ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 508 ขับขานเจตจำนง ด้วยจุดสูงสุดแห่งผนึกสมุทร

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 508 ขับขานเจตจำนง ด้วยจุดสูงสุดแห่งผนึกสมุทร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 508 ขับขานเจตจำนง ด้วยจุดสูงสุดแห่งผนึกสมุทร

……….

ศักราชเสวียนจั้นปีที่สองพันเก้าร้อยสามสิบสอง เจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรดับสูญโดยไม่คาดคิด พลทหารเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์รุกรานพื้นที่สามมณฑล เผ่าฟ้าทมิฬรุกรานดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ

เขตปกครองผนึกสมุทรขอความช่วยเหลือด่วน อันตรายอยู่เบื้องหน้า

เดือนหกปีเดียวกัน เขตปกครองผนึกสมุทรใช้พลังทั้งเขตปกครอง หลังจากยืนหยัดปกป้องด้วยกองกำลังของตนเกือบสองเดือน แนวหน้าทางเหนือเขตปกครองผนึกสมุทรก็แตกพ่าย หลี่หรงอวี้เจ้าวังพิธีการสู้จนตัวตาย จางเหอซิ่นเจ้าวังอาญาสู้จนตัวตาย เหยาเทียนเยี่ยนหายสาบสูญ กองทัพพันธมิตรล้มตายนับไม่ถ้วน ปราชัยไปกว่าสองแสนลี้

หลังจากทางเหนือแตกพ่ายหนึ่งวัน สนามรบตะวันตกก็แตกพ่าย ข่งเลี่ยงซิวเจ้าวังครองกระบี่สู้จนตัวตาย

เผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรนับแสนชีวิตอยู่ในวิกฤต บุตรลำดับเจ็ดของจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ตีตกความคิดเห็นอื่นทั้งหมด ห่วงใยเขตปกครองผนึกสมุทร หลังจากทะลวงผนึกหนาแน่นของเผ่าฟ้าทมิฬ ก็มาที่เขตปกครองผนึกสมุทร

องค์ชายเจ็ดใช้พลังฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ ด้วยอานุภาพประดุจอัสนีบาต นำกองทัพใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์หกสิบล้านคน ใช้อำนาจของห้ากรมทมิฬ ใช้สี่สิบเก้าแม่ทัพตงเซิ่งเป็นหอก กวาดล้างสนามรบทางเหนือ

สังหารผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เจ็ดล้านคนของรัฐสายลมสวรรค์และปฐพีทั้งสองรัฐที่มารุกราน ใช้เลือดเนื้อเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์สร้างแนวป้องกันที่แข็งแกร่งมิอาจโค่นล้มได้ขึ้นที่เขตสนามรบทางเหนือ

ยิ่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ ควบคุมยี่สิบเจ็ดแม่ทัพหนึ่งร้อยสิบสามขุนพลใหญ่ด้วยตัวเอง นำทัพนักรบเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ควบราชรถมังกรทองสี่กรงเล็บทะยานสู่แนวหน้าฝั่งตะวันตก

สุดท้ายเขตตะวันตกก็แตกพ่าย ความเป็นความตายของเผ่ามนุษย์นับล้านในเขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ในช่วงวิกฤต ต้านรับวิญญาณสีชาดและหมอกจันทราสองราชวงศ์ใหญ่แห่งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งลงมือด้วยตนเองจนทำให้ทั้งสองจักรพรรดิบาดเจ็บสาหัส

องค์ชายเจ็ดบุกเบิกสงครามให้เผ่ามนุษย์เป็นครั้งแรก ไม่เพียงทำร้ายสองจักรพรรดิจนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังสังหารศัตรูไปกว่าหกล้านตนในเขตสนามรบด้านตะวันตก

เลือดจักรพรรดิหลั่งริน ย้อมท้องฟ้าจนแดงฉาน องค์ชายเจ็ดไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ร่วมมือกับเหล่าขุนพล สำแดงวิชาต้องห้ามของเผ่ามนุษย์ ปิดผนึกพื้นที่ครึ่งมณฑล จำกัดการแผ่ขยายของสมบัติแดนสงครามเผ่าฟ้าทมิฬ

และใช้สิ่งนี้ ช่วยเหลือเหล่ากองทัพใหญ่ที่พ่ายแพ้ของเขตสนามรบด้านตะวันตก

จากนั้นทัพที่พ่ายของตะวันตกและเหนือก่อตั้งแนวรบขึ้นร่วมกัน รวมกองทัพใหญ่นับสิบล้านและผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร ปกป้องชายแดนเขตปกครองผนึกสมุทร ยิ่งส่งสามแม่ทัพสิบขุนพลนำผู้บำเพ็ญเขตปกครองส่วนหนึ่ง กระจายไปทั่วผนึกสมุทร กวาดล้างองครักษ์ชุดดำรวมถึงขั้วอำนาจเผ่าต่างๆ ที่ก่อความวุ่นวาย

กวดขันในเรื่องนี้ทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร ปีศาจยังครั่นคร้าม วิญญาณชั่วร้ายยังหวาดกลัวไปช่วงหนึ่ง!

ขั้วอำนาจชั่วร้ายในเขตปกครองถูกชะล้างจนหมด เผ่ามนุษย์ในเขตปกครองเริ่มมีเค้าลางสงบสุข

พันธมิตรกู่ก้องยินดี พันเผ่าศิโรราบ

เดือนเจ็ดปีเดียวกัน หลังจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์พ่ายแพ้ ก็เปิดฉากการโจมตี สร้างกองทัพที่น่ากลัวบีบเข้ามา

องค์ชายเจ็ดทรงพระปรีชาสามารถ ยิ่งมีวิธีเผด็จศึกที่ชาญฉลาด ใช้การถอยเพื่อรุกคืบ ล่อศัตรูให้ถลำลึก กระตุ้นไฟพิภพของมณฑลสวนพิรุณและชี้แจ้งวิญญาณทำให้ภูเขาไฟนับไม่ถ้วนระเบิด แผ่นดินสะท้านเขาสะเทือน ลามไปถึงคลื่นพนาและสงบสุข แผดเผาพื้นที่ทั้งสี่มณฑล

ในสี่มณฑล ขมุกขมัวไร้ขสิ้นสุด มีเพียงไฟพิภพที่ยังไม่ดับมอด ลุกโหมโชติช่วง แผดเผาจันทรา

เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้านในกรีดร้องระงม ล้มตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็สกัดการการรุกรานของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้

ศึกนี้เป็นชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ข่าวแพร่ไปถึงฝ่ายสนับสนุนเขตปกครองผนึกสมุทร บรรดาชนเผ่ากู่ร้องยินดีย่างยิ่ง

ปลัดเขตปกครองทูลขอให้บุตรจักรพรรดินั่งรักษาการณ์ดูแลเขตปกครองไปหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง กระทั่งหลังจากได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ บุตรจักรพรรดิเป็นห่วงเหล่าทหาร จึงตกลงที่จะนำผู้บำเพ็ญสิบล้านมายังเมืองหลวงเขตปกครองในเจ็ดวันให้หลัง

วันนี้ ห่างจากวันเดินทางของบุตรจักรพรรดิอีกสามวัน

ชายแดนมณฑลบังคับจำนน ตามแนวป้องกันที่ทอดยาวไปตามเทือกเขานับล้านลี้ สวี่ชิงนั่งอยู่เงียบๆ บนภูเขาหินแห่งหนึ่ง มองฟ้าดินไกลๆ

สภาพของเขา แตกต่างกับแต่ก่อนอย่างมาก

ชุดนักพรตผู้ครองกระบี่เปลี่ยนเป็นชุดเกราะแตกๆ ผมยาวเปลี่ยนเป็นผมสั้นไปแล้ว ทั่วร่างสกปรกมอมแมม ขณะที่กลิ่นคาวเลือดแผ่ปกคลุม ริมฝีปากของเขาก็แห้งแตกไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง

ดวงตาทั้งสองยิ่งเผยความเหนื่อยล้าเข้มข้นออกมา

ตามสายตาเขาที่มองไป ท้องฟ้าขมุกขมัว ควันหนาทึบ เขาเขียวสายน้ำใส แผ่นดินที่อบอุ่นแต่เดิม บัดนี้มืดมิดไปหมด ยังมีเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่ด้วย

ในสองตาที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มองเห็นซากศพไหม้เกรียมนับไม่ถ้วนได้…

สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ เงียบนิ่งไม่พูดจา

จนผ่านสักพัก ด้านหลังเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังมา ข่งเสียงหลงนั่นเอง

การแต่งกายที่ไม่ค่อยต่างกับสวี่ชิงนัก อ่อนล้า อ้างว้างเช่นกัน หลังจากเดินมาข้างกายสวี่ชิงเขาก็นั่งลง มองลออกไปไก ส่งเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าออกมา

“สวี่ชิง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าคุ้มกันเอง ตอนที่ข้ามาเห็นศิษย์พี่ใหญ่เจ้า เขาให้ข้าบอกกับเจ้าว่าให้รีบกลับไป

“ตอนเข้ารองเจ้าวังมาหาข้า บอกว่าสามวันจากนี้เขาจะกลับเมืองหลวงเขตปกครอง และพูดถึงเจ้าด้วย

“ไม่มีกรมอาลักษณ์อีกแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมาย ข้าจึงตอบตกลงแทนเจ้าไปแล้ว”

ข่งเสียงหลงเอ่ยเสียงราบเรียบ น้ำเสียงชินชา ไม่มีคลื่นอารมณ์ใด

สวี่ชิงลุกขึ้นเงียบๆ มองแนวป้องกันที่ทอดยาวอยู่รอบๆ ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์แต่เดิมของเขตปกครองผนึกสมุทร และกองทัพใหญ่ที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิก็อยู่ในค่ายแนวป้องกันที่สองไกลๆ

พักหนึ่ง สวี่ชิงถอนสายตากลับมา ตบไปที่บ่าข่งเสียงหลง ล้วงกาสุราออกมาวางไว้ข้างๆ

นั่นเป็นกาสุราที่เหลือกว่าครึ่งหลังจากที่เขาคุ้มกันอยู่ที่นี่หนึ่งวันหนึ่งคืน

ข่งเสียงหลงหยิบกาสุราขึ้น ดื่มลงไปอึกใหญ่ ตอนที่สวี่ชิงหันหลังจากไป เขาก็เอ่ยขึ้นว่า

“สวี่ชิง ร่างเงานั่น เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่…”

สวี่ชิงหลับตาปิดกั้นสิ่งรบกวน พยักหน้า

ข่งเสียงหลงเงียบนิ่ง จากนั้นก็เปล่งเสียงทุ่มต่ำ

“บุตรจักรพรรดิคนนี้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

“เป็นคนเหี้ยมโหด” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแหบพร่า

หัวสมองเขาฉายภาพมังกรทองสี่กรงเล็บที่มาเยือนรวมถึงร่างที่อยู่บนนั้นตอนที่ตาข่ายยักษ์ของวิเศษเวทต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองแตกสลาย

“กระตุ้นไฟพิภพสองมณฑลให้ระเบิด เรื่องนี้ตาแก่…เรื่องนี้เจ้าวังในตอนนั้นก็ดำลังดำเนินการ จึงให้เผ่ามนุษย์สองมณฑลปักหลักอยู่ แต่ใต้เท้าบุตรจักรพรรดิคนนี้ก็เหี้ยมโหดยิ่ง ในสายตาเขามีเพียงชัยชนะ มีเพียงชื่อเสียง ไม่มีคำว่าชีวิตมนุษย์อยู่เลย!”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

“สวี่ชิง เจ้าเห็นรายงานสงครามหรือไม่ ในนั้นบอกว่าคุณูปการเหล่านั้น ทำให้สองจักรพรรดิเจ็บหนักอะไรนั่น ทำให้สองจักรพรรดิเจ็บหนักนั่น!

“อีกทั้งบุตรจักรพรรดิคนนี้ วันนั้นถ้าเขามาเร็วอีกสักเล็กน้อย ต่อให้เร็วขึ้นเพียงหนึ่งชั่วก้านธูป…” ข่งเสียงหลงหัวเราะอย่างน่าเวทนา ไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ดื่มสุราในกาลงไปอึกใหญ่ โบกมือให้สวี่ชิง

สวี่ชิงยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากไปอย่างเงียบงัน

ห่างจากวันที่เจ้าวังสู้จนตัวตาย ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

เมื่อองค์ชายเจ็ดมาถึง กรมอาลักษณ์นี้ก็หมดความหมาย ผู้คนลืมเลือน ส่วนผู้ครองกระบี่กรมอาลักษณ์แต่เดิม ก็ถูกจัดไปอยู่ในสนามรบแล้ว

ผ่านการระส่ำระส่ายอยู่หลายครั้ง หลังจากผ่านสงครามครั้งใหญ่มาจนถึงตอนนี้ สวี่ชิงได้สัมผัสนิสัยใจคอการกระทำของบุตรลำดับเจ็ดจักรพรรดิคนนี้ด้วยตนเองแล้ว

มีแค่ชัยชนะ ไม่สนสิ่งที่ต้องจ่าย

เป็นอย่างที่ข่งเสียงหลงพูดจริงๆ ชีวิตมนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาเขา ต่อให้เผ่ากว่าครึ่งรวมถึงมนุษย์สามัญจะยังออกมาจากมณฑลสวนพิรุณและชี้แจ้งวิญญาณไม่หมดก็ตาม

แต่เมื่อโอกาสทำสงครามมาถึง เขายังคงเลือกที่จะกระตุ้นไฟพิภพ

เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ตายไปในหนึ่งเดือนนี้มากมายจริงๆ แต่เผ่ามนุษย์ก็มีไม่น้อยเช่นกัน

โดยเฉพาะในเขตสนามรบตะวันตกของเขตปกครองผนึกสมุทรเดิมก็เช่นกัน

ทุกศึกของพวกเขา ล้วนเป็นหน่วยกองหน้าทั้งสิ้น

ที่เหลืออยู่ตอนนี้มีไม่มาก และยังถูกตีแตกกระจัดกระจายไปรวมกับกองทัพอื่นไม่หยุด แต่ละคนถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นยอดนักรบร้อยสงครามในสนามรบแห่งนี้

อย่างสวี่ชิง เขากับข่งเสียงหลงก็เข้าร่วมหลายครั้ง สุดท้ายด้วยการดูแลของเหล่าผู้เฒ่ารองเจ้าวัง จึงเลี่ยงภารกิจเสี่ยงตายในสงครามโหดร้ายได้ ตอนนี้อยู่ในกองทัพที่สี่ของกองทัพใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ภายใต้แม่ทัพลำดับสิบเจ็ดขุนพลลำดับสาม

รับผิดชอบแนวป้องกันบริเวณนี้

เวลานี้ท้องฟ้ายามอัสดง แสงตะวันที่เหลือย้อมเมฆดำไกลๆ จนกลายเป็นสีน้ำตาล สาดลงมาบนถนนภูเขาเบื้องหน้าสวี่ชิง

สวี่ชิงเดินไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งกลับมาถึงค่ายทหารที่สร้างขึ้นในหุบเขาที่ไม่ไกลออกไปนัก

ผู้บำเพ็ญนับร้อยที่นี่ล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ในเขตสงครามตะวันตกแต่เดิม แม้จำนวนคนจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ทว่ากลับไม่มีเสียงดังออกมามากนัก

ร่างทุกคนเต็มไปด้วยบาดแผล บ้างก็กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็เหม่อลอย

ยังมีศพอีกหลายศพที่ยังไม่ย้ายออกไปถูกกองไว้ด้วยกัน

ตอนที่สวี่ชิงเดินเข้ามา พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองสวี่ชิง

ในผู้ครองกระบี่บรรดานี้ มีศิษย์สำนักต่างๆ และยังมีผู้บำเพ็ญกรมอาลักษณ์แต่เดิมด้วย

สวี่ชิงก็มองพวกเขา ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน

ในกระโจมแห่งหนึ่งที่ชายแดนค่ายทหาร สวี่ชิงเห็นนายกองแล้ว

แม้จะดูสะบักสะบอม ชุดเกราะที่ใส่ก็เต็มไปด้วยรอยแตก แต่สภาพจิตใจของนายกองยังดีมาก ร่างกายก็งอกออกมาครบนานแล้ว

ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น หยิบเขาสีดำชิ้นหนึ่งออกมากัด เหมือนกำลังพิสูจน์ระดับความทนทาน

ข้างๆ มีหม้อสนามที่ผลึกไฟกำลังเผาไหม้ ด้านในตุ๋นเนื้อบางอย่างไว้ ขณะที่มีเสียงปุดๆ กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายออกมา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว” สวี่ชิงเดินเข้ามาในกระโจม

กระโจมนี้ เป็นที่พักของทั้งสองคน

แม้องค์ชายเจ็ดจะเข้มงวดกับเขตสงคราม แต่หลังจากผู้ครองกระบี่ของวังครองกระบี่ตายไปจำนวนมาก รองเจ้าวังและผู้อาวุโสของโถงครองกระบี่ทั้งหมด บังคมทูลขึ้นไปหลายครั้ง เพื่อให้บุตรจักรพรรดิยอมให้ผู้ครองกระบี่รวมถึงสำนักที่เสียสมาชิกไปมากมายสามารถถอนตัวออกจากสนามรบกลับไปยังดินแดนของตนเองได้

แต่ที่ยินยอมให้ออกไปมีเพียงส่วนหนึ่ง ยังต้องดำเนินการแบ่งกลุ่ม

ดังนั้นเสี่ยเลี่ยนจื่อที่บาดเจ็บสาหัสและศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตที่บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง จึงออกจากสนามรบไปในฐานะขั้วอำนาจสำนักกลุ่มที่สี่เมื่อสิบวันก่อน

ในฐานะนายกองที่เป็นผู้ครองกระบี่ ยังไม่ได้ออกไป เดิมทีรับผิดชอบพื้นที่อีกแห่งหนึ่งใกล้ๆ ที่นี่ แต่ด้วยการดำเนินการของเขา จึงถูกจัดให้มาอยู่กับสวี่ชิงที่นี่

“ข้าคำนวณเวลาแล้วว่าเจ้าน่าจะกลับมาเวลานี้ เร็วเข้าศิษย์น้อง พวกเรากินข้าวกันดีกว่า” นายกองหันไปมองสวี่ชิง หัวเราะขึ้นมา เรียกสวี่ชิงให้มาอยู่ข้างหม้อสนาม

“วันนี้ตอนกลางวันข้าไปค่ายทหารของพวกเมืองหลวงจักรพรรดิมา พบว่าพวกเขากินดีอยู่เหลือเกิน ข้าจึงเอามานิดหน่อย อีกอย่างข้าก็เห็นว่าพวกเขาจัดการอสูรสงครามของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาหลายตัวอีกด้วย”

นายกองชี้ไปที่หม้อ

“ลองชิมดูไหม”

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง รู้สึกนับถือความสามารถการหาเพื่อนของนายกองในใจ

นับตั้งแต่กองทัพใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิมาถึง นายกองก็เอาแต่ไปค่ายทหารของอีกฝ่ายทั้งวัน ได้เพื่อนมามากมาย และยังสืบข่าวมาได้พอสมควร บางครั้งก็เอาของบำรุงเหล่านี้กลับมา จึงคว้ามาชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปาก

รสชาติก็ไม่เลวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากกินแล้วยังมีความรู้สึกอุ่นวาบในร่างกายด้วย กลายเป็นปราณวิญญาณหลายสาย บ่มเพาะพลังบำเพ็ญ

“ไม่เลวใช่ไหมเล่า” นายกองหัวเราะอย่างภูมิใจ นั่งอยู่ข้างๆ หยิบอีกชิ้นขึ้นมากิน กินพลางพูดไปด้วย

“พี่ข่งบอกข้าแล้วว่าอีกสามวันพวกเราจะกลับ รู้สึกว่าไม่ได้กลับเมืองหลวงเขตปกครองมานาน ผลมรรคาที่พวกเราหามา ครั้งนี้กลับไปต้องเอาไปแลกเสียหน่อย

“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าของพวกนั้นต่อให้เป็นที่เมืองหลวงจักรพรรดิก็ยังเป็นของดี” นายกองพูดพลาง มองไปรอบๆ กดเสียงเบาเอ่ย

“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าสงครามของเมืองหลวงจักรพรรดิเขตใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป เผ่าฟ้าทมิฬครั้งนี้ทุ่มสุดกำลัง และยังมีเผ่าอื่นที่คิดจะก่อความวุ่นวายอีก ในเขตปกครองผนึกสมุทรทางนี้ เป็นที่เดียวที่เผ่ามนุษย์ได้รับชัยชนะ

“ได้ยินว่าการได้รับชัยชนะที่นี่ ทำให้เผ่าใหญ่จำนวนมากรอบๆ เขตใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิที่คิดจะทำอะไร เก็บเนื้อเก็บตัว เลือกที่จะเฝ้าดูแทน…องค์ชายเจ็ดคนนี้ เมื่อทำสงครามใต้หล้าก็รู้กันหมด

“นอกจากนี้ ข้ายังสืบมาได้ว่าจักรพรรดิมนุษย์มีบุตรชายสิบสองคนบุตรธิดาสามคน แต่ไม่มีเรื่องแย่งชิงบัลลังก์กันเลย จักรพรรดิมนุษย์มีวิธีที่เด็ดขาดซ้ำยังหนุ่มยังแน่น นิสัยโหดเหี้ยม เย็นชากับญาติมิตร ทั้งหมดทั้งมวลมองเพียงผลประโยชน์ของเผ่าเท่านั้น

“จุดนี้ เห็นได้จากบุตรลำดับเจ็ดที่มาครั้งนี้ เขาแทบไม่มีความคิดจะกลับเมืองหลวงจักรพรรดิเลย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าลองย้อนนึกถึงวิธีการหลังจากที่เขามาถึงสิ เป็นช่วงจังหวะที่คิดจะทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรกลายเป็นดินแดนใต้อานัติของตน”

นายกองโน้มน้าวให้คิดตาม

“นี่เป็นหมากกระดานใหญ่ แม้จะไม่รู้ว่าถัดจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ฟ้าของเขตปกครองผนึกสมุทรก็เปลี่ยนไปแล้ว…ดังนั้นศิษย์น้อยเอ๋ย เจ้าก็อย่ายึดติดนักเลย โลกใบนี้ความตายเป็นเรื่องปกติ มีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญที่สุด

“ก็เหมือนเนื้อหม้อนี้ แม้จะตุ๋นยาก แต่ถ้าให้เวลามากพอเมื่อเข้าปากก็เปื่อยยุ่ยเหมือนกัน ดังนั้น อารมณ์เศร้าหมองทั้งหมดในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่เวลามิอาจลบล้างไปได้ ถ้าหากมี นั่นก็แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น

“ก่อนที่บรรพจารย์จะกลับไปบอกกับข้าไว้ว่าให้ข้าพยายามฝึกฝน อย่าสนแต่เรื่องรักใคร่หนุ่มสาว อีกหน่อยเมื่องพลังบำเพ็ญสูงส่งพอ จะหญิงสาวเช่นไรก็มีทั้งสิ้น หลังจากข้าขบคิดประโยคนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

“เขตปกครองผนึกสมุทรก็หลักการเดียวกัน หากไม่เหมาะกับพวกเรา ออกไปก็จบแล้ว รอหลังจากที่พวกเราแข็งแกร่งขึ้น กลับมาแล้วหาใช่แค่กวาดล้างอย่างเผด็จการได้เท่านั้น เผ่าต่างๆ รังแต่จะเข้าแถวศิโรราบต่อหน้าพวกเรา”

นายกองทำหน้าหยิ่งผยอง หยิบเนื้ออีกก้อนขึ้นมา วางในมือสวี่ชิง

สวี่ชิงหยิบชิ้นเนื้อใส่เข้าปากเงียบๆ ออกแรงเคี้ยวตุ้ยๆ

ขณะเดียวกัน ศึกของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กับเขตปกครองผนึกสมุทรก็ถูกไฟของทั้งสี่มณฑลสกัดกั้น กองทัพใหญ่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต้องผ่อนการเข้าโจมตีชั่วคราว และใจกลางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ที่เต็มไปด้วยทรายขาว สี่จักรพรรดิเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ กำลังคุกเข่าอยู่ในตำหนักจักรพรรดิเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

เบื้องหน้าพวกเขา เป็นบัลลังก์ที่สร้างขึ้นจากผลึกสีเลือดพิเศษตัวหนึ่ง

บนนั้นมีคนนั่งอยู่ในความมืด เลือนรางไปทั้งร่าง มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา เห็นเพียงปราณสีดำเป็นเส้นๆ แผ่ออกมาจากร่างเขา ผสานเข้าไปในผลึกสีเลือดเหล่านั้น ราวกับกำลังชะล้างสายเลือด

“ท่านบรรพจารย์ ทั้งหมดสำเร็จตามแผนการณ์ขอรับ

“แต่เผ่าฟ้าทมิฬเหมือนจะเริ่มสงสัยแล้ว”

เบื้องล่างบัลลังก์ จักรพรรดิหงหลิงมีกายเนื้อใหม่เรียบร้อย เพียงใบหน้ายังซีดขาวอยู่บ้าง เหมือนเลือดลมยังอยู่ในสภาวะแตกซ่าน ตอนนี้เอ่ยทุ้มต่ำ

จักรพรรดิเทียนเฟิง เยวี่ยอู้ ตี้หลิงอีกสามคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก้มหน้า

พอเห็นว่าไม่มีการตอบกลับอยู่นาน จักรพรรดิเทียนเฟิงจึงส่งเสียงต่ำขรึมออกมา

“บรรพจารย์ ครั้งนี้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเราล้มตายไปกว่าสามสิบล้านตน ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเจ็ดคนนี้ วิธีการโหดเหี้ยม มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ไม่ธรรมดา หากผู้นั้นที่เราร่วมมือด้วย…หลอกพวกเรา หรือองค์ชายเจ็ดคนนั้นทำลายพันธสัญญา…”

จักรพรรดิเทียนเฟิงพูดต่อไม่ได้แล้ว ถูกจักรพรรดิเยวี่ยอู้ตัดบทขึ้นมา

“เทียนเฟิง นี่คือแผนการที่บรรพจารย์กำหนดไว้ พวกเราแค่ทำให้เสร็จสิ้นก็พอ เจ้าเลิกคิดเช่นนั้นเถิด”

จักรพรรดิที่เหลืออีกสองคน มองอารมณ์สีหน้าไม่ออก ล้วนกำลังเงียบนิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง บนบัลลังก์ผลึกสีเลือด ร่างเลือนรางก็ส่งเสียงแหบพร่าออกมา

“พวกเจ้าทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิง ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดต่างกัน มีทั้งอยากเป็นอิสระ มีทั้งรู้สึกว่าตนเป็นเผ่ามนุษย์ มีทั้งที่โหยหาบัลลังก์ของข้า มีทั้งคิดจะเปลี่ยนเจ้านายที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่สนใจพวกเจ้า แต่ครั้งนี้ ใครกล้าทำลายแผนการของเผ่าเรา ข้าจะตัดมันผู้นั้นทิ้งแล้วเปลี่ยนจักรพรรดิองค์ใหม่”

สี่จักรพรรดิก้มหน้า

“หงหลิง”

จักรพรรดิหงหลิงสีหน้าเคร่งขรึม

“ครั้งนี้เจ้าเสียสละไปมาก เผ่าจะชดเชยให้กับเจ้า แม้เต๋าของเจ้าจะขาด ข้าจะต่อให้เจ้าเอง!”

จักรพรรดิหงหลิงร่างสั่นเทิ้ม คารวะอย่างหนักแน่น

“ส่วนเผ่าฟ้าทมิฬที่เจ้ากล่าวว่ากำลังสงสัย นี่เป็นสิ่งที่ข้าบอกกับเผ่าฟ้าทมิฬเอง อย่างไรความจริงต้องซ่อนอยู่ในอีกความจริงหนึ่งเท่านั้น ถึงจะซ่อนเร้นได้นานยิ่งขึ้น” ร่างบนบัลลังก์เอ่ยเสียงแหบพร่า เมื่แจักรพรรดิทั้งสี่ได้ยิน สีหน้าก็ต่างกันไป

“เทียนเฟิง” เสียงแหบพร่าดังก้องขึ้นอีกครึ้ง

จักรพรรดิเทียนเฟิงสูดลมหาใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม

“ความกังวลของเจ้าข้ารู้ดี แต่บุตรชายลำดับเจ็ดของจักรพรรดิเผ่ามนุษย์คนนั้น อยากทำตัวเป็นวีรบุรุษอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรสายตาของผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะเคยทำอะไร สุดท้ายก็ยังทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเราล้มตายไปถึงสามสิบล้านตน ส่วนเผ่ามนุษย์จะตายไปเท่าไร ใครตายไปบ้าง ไม่มีใครสนใจ

“เผ่ามนุษย์โหยหาวีรบุรุษ สิ่งที่เห็นล้วนเป็นร่างที่สาดแสงโชติช่วงชัชวาล ส่วนสีดำขาวด้านใน นอกจากคนที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ ภายใต้เงาจะฝังกระดูกเท่าไร นอกจากญาติมิตรของคนที่ตายไป ก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี

“ส่วนอนาคตถ้าทำตามแผนการ เขายังบุกเบิกขยายอาณาเขตได้ บุกเบิกประวัติศาสตร์นับหมื่นปีให้แก่เผ่ามนุษย์ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ต่อให้ตายไปมากกว่านี้ ใครจะวิพากษ์วิจารณ์เล่า

“หนึ่งความสำเร็จสร้างหมื่นซากศพ

“ดังนั้น เพื่อเขาที่จะกลายเป็นวีรบุรุษของเผ่ามนุษย์ อย่างน้อยก่อนหน้าที่จะสำเร็จ เขาไม่มีทางทำลายพันธสัญญา และจะส่งสิ่งที่พวกเราต้องการให้อย่างราบรื่นแน่นอน

“ส่วนพวกเจ้า เพื่ออนาคตของเผ่าเราเช่นกัน การเสียสละชั่วครั้งคราวยากที่จะหลีกเลี่ยง ในเมื่อแผนการขั้นแรกฝ่ายเราสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ก็ต้องดูว่าสะพานที่เชื่อมระหว่างฝ่ายเรากับองค์ชายเจ็ดคนนั้นจะวางหมากกระดานนี้ต่ออย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือวิธีการที่คนผู้นี้ให้กับข้า มันได้ผล”

“รับทราบ!”

เมื่อสี่จักรพรรดิเบื้องล่างได้ยินก็ตื่นเต้นขึ้นมา คำนับอย่างนอบน้อม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด