจ้าวัง ส่งเสียงประดุจอำนาจสวรรค์ดังมาอีกครั้ง
“ข่งเลี่ยงซิว ตอนนี้เผ่าฟ้าทมิฬกับเผ่ามนุษย์ก็กำลังทำสงครามกันอยู่เช่นกัน ขนาดของสงครามที่ชายแดนเหนือกว่าที่นี่มหาศาล ดังนั้น เผ่ามนุษย์ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิไม่มีกำลังมาสนับสนุน เจ้าเองก็ไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว พวกเจ้าไม่มีกองทัพมาช่วยเหลือ
“และสงครามดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เผ่าใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ต่างจับจ้อง ขอเพียงเผ่ามนุษย์เผยท่าทีถดถอยตกต่ำแม้เพียงเล็กน้อย เผ่าต่างๆ ก็จะยกกองทัพขยี้เผ่ามนุษย์ของเจ้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพราะเหตุใด” หงหลิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เพราะราชวงศ์นภาคิมหันต์ที่เป็นเผ่าสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พิธีล่าเผ่าพันธุ์ในวันสถาปนารัฐสี่แสนปีใกล้จะมาถึงแล้ว สัญญาโบราณก็ใกล้จะถึงแล้ว ไม่มีเผ่าใดอยากเป็นเหยื่อของพวกเขา เช่นนั้นตอนนี้ เผ่ามนุษย์ที่ไม่มีสมบัติแดนสงครามย่อมเป็นเครื่องสังเวยที่ดีที่สุด ส่งพวกเจ้าไป เผ่าพันธุ์ก็จะสุขสงบไปอีกแสนปี
“ดังนั้น…ข่งเลี่ยงซิว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เวลาของเจ้าเหลือไม่มาก ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ศิโรราบให้กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ข้า นี่ถึงจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่รักษาเขตปกครองผนึกสมุทรให้สมบูรณ์ได้”
คำพูดที่ดังมาจากปากของจักรพรรดิหงหลิงพวกนี้ไม่ได้บอกกับเจ้าวังครองกระบี่เท่านั้น แต่ดังก้องไปทั้งสนามรบ ยิ่งทะลุผ่านตาข่ายสีทอง ดังมาในหูของผู้บำเพ็ญทุกคนที่นี่
เห็นได้ชัดว่าตั้งใจ
เพียงพริบตา ทุกคนที่ได้ยินล้วนจิตใจสั่นไหว คำพูดของหงหลิงมีพลังน่าอัศจรรย์ ทำให้คนไม่อาจควบคุมความสิ้นหวังที่ผุดขึ้นมาได้
“เพื่อทำลายความมุ่งมั่นการต่อต้านของเขตปกครองผนึกสมุทรเรา ด้วยฐานะจักรพรรดิพูดจาโป้ปดมดเท็จ จักรพรรดิหงหลิง เจ้าใจร้อนไปแล้ว”
เสียงของเจ้าวังยังคงสงบนิ่งเช่นเคย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ประดุจหินในมหาสมุทร ปล่อยให้คลื่นคลั่งซัดกระแทก แต่ก็ยังคงสามารถยึดมหาสมุทรเอาไว้ได้มั่น
ตอนนี้จากเสียงที่ดังก้องไป ระลอกคลื่นอารมณ์ที่เกิดจากคำพูดจักรพรรดิหงหลิงของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหลายก็ได้รับการปลอบประโลมอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น เสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างของเจ้าวังก้าวออกมาจากท้องฟ้า มือขวาขณะที่ยกขึ้นกระบี่จักรพรรดิข้างกายกะพริบแสงเจิดจ้าพร่างพราย รูปร่างแปรเปลี่ยนไปเป็นทวนยาวเล่มหนึ่ง หลังจากที่เขาถือมันเอาไว้ ก็พุ่งตรงไปหาหงหลิง
ขณะที่เข้าโรมรันกัน ฟ้าดินเปลี่ยนสี สังหารกันไปบนม่านฟ้า แม้สนามรบข้างล่างไม่นานนักก็มองไม่เห็นเงาร่างของพวกเขา แต่ระลอกคลื่นที่ส่งมาจากท้องฟ้ารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
การฆ่าล้างสังหารในสนามรบก็ดำเนินต่อไปเช่นกัน
หลังจากที่กองทัพเผ่ามนุษย์ทั้งหมดถอยกลับไป แสงของวิเศษต้องห้ามเขตปกครองหลวงกะพริบวูบวาบ ของวิเศษเวทต้องห้ามของทุกสำนักในเขตปกครองผนึกสมุทรแต่ละชิ้นแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณศัสตราบนตาข่าย ปะทุขึ้นทุกด้าน พุ่งออกไปภายนอกอย่างรวดเร็ว คิดจะต้านทานกองกำลังที่บุกมา
แต่เขตปกครองผนึกสมุทรจะอย่างไรก็เป็นกำลังของหนึ่งเขตปกครองเท่านั้น สู้พลังหนึ่งดินแดนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ดังนั้นจังหวะนับตั้งแต่แรก ล้วนอยู่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้เป็นตอนนี้แม้จะต่อสู้กับวิญญาณสีชาดเพียงรัฐเดียว แต่ก็ยากจะต้านทาน ทำได้แค่เพียงฝืนรักษาเอาไว้เท่านั้น ยืดเวลาแตกพ่าย รอกองทัพเสริมเมืองหลวงจักรพรรดิมาถึง
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้
ไม่นานนักก็ผ่านไปเจ็ดวัน
สงครามครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวันเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ทุกชั่วขณะ การฆ่าสังหาร ดำเนินไปไม่หยุด
แม้เจ้าวังไม่ได้กลับมา แต่ทุกอย่างภายใต้การจัดการดูแลจากรองเจ้าวังและผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลต่างๆ ก็นับว่ายังเป็นระเบียบอยู่ แนวป้องกันหลังจากที่เกือบจะแตกพ่ายอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็รักษาไว้ได้
แนวป้องกันที่ห้าห่างออกไปหมื่นลี้ข้างหลังก็สร้างเสร็จแล้วไปกว่าครึ่ง
ส่วนสวี่ชิงทางนี้เข้าไปในสนามรบไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทำความคุ้นเคยกับจังหวะของสงคราม คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงกองทัพทุกกองทัพ ตัวเขาเองก็ฆ่าศัตรูไปไม่น้อยเช่นกัน ส่วนการบาดเจ็บนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยง
แม้จะมีผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟู แต่ความเหนื่อยล้าของจิตใจประเภทนั้นไม่อาจสลายหายไปได้ ทำได้เพียงสะสมเอาไว้ในใจอยู่เรื่อยๆ อุดคอเอาไว้ ทำให้เปลี่ยนมาเงียบนิ่ง
มีหลายครั้งที่เขาได้เจอกับผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ดีที่เขาไม่ได้เข้าไปลึกเกิน จึงพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเกือบตาย
สุดท้ายเขาได้พบกับข่งเสียงหลง ร่วมกับกลุ่มที่ข่งเสียงหลงอยู่ ร่วมกับพวกซานเหอจื่อและคนอื่นๆ หลายร้อยคน บังคับหุ่นเชิดสงครามตัวหนึ่ง เข้าร่วมในสนามรบในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น
ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ในเจ็ดวันนี้ ฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรไม่มีเวลาพักเลย สงครามระดับนี้ จิตใจของทุกคนล้วนตึงเครียด
มีเพียงเวลาเปลี่ยนกะกองทัพ มีเวลาพักผ่อนสั้นๆ ทุกครั้งในเวลานี้ ข่งเสียงหลงจะนอนบนพื้น มองท้องฟ้า เหม่อลอย ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ซานเหอจื่อก็เช่นกัน ปกติเขาที่ไม่ชอบดื่มสุรา ในเวลานี้นั่งพิงหุ่นเชิดตัวยักษ์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหายดื่มสุรา ใบหน้าที่เต็มไปหนวดเครา
ทั้งๆ ที่อายุยังหนุ่มแน่น แต่ใบหน้าของเขากลับมีความล้ำลึกผ่านกาลเวลาเพิ่มขึ้นมา
สวี่ชิงได้ยินมาว่า หวังเฉิน…เมื่อครึ่งเดือนก่อน ในวันที่สามที่เยี่ยหลิงตาย ก็รบตายเช่นกัน
เพื่อมาช่วยซานเหอจื่อ
ร่างของเขาในช่วงรอยต่อสงคราม ทั้งสองฝ่ายทำความสะอาดสนามรบก็หายไม่เจอ หลอมรวมไปกับเลือดเนื้อนับไม่ถ้วน ตายโดยไร้ร่างสมบูรณ์
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปที่ไกลเงียบๆ ฟ้าดินมืดครึ้มไปทั้งแถบ ประกายแสงสีแดงประเดี๋ยวๆ ก็กะพริบวูบวาบ เสียงระเบิดสะท้านสะเทือน กระจายไปทุกที่ที่สายตากวาดถึง
ทางทิศนั้นเป็นแนวหน้าอีกแห่งของสนามรบเขตตะวันตก และเป็นที่ที่กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันคุ้มกัน
นายกองอยู่ตรงนั้น บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน
‘หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย’ สวี่ชิงพึมพำในใจ
เขาไม่สามารถใช้แผ่นหยกสื่อเสียงได้ ในนสนามรบนี่เป็นสิ่งที่ถูกจำกัด มีเพียงรายงานสงครามเท่านั้นที่ถ่ายทอดได้
ความกดดัน ความเงียบ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือจังหวะของสนามรบแห่งนี้
และเวลาพักผ่อนปรับเปลี่ยนก็สั้นมาก
ข่งเสียงหลงลุกขึ้น ตรงดิ่งไปยังหุ่นเชิดสงครามที่เปื้อนไปด้วยเลือด เสียหายไปไม่รู้ต่อกี่จุดจนนับไม่ถ้วนโดยไม่พูดไม่จาจากคำสั่งเคลื่อนไหวที่ลงมา
ในเจ็ดวันนี้นี่เป็นหุ่นเชิดตัวที่เจ็ดแล้วที่พวกเขาเปลี่ยนแล้ว
ซานเหอจื่อวางกาสุราเอาไว้อย่างระมัดระวัง เดินไปเช่นกัน
สวี่ชิงลุกขึ้นอย่างเงียบงัน ก้าวขึ้นไปบนหุ่นเชิดพร้อมกับผู้บำเพ็ญหลายร้อยคนที่รวมตัวมาจากรอบๆ นั่งขัดสมาธิไปในนั้น
หุ่นเชิดตัวนี้ทั้งร่างพลันสะท้านเฮือกจากการแผ่ซ่านของพลังบำเพ็ญ ค่อยๆ แผ่พลังกดดันออกมา ก้าวไปในสนามรบ เดินออกไปท่ามกลางการสั่นไหวของพื้น
เศษเนื้อนับไม่ถ้วนหลุดร่วงมาจากในช่องข้อต่อของหุ่นเชิดขณะที่เคลื่อนไหว ในนั้นมีผู้เก็บกู้ แต่ที่มีมากกว่าคือเลือดเนื้อของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
หลังจากร่วงลงสู่พื้นก็ถูกหุ่นเชิดสงครามที่เดินมาจากข้างหลังเหยียบจนแหลกเละอีกครั้ง
หุ่นเชิดสงครามที่สวี่ชิงอยู่ตัวนี้ ส่วนที่เขารับผิดชอบคือมือซ้าย ที่นั่นควบคุมพลังทำลายล้าง
ตอนนี้นั่งขัดสมาธิในนี้ สวี่ชิงมองสนามรบที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผ่านจากม่านแสงที่ปกป้องอยู่ที่ชั้นผิว สีหน้าโดยไม่รู้ตัวก็เหมือนกับคนอื่นๆ มีความเฉยชาเพิ่มขึ้น
จนเมื่อผ่านภูเขาซากหุ่นเชิด สวี่ชิงเห็นว่าที่นั่นไม่มีผู้รอดชีวิต
ตอนนั้นชายชราขาเป๋ที่บอกให้เขามีชีวิตรอดกลับมา ร่างของเขานอนอยู่ที่ภูเขาซากหุ่นเชิดแห่งหนึ่ง ร่างม่วงดำไปทั้งแถบ นั่นเป็นร่องรอยของการถูกไอพลังประหลาดกัดกิน
ศพแบบนี้ ตอนที่สวี่ชิงอยู่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณตอนนั้นก็เคยเห็นมามากมาย
สำหรับสนามรบที่มีจำนวนหลายสิบล้านคน ความตายของคนคนหนึ่ง นอกจากสหายร่วมรบในกลุ่มเล็กๆ ของเขาหรือพลจดบันทึกแล้ว คนอื่นๆ ยากจะรู้ได้
ตายไปอย่างเงียบงัน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เสี้ยวขณะต่อมาหุ่นเชิดที่เขาอยู่ฝ่าตาข่ายสีทองออกไป รวมกับหุ่นเชิดที่เหมือนกันทุกประการหลายหมื่นตัวเป็นกองทัพใหญ่ ฝ่าทะลวงไป
เวลาไหลไป
พลบค่ำวันที่สิบ เจ้าวังกลับมา
การปรากฏตัวของเขาทำให้ขวัญกำลังใจของเผ่ามนุษย์พุ่งขึ้นทันที ในดวงตาของทุกคนเหมือนมีแสงริบหรี่
และสงครามครั้งนี้ จากการกลับมาของเจ้าวัง ทางฝ่ายเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เลือกที่จะพักปรับปรุง ทำให้เกิดเป็นช่วงระยะเวลาพัก
ในระหว่างช่วงนี้ทั้งสองฝ่ายต่างส่งกลุ่มขนาดเล็กไปในสนามรบทำการนำศพที่สมบูรณ์ของฝ่ายตัวเองกลับมาเท่าที่เป็นไปได้ แม้เมื่อเจอกันก็มีการกระทบกระทั่งเข่นฆ่ากัน แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนเลือกที่จะหลบไปตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงทางนี้ก็ไปทางกลุ่มที่ข่งเสียงหลงอยู่ เขาถูกเจ้าวังเรียกกลับมายังกระโจม
ในยามที่พบเจ้าวังอีกครั้ง เขาไม่เห็นบาดแผลใดๆ บนร่างของเจ้าวัง กระทั่งว่าในดวงตามีไฟชีวิตเข้มข้นฉายออกมา รังสีอำมหิตในตัวก็เข้มข้นขึ้น
นี่ไม่สมเหตุสมผล
การต่อสู้ของเจ้าวังกับจักรพรรดิหงหลิงดำเนินมายาวนานขนาดนี้ ไม่มีทางไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น
สวี่ชิงมองเจ้าวัง ลังเลเล็กน้อย รายงานข่าวที่ตนสืบมาได้จากมณฑลประกายอรุณออกมาเสียงเบา ขณะเดียวกันก็นำป้ายเจ้าวังออกมา ยื่นไปสองมือ
เจ้าวังรับมา หลังจากรับไว้แล้วมองผาดหนึ่งก็โยนให้สวี่ชิง
“ป้ายนี้มีทั้งหมดสองแผ่น แผ่นนี้เจ้าเก็บไว้ บางทีวันข้างหน้าอาจจะมอบพลังปกป้องให้เจ้าได้ ต่อให้มีเจ้าเขตปกครองคนใหม่มา ป้ายแผ่นนี้ถูกยกเลิกสิทธิ์อำนาจ แต่พลังที่ข้าทำให้ป้ายนี้สามารถเหนี่ยวนำของวิเศษเวทต้องห้ามครั้งหนึ่งได้ จะไม่ถูกยกเลิกไปด้วย”
“ท่านเจ้าวัง…” สวี่ชิงมองชายชราเบื้องหน้าคนนี้ ในใจเกิดระลอกคลื่น
“สวี่ชิง หลายวันนี้เจ้าคงเข้าใจสถานการณ์ของสนามรบแล้วกระมัง” เจ้าวังตัดบทสวี่ชิง เงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม ในใจกลับถอนหายใจ
สำหรับสวี่ชิง เขาชมชอบมากๆ เดิมเตรียมจะคอยจับตามอง ฝึกฝนอบรมให้ดี ให้เขาสุดท้ายเป็นหนึ่งในคนรับช่วงต่อ แต่การมาถึงของสงครามเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
เวลาไม่พอแล้ว
“เข้าใจแล้วขอรับ” สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา
“เช่นนั้นต่อจากนี้ เจ้าทำหน้าที่อาลักษณ์ต่อ ตอนนี้จดบันทึก!” สายตาของเจ้าวังจับจ้องไปนอกกระโจม เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
สวี่ชิงรีบรับคำทันที นำแผ่นหยกจดบันทึกออกมา
“ออกคำสั่งให้กองทัพที่หกและเจ็ดถอยไปหมื่นลี้ ไปตั้งค่ายที่แนวป้องกันที่ห้า
“ออกคำสั่งให้กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนนสองกองทัพนี้ถอยไปสามหมื่นแปดพันลี้ ไปตั้งค่ายที่เทือกเขาพิรุณนิรันดร์
“ออกคำสั่งให้กองทัพที่สี่และห้า ถอยไปเจ็ดหมื่นลี้ ตั้งค่ายที่ชายแดนมณฑลสวนพิรุณ
“ออกคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์กระจายไปทั่วทั้งมณฑลเผชิญคลื่น สังหารองครักษ์ชุดดำให้สิ้นซาก กวาดล้างศัตรูเส้นทางที่มุ่งหน้าไปมณฑลสวนพิรุณให้สิ้นซาก
“ออกคำสั่งให้มณฑลสวนพิรุณ นับแต่เสี้ยวขณะนี้เป็นต้นไป เปิดค่ายกลส่งข้ามขอบเขตกว้างตลอดเวลา!
“ออกคำสั่งลับกองทัพที่หนึ่ง ให้มุ่งหน้าไปยังมณฑลสวนพิรุณและมณฑลชี้แจ้งวิญญาณ ตรวจสอบสถานการณ์ไฟพิภพลุกไหม้ เร่งความเร็วนำคนธรรมดาถอย”
สวี่ชิงได้ยินถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองเจ้าวัง
“เจ้าวัง เช่นนี้แล้ว ที่นี่จะเหลือเพียงวังครองกระบี่และกองทัพที่สองและสามนะขอรับ”
เจ้าวังหลับตา เอ่ยออกไปอย่างสงบนิ่ง
“ไปถ่ายทอดคำสั่งเถิด!”
สวี่ชิงพยักหน้าถอยไป ในตอนที่ใกล้จะเดินออกไปจากกระโจม เขาเอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านเจ้าวัง สภาพจิตใจของพี่ข่งช่วงนี้ค่อนข้างหดหู่…”
เจ้าวังไม่พูดอะไร
สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกไปเงียบๆ
จวบจนเมื่อเขาเดินออกไปแล้ว เจ้าวังลืมตาขึ้น ไฟชีวิตลุกโชนที่ฉายออกมาในดวงตาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้หมองหม่นลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานก็ลุกไหม้ขึ้นมาใหม่ และค่าตอบแทนก็คือเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขา
Comments