ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 507 ขุนพลเดียวดายพลีชีพหลีกทางให้วีรบุรุษ (1)
บทที่ 507 ขุนพลเดียวดายพลีชีพหลีกทางให้วีรบุรุษ (1)
……….
บนท้องฟ้า คลื่นวนส่งเสียงครืนครัน พลังเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากในนั้นเย็นเยือกยิ่งนัก โซ่เหล็กกลายเป็นน้ำแข็ง คลื่นวนแผ่ความเย็นออกมา ท้องฟ้ามืดมิดวาววับเหมือนกระจกสีดำบานหนึ่ง
ตัวตนน่ากลัวในนั้นกำลังปรากฏออกมาจากข้างในอย่างช้าๆ
แต่ข้างนอกคลื่นวน ระฆังใบมหึมาลอยตั้งตรง ทั้งใบมีอักขระโบราณนับไม่ถ้วนกำลังกะพริบแสง ส่งเสียงระฆังดังออกมา เกิดเป็นพลังสะกด
แต่พลังที่มาจากคลื่นวนน่ากลัวเกินไป ไม่สามารถสะกดได้โดยสมบูรณ์ ต่อให้ระฆังสำแดงพลังทั้งหมดจนถึงขีดจำกัดสูงสุด กระทั่งว่าตัวมันเริ่มเกิดรอยร้าว ทำการต้านทานราวผลาญพลังทั้งหมด ก็ยังไม่อาจขัดขวางการมาเยือนของแดนล้ำค่าได้
ยิ่งมีลมที่ทำลายทุกอย่าง แผ่ซ่านไปทั้งในและนอกคลื่นวน มองไปไกลๆ เหมือนกังหันหมุนวนไม่หยุด พัดความเย็นไปทั่วทิศ ความเย็นจับจิตมาเยือน
ฟ้าดินเกิดน้ำค้างแข็งมายิ่งขึ้น เลือดเนื้อโครงกระดูกนับไม่ถ้วนถูกแช่แข็งแกร่งเป็นผุยผง ลมเพียงพัดก็กลายเป็นเถ้าธุลี
จากนั้นก็เป็นซากศพ จากนั้นก็เป็นหิมะดำและพื้นดิน ทำให้ทุกอย่างรางเลือน
เงาร่างเดียวดายร่างหนึ่ง ก้าวไปทีละก้าวๆ มาพร้อมด้วยการเผาผลาญพลังบำเพ็ญ เดินไปยังฟ้าดินคลุมเครือ เดินเข้าไปในมิติที่บิดเบี้ยวหนาวเย็น
เงาร่างนี้สะท้อนในดวงตาผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรทุกคนที่นี่ สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว
ชุดเกราะสีดำที่ตัดขึ้นเพื่อทหาร ผมยาวสีดอกเลาที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเนื่องจากชีวิตเผาไหม้ตามไปด้วย
ในสายลมหนาว ผ้าคลุมไหล่ที่ปลิวอยู่ข้างหลังเจ้าวังพัดไปด้านหนึ่ง ประดุจธงปลิวไสว
ในความมืด เม็ดทรายน้ำค้างแข็งที่พัดหอบในสนามรบอันอึมครึมอย่างรวดเร็ว พัดพาห้วงเวลาความล้ำลึกไป
“ท่านเจ้าวัง…”
สวี่ชิงโศกเศร้า ในใจเกิดระลอกคลื่นยักษ์ซัดโหม
เงาร่างใต้อาทิตย์อัศดงเดินจากไปไกลเรื่อยๆ จากการผงาดขึ้นของรัศมีอำนาจ ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งเดียวในดวงตาของคนทั้งหลาย ยิ่งดึงดูดฟ้าดิน กลายเป็นจุดที่โดดเด่นดึงดูดในฟ้าดิน
การเคลื่อนไปข้างหน้าของเจ้าวัง เป็นความมืดทะมึน บดบังฟ้าดิน รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน มืดครึ้มไร้จุดสิ้นสุดของกองทัพยิ่งใหญ่ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ของเงาจักรพรรดิน่าครั่นคร้ามทั้งสองที่เทือกเขาคลื่นนภา
ข้างหลังเขา ห่างออกไปหมื่นจั้งเป็นคือกองทัพที่สองและสาม และผู้ครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองที่รอดชีวิตมาจำนวนหลายหมื่น
ตัวคนเดียวเพียงลำพัง!
มองทุกอย่างนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ทุกคนล้วนเศร้าโศก ในใจพุ่งพล่านรุนแรง ดวงตาที่เดิมก็ถูกสนามรบอาบย้อมจนแดงก่ำ ตอนนี้ฉายสีเลือดออกมามากกว่าเดิม
ข่งเสียงหลงก็เงยหน้าเช่นกัน มองเงาร่างนั้น ดวงตาที่หมองหม่นตอนนี้เกิดประกายแสงขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ในประกายแสงนี้ ร่างของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดกระหน่ำในใจของทุกคน เสียงแหบแห้งของรองเจ้าวังมาพร้อมด้วยความเจ็บปวดโศกเศร้าเช่นกัน ดังก้องไปทั่วทิศ
“ทุกคน!”
“พวกเรา…ถอย!!”
ทุกคนเงียบนิ่ง จนเมื่อเสียงประดุจอสุนีบาตของรองเจ้าวังดังขึ้น
“นี่เป็นคำสั่งของเจ้าวัง ปฏิบัติ!”
รองเจ้าวังคำราม พลันสะบัดมือ ลมกรรโชกพัดหอบมา ยิ่งมีผู้ดูแลวังครองกระบี่และผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ของสองกองทัพต่างคำรามเสียงต่ำทุ้ม สุดท้ายก็ควบคุมกองทัพเผ่ามนุษย์ที่นี่ ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
แต่ทุกคนต่างหันกลับมามองถี่ๆ ทอดสายตามองข้างหลัง
เพียงแต่ มองไม่เห็นอะไรแล้ว
เงาร่างนั้นผสานไปกับความมืดแล้ว จวบจนเมื่อประกายแสงพร่างพรายวาดผ่าท้องฟ้า ฉีกทึ้งความคลุมเครือ พุ่งขึ้นฟ้ามาจากทางสนามรบ
ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่น ผืนดินสั่นสะเทือน จิตกระบี่มหาศาลหอบม้วนฟ้าดิน ขับไล่ความมืดมิด ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
นั่นเป็นแสงกระบี่ทางหนึ่ง นั่นคือกระบี่จักรพรรดิเล่มหนึ่ง!
กระบี่จักรพรรดิที่วังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรหลอมรวมมีทั้งหมดเก้าเล่ม สงครามเมื่อก่อนหน้านี้ใช้ไปแล้วสี่เล่ม นี่เป็นเล่มที่ห้า
กระบี่นี้เมื่อฟาดฟันออกมา เจิดจ้าพร่างพราย ทำลายความคลุมเครือ บดขยี้ความบิดเบี้ยว พวยพุ่งขึ้นมาจากในสนามรบ พุ่งตรงไปยังจักรพรรดิเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่เทือกเขาคลื่นนภา
ทุกที่ที่กระบี่นี้พาดผ่าน รอยแยกขนาดมหึมาถูกแยกออกมา เหมือนมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง มาพร้อมด้วยเสียงกระบี่ดังกึกก้องเลื่อนลั่น บดขยี้อย่างทรงพลัง
แสงของมันสาดส่องบนสีหน้าซีดขาวของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน จิตของกระบี่สะท้านสะเทือนไปในเส้นป้องกันจิตใจของศัตรูทุกคน
“ข่งเลี่ยงซิว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าเผาไหม้ชีวิตจะมีความหมายอะไร”
บนเทือกเขาคลื่นนภา จักรพรรดิหงหลิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ในพริบตาที่ฝีเท้าเหยียบย่างลงมา ฟ้าดินสะท้านกึกก้อง
มือขวาของเขายกขึ้น โลกใบเล็กหลายพันใบกระทั่งว่ามากกว่านั้นปรากฏขึ้นรอบๆ สุดท้ายก็รวมมาที่ฝ่ามือของเขาทั้งหมด
ฝ่ามือสามชุ่น เกิดเป็นโลกใบใหญ่มายาหนึ่งใบ
นี่คือลักษณะของหวนสู่อนัตตาขั้นสี่
กดลงไปเบาๆ
ฟ้าดินสั่นไหว ทุกอย่างรางเลือนอีกครั้ง
มีเพียงลมพายุปะทุมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พัดหอบไปทั้งสี่ทิศ ทำให้โลกที่ถูกแช่แข็งพัดเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนขึ้นมา คล้ายฝนดาวตก อุกาบาตน้ำแข็งเป็นทางๆ กวาดซัดไปทั้งแปดทิศ
เทือกเขาคลื่นนภาสั่นไหวรุนแรง เศษหินนับไม่ถ้วนหลุดร่วง
ในยามที่ชัดเจนอีกครั้ง สวี่ชิงและผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่นี่ทุกคน เทือกเขาคลื่นนภาที่มองเห็นมีรอยแยกกว้างถึงหมื่นจั้งทางหนึ่ง
รอยแยกมหึมาที่มาจากทางสนามรบ แผ่ลามไปหลายร้อยลี้ ทะลุผ่านเทือกเขาคลื่นนภา น่าครั่นคร้ามตื่นตะลึงนัก
เงาร่างของจักรพรรดิหงหลิงอยู่นอกเทือกเขาคลื่นนภา ตอนนี้กำลังถอยหลังไปทีละก้าวๆ
ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกตนไม่มีใครไม่หวาดกลัว
ข้างหน้าพวกเขา ท่ามกลางพื้นดินที่บิดเบี้ยว เงาร่างของเจ้าวังปรากฏขึ้นในความคลุมเครือ ทั่วร่างของเขาเผาไหม้ไปด้วยแสงไฟของพลังชีวิตและพลังบำเพ็ญ ฝีเท้ามุ่งมั่นยืนหยัด ก้าวไปทีละก้าวๆ เสียงแหบแห้ง ดังก้องตามฝีเท้าของเขา
“ขอเพียงดินแดนของเขตปกครองสมุทรยังอยู่ ข้าจะเสียดายชีวิตนี้ไปทำไม”
ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วสนามรบ ในยามที่ดังไปในหูของเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรที่กำลังถอย แสงกระบี่เจิดจ้าทางที่สองก็พวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างน่าครั่นคร้าม
นี่คือกระบี่ที่หก
กระบี่นี้เมื่อปรากฏออกมา พื้นดินในสนามรบแหลกละเอียด แสงกระบี่เจิดจ้าท่วมฟ้า ในโลกที่เหมือนนรกภูมิแห่งนี้ พุ่งตรงไปหาจักรพรรดิหงหลิง
ยังไม่จบแค่นั้น จากการเดินไปข้างหน้าของเจ้าวัง จากการที่ทั้งร่างของเขาลุกไหม้ไม่หยุด กระบี่ที่เจ็ด กระบี่ที่แปด ก็สาดส่องเจิดจ้าขึ้นบนท้องฟ้า
ครั้งนี้ จักรพรรดิแห่งหมอกจันทราสีหน้าเคร่งขรึม ยืนข้างจักรพรรดิหงหลิง ลงมือพร้อมกัน
ผืนฟ้าทลาย เอียงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผืนดินถล่มแผ่ออกไปทั่วทุกทิศอย่างต่อเนื่อง
ฟ้าทลายดินถล่ม น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก
ทุกอย่างรางเลือนอีกครั้ง
ครั้งนี้ต้นเหตุของความรางเลือนไม่ใช่เพราะคลุมเครือและบิดเบี้ยว ไม่ใช่น้ำค้างแข็งและฟ้าถล่ม แต่เป็นสำหรับการจับจ้องศึกครั้งนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญมากมาย พลังบำเพ็ญไม่อาจค้ำยัน ยากที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน
ต่อให้เป็นสวี่ชิง สิ่งที่เห็นก็คลุมเครือไปหมดเช่นกัน เห็นเพียงเงาร่างทั้งสามในนั้นกำลังสู้รบโรมรันเป็นตาย ทุกครั้งที่ปะทะกัน ฟ้าดินล้วนเกิดเสียงเลื่อนลั่น
เสียงฟาดผ่าที่ยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นจากการระเบิดในระดับสูงสุดแผ่ซ่านไปในจิตใจของทุกคน ทำให้คนทั้งหลายจำต้องถอยต่อไป
ทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน
ปราณกระบี่ดุดันโหมกวาด ฟ้าถล่มดินทลายเหี่ยวแห้ง
จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา จากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังมาจากท้องฟ้า แฝงมาด้วนเสียงแหลกละเอียด เศษชิ้นส่วนโลกใบใหญ่นับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศเงาร่างทั้งสามที่โหมโรมรันแยกออกจากกัน
ทุกอย่างถึงได้กลับมาชัดเจนเล็กน้อย
ฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าของเจ้าวัง สุดท้ายถูกขัดจังหวะ เขาเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้า
ส่วนจักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ เทือกเขาคลื่นนภาข้างหลังเขาถล่มไปกว่าครึ่ง รอยแยกหลายทางทะลุแผ่ลามไปจนสุดสายตา ตอนนี้คนทั้งสองต่างเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้า
ตอนนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด รวมถึงเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรทุกคนที่นี่ต่างเงยหน้า ในใจเกิดคลื่นมหึมา เงยหน้ามองท้องฟ้า
“ปากทางนิรยภูมิฟ้าทมิฬ มาเยือนแล้ว” หลังจากสู้กับเจ้าวังแล้ว จักรพรรดิหงหลิงสีหน้าขาวซีด เอ่ยเสียงแหบแห้ง
ต้นตอของเสียงครืนครันและเสียงแหลกละเอียดที่ดังมาจากท้องฟ้าคือคลื่นวนมหึมานั่นเอง
พลังหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากคลื่นวนมาถึงระดับที่สามารถผนึกแช่แข็งชีวิตได้แล้ว คลื่นวนเองก็แข็งค้างเช่นกัน จะเห็นปลายคมของอาวุธชิ้นหนึ่งมาปรากฏอยู่ที่ชายขอบด้านหนึ่งในคลื่นวนนี้ได้รางๆ แล้ว!
ชั้นผิวสีดำแผ่จิตสังหารรุนแรงออกมา ยิ่งแฝงไว้ด้วยความตายเข้มข้น
ความหนาวเยือกจับจิตน่าหวาดกลัวที่ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตายังต้องสั่นสะท้านปะทุขึ้นในนั้น
ระฆังเต๋าที่ทำการสะกดมันอยู่ข้างนอกตอนนี้กำลังสั่นสะเทือน กำลังแตกร้าว รอยร้าวแต่ละทางๆ ปรากฏขึ้นไม่หยุด วัตถุที่ได้รับการประทานมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเริ่มพังทลาย
เพราะสิ่งที่มันเผชิญหน้าคือของวิเศษล้ำค่าสงครามชิ้นหนึ่ง
วัสดุของมันลึกลับ ได้รับการประทานมาจากพระจันทร์สีชาด เล่ากันว่าแปลงมาจากทหารของเทพเจ้าที่ถูกพระจันทร์สีชาดสังหาร
สามารถแผ่ความเย็นเยือกจับจิต ทำให้โลกกลายเป็นดินแดนอันตราย
นี่ก็คือสมบัติแดนสงคราม
สมบัติแดนสงครามเป็นรากฐานพลังของเผ่าหนึ่ง พลานุภาพของมันเกินกว่าจะจินตนาการ นั่นเป็นสิ่งที่สยบเทพเจ้า
ระดับความสำคัญเหมือนกับของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
การมีอยู่ของมัน เป็นหนึ่งในหลักฐานว่าเผ่าเผ่าหนึ่งแข็งแกร่งหรือไม่
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสมบัติแดนสงคราม
เผ่าพันธุ์มากมายมากมายไม่มีสมบัติแดนสงคราม
และเผ่าพันธุ์ใดที่มีสมบัติแดนสงครามล้วนเท่ากับว่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะได้รับการคุ้มครองไม่ถูกรุกราน สยบทั้งแปดทิศ มีพลังทำสงครามกับเผ่าอื่น
ที่ปรากฏที่นี่ไม่ใช่ร่างจริงของสมบัติแดนสงครามเผ่าฟ้าทมิฬ เป็นเพียงแค่การอัญเชิญเงาของวิเศษล้ำค่าสงครามชิ้นหนึ่งเท่านั้น
แต่พลังที่แผ่ออกมาก็ยังคงไม่ใช่พลังที่ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาจะต่อต้านและขัดขวางได้
ฟ้าดินแห่งเหี่ยว
เย็นยะเยือกจะถึงขีดสูงสุดก็คือความตาย ไม่มีอะไรหลงเหลือ ทุกอย่างเป็นฝุ่นธุลี
บนตาข่ายสีทองที่ไกล วิญญาณศัสตรานับไม่ถ้วนลอยอยู่ในนั้น ส่งเสียงน่าเวทนา คิดจะต่อต้าน แต่กลับทำไม่ได้ กำลังแหลกละเอียดไม่หยุด
ภาพนี้เมื่ออยู่ในสายตาของกองทัพเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร ทุกคนต่างเหม่อลอย
สวี่ชิงสมองขาวโพลน
โลกของพวกเขาถูกความหนาวเหน็บเข้าแทนที่
ในสนามรบ จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้สายตาจับจ้องไปที่ร่างของเจ้าวัง ท่ามกลางฟ้าดินที่น้ำค้างเหมันต์เกาะไปทั่วทั้งแถบ หงหลิงเอ่ยขึ้นราบเรียบ
“ทหารจงฟังคำสั่ง เคลื่อนหน้าไปเขตปกครองผนึกสมุทร เป้าหมายคือเมืองหลวงเขตปกครอง ไปรวมพลกับสายลมสวรรค์และปฐพีสองรัฐนี้!”
คำพูดเมื่อดังออกมา บนพื้นกว้างใหญ่ข้างหลังเขามีเสียงสิบล้านกระทั่งว่ามากกว่านั้นคำรามต่ำทุ้มมา เมื่อผสานกัน ก็สั่นสะเทือนฟ้าดิน
“ขอรับ!”
หลังจากเสียงนี้ดังออกมา กองทัพนับไม่ถ้วนมาพร้อมด้วยเผ่าต่างๆ ในดินแดนคลื่นศักดิ์สิทธิ์มากมาย เงาร่างประดุจคลื่นน้ำ ปรากฏขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน
จากนั้น จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ก็เดินไปทางเจ้าวังครองกระบี่
ก้าวประชิดไปทีละก้าวๆ
“ข้ามีกระบี่!” เจ้าวังที่ยืนอยู่ข้างหน้ากองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร มองคลื่นวนบนท้องฟ้า เอ่ยเสียงเบา ขณะที่มือขวายกขึ้น ก็กำมือไปข้างหลัง
กระบี่จักรพรรดิพร่างพรายเล่มหนึ่ง ค่อยๆ ก่อขึ้นมาในมือช้าๆ นี่เป็นกระบี่จักรพรรดิเล่มที่เก้าของสนามรบ และเป็นกระบี่ของเจ้าวังเอง
ตอนนี้ขณะที่คำพูดของเขาดังออกมา ในตาข่ายสีทอง โลงสัมฤทธิ์หลายแสนใบที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เปิดออกพร้อมกัน!
ยิ่งมีเสียงเดียวกันดังก้องทั้งแปดทิศ
“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!”
“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!!”
“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!!!”
เสียงแต่ละประโยคๆ ดังออกมาจากโลงที่เปิดออก เงาร่างแต่ละร่างๆ ปรากฏขึ้นในฟ้าดิน
พวกเขาคือผู้ที่ในห้วงเวลาอันยาวนานพลังบำเพ็ญถึงระดับสูงสุด มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างสงบสุขเลยทีเดียว ในช่วงสุดท้ายเลือกที่จะหลับใหล ฝึกบำเพ็ญทั้งกระบี่จักรพรรดิและชีวิต เลือกที่จะฟันกระบี่เพื่อเขตปกครองผนึกสมุทรในช่วงเวลาสำคัญ…พวกเขาคือผู้ครองกระบี่!
แสงกระบี่แต่ละทางๆ ปะทุมาจากร่างผู้ครองกระบี่ที่ตื่นขึ้นมาเหล่านี้
แสงกระบี่หลายหมื่นทางกะพริบวาบบนท้องฟ้า รวมเป็นแม่น้ำกระบี่สายหนึ่ง ขณะที่พุ่งตรงไปยังเจ้าวัง ร่างของผู้ครองกระบี่เหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เหมือนถูกลบไป หายไปจากโลก
ทุกคนก่อนที่จะหายไป ล้วนมองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทร บ้านเกิดของพวกเขา
มีอาลัยอาวรณ์ มีอวยพร มีวางใจ มีนึกย้อนความหลัง แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือเสียใจ
“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง”
เจ้าวังเงยหน้า แสงกระบี่หลายหมื่นรวมที่มือของเขา ผสานกับกระบี่จักรพรรดิ ความพร่างพรายของประกายแสงต่อให้เป็นความหนาวเหน็บบนท้องฟ้า ก็เหมือนว่ายังต้องหลีกให้ในเสี้ยวขณะนี้
กระบี่เงื้อขึ้นท้องฟ้าสั่นไหว เสียงทำลายทุกสรรพสิ่ง
“ปกป้องบ้านของข้า!”
ขณะพูด เจ้าวังก็ชักกระบี่ที่หลังออกมา ฟันไปยังหงหลิงและเยวี่ยอู้ที่อยู่ข้างหน้าไปหนึ่งกระบี่
กระบี่นี้ฟ้าดินสั่นคลอน รัศมีอำนาจบดขยี้พันกองทัพ
กระบี่นี้ทหารเทพไร้แสง ความหนาวเหน็บหลีกหนี
จักรพรรดิทั้งสองหวั่นไหว ผู้บำเพ็ญทั้งหลายตื่นกลัว กระบี่ที่หลอมรวมผู้ครองกระบี่หลายแสนคนทรงพลังทำลายล้าง กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าเพียงหนึ่งเดียวในฟ้าดิน รับวิถีสวรรค์ แปรเปลี่ยนกฎ ฟาดฟันจิตคิดร้าย ทำลายศัตรูรุกราน
จักรพรรดิหงหลิงนำราชรถวิหคแดงมาไว้ข้างหน้า ต้านทานเคราะห์ภัย
ปราณกระบี่บดขยี้ทำลายล้าง เสียงครวญครางน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง พุ่งผ่านหว่างคิ้วของอสูรวิหคไป
หนึ่งร่างกลายเป็นสองซีก
หงหลิงที่อยู่ข้างหลังสีหน้าหวาดกลัว โลกใบใหญ่ปรากฏขึ้น ต้านทานกระบี่จักรพรรดิ เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว โลกใบใหญ่รางเลือนแล้วรางเลือนอีก จวบจนรางเลือนแตกสลายไปข้างหน้า
หงหลิงเลือดสดๆ กระอักออกมา พลังบำเพ็ญพังทลาย ในยามที่ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจโมโห ประกายแสงกระบี่ก็ฟันผ่านหว่างคิ้วมา!
Comments