ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 509 กรีธาทัพกลับเขตปกครอง
บทที่ 509 กรีธาทัพกลับเขตปกครอง
……….
เวลาผันเปลี่ยน
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กองทัพใหญ่ขององค์ชายเจ็ดที่ตรงไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง ในช่วงเช้าตรู่วันที่สี่ก็รวมตัวเสร็จสิ้น เริ่มเคลื่อนพล
สวี่ชิงกับนายกอง รวมถึงข่งเสียงหลงก็อยู่กลุ่ม
จากการเคลื่อนทัพขนาดใหญ่ ก็ค่อยๆ ออกห่างแนวป้องกัน สวี่ชิงหันหน้ามองไปทางตะวันตกและทางเหนือจากในกลุ่มทหาร
สองเดือนนี้ เขาผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย และเห็นความเป็นตายมากมายด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ขณะที่เงียบนิ่ง ผู้บำเพ็ญที่มองไปทางตะวันตกและทางเหนือเหมือนเขามีอยู่ไม่น้อย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ครองกระบี่ของเขตปกครองผนึกสมุทร
ครู่ใหญ่ สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา มองมังกรทองสี่กรงเล็บไกลๆ เบื้องหน้า…ที่มีมังกรดำนับร้อยตัวรายล้อมระหว่างฟ้าดินนั่น
ในหมอกเมฆ ต่อให้ร่างกายใหญ่โตของมันเผยออกมาแค่เล็กน้อยก็คนที่พบเห็นทำให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องพูดถึงคนร่างที่นั่งอยู่ในราชรถบนร่างมันเลย
ผู้คนในพื้นดินรวมสวี่ชิง เมื่อเปรียบกับคนที่สูงส่งเหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคนนี้แล้วราวกับเป็นธุลีดิน ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
สวี่ชิงคิดถึงตนเองในถ้ำยาจกตอนเด็ก ประโยคหนึ่งที่อาจารย์สอนหนังสือเคยพูดกับเขาไว้
“อะไรคือคนใหญ่คนโต…จริงๆ แล้วง่ายมาก เจ้าที่อยู่ในกลุ่มคนเงยหน้ามองแล้วมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน จดจำเขาได้ เพราะว่าในสายตาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ เขาก็เป็นเพียงหนึ่งเดียว
“และเมื่อเขากวาดตามายังกลุ่มคน แต่กลับเห็นเจ้าไม่ชัด และจดจำเจ้าที่อยู่ในกลุ่มคนไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็คือคนใหญ่คนโต
“ดังนั้น เมื่อไรที่เจ้าทำได้ ตอนที่เจ้าเมืองเดินผ่านพวกเราไป แล้วเขาจดจำเจ้าได้เป็นพิเศษ ให้ความสำคัญกับเจ้า เช่นนั้นเด็กอย่างเจ้าก็ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตเช่นกัน”
คำพูดนี้ สวี่ชิงตอนนั้นจดจำได้อย่างชัดเจน ภายหลังเมื่อเสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตา ตอนที่เขาแอบเข้าไปในจวนเจ้าเมืองค้นหาวิชาฝึกบำเพ็ญ ก็ทำให้ม่านตาที่มืดหม่นไร้ประกายของศพเจ้าเมืองที่นอนตายตาไม่หลับ สะท้อนร่างของตนไว้ได้จริงๆ
ตอนนี้เขามององค์ชายเจ็ดในชั้นเมฆ ถอนสายตากลับมา สีหน้าไร้อารมณ์ เดินหน้าตามกองทัพไป
ผ่านไปหลายชั่วยาม กองทัพใหญ่มาถึงค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่ที่สร้างเสร็จแล้ว ขณะที่ทยอยส่งข้ามนั้น ร่างของสวี่ชิงกับสหายร่วมรบรอบๆ ก็หายไปในทะเลแสงเจิดจ้า
ตอนที่ปรากฏตัว ก็มาอยู่ด้านนอกเขตปกครองที่คุ้นเคยซึ่งเหินห่างไปกว่าสองเดือนแล้ว
ไม่ใช่กองทัพใหญ่ทั้งหมดจะเข้าไปในเมืองหลวงเขตปกครองได้
สวี่ชิงกับทหารอีกมากมายทำได้เพียงรอคำสั่งอยู่บนพื้นดินรอบๆ เมืองหลวงเขตปกครองเท่านั้น
มีไม่มากที่มีคุณสมบัติส่งข้ามเข้าไปในเมืองหลวงเขตปกครองเพื่อติดตามองค์ชายเจ็ด
ยืนอยู่บนพื้นดินเมืองหลวงเขตปกครอง สวี่ชิงเงยหน้า ขณะที่มองไปเมืองหลวงเขตปกครองด้านบน เขาก็ได้ยินเสียงกู่ก้องดังสนั่นออกมาจากเมืองหลวงที่คุ้นเคย
เสียงดังจนหูแทบดับ สะท้อนก้องฟ้าดิน
เมฆมงคลเจ็ดสีแผ่บนท้องฟ้า เปล่งประกายเจิดจ้า สามวังใหญ่ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาช่วยขับเน้นด้วย
แต่สวี่ชิงมองไม่เห็นภาพในเมืองหลวงเขตปกครอง เวลานี้บ้านเรือนทั้งหมดประดับด้วยแถบผ้าสี ถนนใหญ่สายหนึ่งจากจวนเจ้าเขตปกครองไปจนถึงค่ายกลส่งข้าม ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นถนนบุตรจักรพรรดิ
บนถนนใหญ่นี้แขวนโคมมงคล โรยด้วยดอกไม้สด สองฟากฝั่งมีคนนับไม่ถ้วนมารอต้อนรับ เสียงกู่ร้องกึกก้องไปทั้งแปดทิศ
“มีชัย!”
“มีชัย!”
“มีชัย!”
ตอนที่ตีฆ้องร้องป่าว ร่วมเฉลิมฉลองกันนั้น ปลัดเขตปกครองก็พาคนในเขตปกครอง รวมถึงเผ่าเคียงเซียนและเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์ ยังมีบรรพจารย์ต่างเผ่าอีกมากมาย ค้อมตัวคำนับอย่างนอบน้อม ขณะที่ค่ายกลเปล่งแสงเจิดจ้า ขณะที่ร่างขององค์ชายเจ็ดปรากฏตัว
“คารวะองค์ชายเจ็ด!”
บนฟากฟ้า มังกรทองสี่กรงเล็บพ่นแสงสีแดงออกมา แสงกะพริบวูบวาบ เจิดจ้าถึงขีดสุด บนพื้นดิน องค์ชายเจ็ดอมยิ้มเดินออกมา หันหน้าไปทางกลุ่มคน
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงดังสนั่นถึงขีดสุด
สวี่ชิงยืนเงียบๆ อยู่ในกองทัพใหญ่นอกเมืองหลวงเขตปกครอง ได้ยินทั้งหมดนี้
จนผ่านไปครู่หนึ่ง โองการหนึ่งก็ส่งมาในกองทัพ ให้กองทัพใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิปักหลักฐานที่มั่น จัดการได้ตามใจ ส่วนผู้ครองกระบี่ที่อยู่ในสนามรบด้านตะวันตกแต่เดิม ในที่สุดก็ได้รับคำสั่งให้กลับไปได้ตามใจเช่นกัน
พวกเขาหลังจากนี้ เว้นเสียแต่เวลาที่มีกำหนดพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่สนามรบอีก
คำสั่งนี้มาจากปลัดเขตปกครองรวมถึงรองเจ้าวังครองกระบี่ ภายใต้การร้องขอของพวกเขา บุตรจักรพรรดิก็คิดในใจว่าเหล่าผู้ครองกระบี่นั้นไม่ง่ายเลย จึงยอมอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
สวี่ชิงออกจากองทัพใหญ่ ไม่ได้ไปที่ใด ตรงกลับไปยังหอกระบี่ของตน
ตอนที่ก้าวเข้าไป เขาไม่ถอดชุดเกราะออก ยิ่งไม่นั่งสมาธิด้วย แต่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หลับลงในพริบตา
การนอนหลับนี้ ยาวไปถึงช่วงเย็นของอีกวัน
ตอนที่ตื่นขึ้นมา แผ่นหยกสื่อเสียงของเขาและกระบี่อาญาสิทธิ์ ก็มีข้อความส่งมาจำนวนมาก
เพราะสนามรบไม่อนุญาตให้ใช้แผ่นหยกสื่อเสียง ถูกปิดผนึกไว้ทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้หลังจากกลับเข้ามาในเมืองหลวงเขตปกครอง จึงใช้แผ่นหยกสื่อสารได้
“สวี่ชิง ก่อนหน้านี้ข้าติดต่อเจ้าไม่ได้ จนถึงวันนี้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าก็โล่งใจ เมื่อรู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าก็ติดตามเผ่าวิญญาณต้นไม้กลับมาแล้ว ในเมืองหลวงเขตปกครองแตกต่างกับที่ข้าคิดไว้ตอนแรกอยู่บ้าง ศึกนี้เผ่าวิญญาณต้นไม้ก็สาหัส ข้าเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด…ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็แวะมาที่เผ่าวิญญาณต้นไม้บ้าง หลิงเอ๋อร์ใกล้จะตื่นแล้ว”
นี่จากชายชราถนนทองผุด
“สวี่ชิง ถ้าตื่นแล้วมาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
นี่จากข่งเสียงหลง
“ศิษย์น้องเล็ก ตื่นแล้วบอกข้านะ ข้าจะเอาผลมรรคาที่เจ้า”
นี่จากนายกอง
“อาลักษณ์สวี่ ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ ข้าได้รับข้อมูลมาจากเมืองหลวงเขตปกครอง พวกต่างเผ่าที่ถูกท่านคุกคามตอนนั้นมายื่นคำร้องแล้ว บอกว่าท่านไปทำลายความสามัคคีของเขตปกครองผนึกสมุทร แม้เรื่องนี้จะถูกปลัดเขตปกครองยับยั้งเอาไว้ แต่ท่านก็ต้องระวังตัวด้วย”
นี่จากชิงชิว
สวี่ชิงตอบกลับไปง่ายๆ ไม่กี่คำ วางแผ่นหยกลง หลังจากบิดขี้เกียจ ปลดเกราะบนร่างกายลง เมื่อโบกมือก็มีฝนหมอกนับไม่ถ้วนมารวมที่ร่างกาย และชะล้างร่างกายเขาจนสะอาดสะอ้านอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่ไม่จัดการในสนามรบ หนึ่งคือมันไม่มีความหมาย อีกอย่างคือสิ่งสกปรกอย่างหมอกควันและกลิ่นอายความตายที่เข้มข้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เว้นเสียแต่จะเป็นพวกกลัวเชื้อโรค ไม่มีทางทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาแน่
เมื่อชะล้างเสร็จ หลังจากสวี่ชิงเปลี่ยนชุดนักพรตใหม่ นายกองที่เหมือนมีแสงสว่างพร่างพราวราวกับเป็นคนใหม่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับความคาดหวัง
ในนสนามรบก่อนหน้านี้ สวี่ชิงบอกนายกองว่าผลมรรคาติดตัวมาแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากอยู่ในเมืองหลวงเขตปกครอง
ตอนนี้เมื่อได้พบหน้ากัน ก็ไม่รอให้นายกองต้องบอกกล่าว สวี่ชิงก็ล้วงถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของของหอกระบี่ โยนไปให้
“คนละครึ่ง” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
นายกองหน้าบานเป็นกระด้งทันที
“พอแล้วฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็แลกประกาศิตผนึกบรรพกาลวิถีได้แล้ว อาชิงน้อยข้าจะบอกเจ้า ที่ข้ามาเมืองหลวงเขตปกครองหาแต้มกองทัพอย่างสุดกำลัง ก็เพื่อเจ้าสิ่งนี้นี่ล่ะ!”
นายกองพออกพอใจ หยิบถุงเก็บของใส่เข้าไปในอก สายตาหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อาชิงน้อย เจ้าจะไปแลกตะเกียงชีวิตด้วยหรือไม่ แต้มกองทัพของผลมรรคาก็เพียงพอแล้ว แต้มความชอบก็ให้แล้ว เจ้าลองดูว่าเจ้าได้แต้มความชอบเท่าไร ข้าได้แต้มความชอบขั้นห้ามาสี่ ขั้นสามมาสอง!”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็ล้วงกระบี่ประกาศิตของตนออกมาตรวจสอบ
‘ผู้ครองกระบี่สวี่ชิง ผ่านรายงานของวังครองกระบี่ และตรวจสอบโดยกรมวินัยทหาร สงครามเขตปกครองผนึกสมุทร ได้รับแต้มกองทัพขั้นสองหนึ่งครั้ง แต้มกองทัพขั้นสามสี่ครั้ง แต้มกองทัพขั้นสี่เจ็ดครั้ง แต้มกองทัพขั้นห้าสิบเอ็ดครั้ง’
สวี่ชิงตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะมากเพียงนี้
“ฮ่าๆ ไม่น้อยเลยนี่ ข้าได้ยินว่ารองเจ้าวังครองกระบี่รายงานขึ้นไปด้วยตัวเองเลย หลักๆ แล้วได้กันทุกคน” นายกองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปรอบๆ เอ่ยเสียงต่ำทุ้มอีกว่า
“เจ้ากลับมาก็คงนอนเลยสินะ ข้าจะบอกเจ้าอาชิงน้อย ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมายทีเดียว หลังจากที่องค์ชายเจ็ดมาถึง สถานภาพของเขตปกครองก็แตกต่างจากเดิมแล้ว
“วังครองกระบี่ วังพิธีการ วังอาญา มีสามแม่ทัพใหญ่ใต้อาณัติเขามาดำรงตำแหน่งเจ้าวัง”
“อกทั้งผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ของทั้งสี่มณฑล ถูกบันทึกความผิดพลาด มณฑลรับเสด็จราชันก็เช่นกัน เหตุผลมากมาย ในนี้มีข้อหนึ่งคือความผิดฐานทำคนหาย แม่นางโยวจิงนั่น ถึงกับฝืนฝ่าพันธนาการในสนามรบโดยไม่สนว่าพลังบำเพ็ญจะลดและต้องบาดเจ็บสาหัส ถือโอกาสขณะที่วุ่นวายหลบหนีไปแล้ว
“อีกทั้งเผ่าเคียงเซียนและเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์ พันธสัญญาของสองเผ่านี้กับเผ่ามนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงฐานะ องค์ชายเจ็ดก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใด เวลาแค่วันเดียว พวกเขาก็ยินยอมที่จะกลายเป็นเผ่าที่มาพึ่งพาอาศัยเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทร
“นอกจากนี้ ต่างเผ่าอีกกว่าสี่ร้อยเผ่า ก็เลือกที่จะส่งบรรณาการแต่ละปีเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งอำนาจทหารด้วย
“ไม่พูดแล้ว ข้าขอไปแลกของก่อน จริงสิอาชิงน้อย ปลัดเขตปกครองแจ้งมาว่าพรุ่งนี้จะจัดงานไว้อาลัยเขตปกครอง เพื่อไว้อาลัยเจ้าเขตปกครองรวมถึงเจ้าวังทั้งสามที่สู้จนตัวตาย รวมถึงเหล่าทหารผู้เสียสละทั้งหมด”
สวี่ชิงส่งนายกองด้วยสายตา เขายืนอยู่นอกหอกระบี่มองไปรอบๆ เมืองหลวงเขตปกครองที่คุ้นเคย ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
ทั้งหมดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จู่ๆ สวี่ชิงก็คิดถึงเจ็ดเนตรโลหิต คิดถึงท่านอาจารย์
ครู่ต่อมา เขาก็ซื้อสุรามาหลายกา ตรงไปที่หอกระบี่ของข่งเสียงหลง
ข่งเสียงหลงนั่งดื่มสุราอยู่ลำพัง หลังจากเห็นสวี่ชิง เขาก็อยากจะยิ้ม แต่กลับยิ้มไม่ออก สุดท้ายก็ยกกาสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
สวี่ชิงนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ดื่มกับข่งเสียงหลง ทั้งสองคนไม่พูดจา
จนผ่านไปหนึ่งคืน สีท้องฟ้าด้านนอกฉายแสงรำไร สวี่ชิงจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“พี่ข่ง งานไว้อาลัยเขตปกครองเริ่มแล้ว”
ข่งเสียงหลงพยักหน้าเงียบๆ พักใหญ่ เขาก็ส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา
“สวี่ชิง เจ้ารอข้าข้างนอกสักครู่”
สวี่ชิงพยักหน้า เดินออกจากหอกระบี่
ชุดนักพรตผู้ครองกระบี่สีขาวเรียบร้อย ทำให้เขาเหมือนกลับไปช่วงเวลาก่อเกิดสงครามเลาๆ
“ตาแก่ไม่ยอมให้ข้าเรียกเขาว่าท่านปู่มาตลอด ข้าก็คร้านจะเรียกเขา ตั้งแต่เล็กจนโต เดิมก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว” ข่งเสียงหลงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แต่ว่า… ตาแก่คนนี้ก็เป็นคนเข้มงวด เขาอยู่บนสวรรค์ หากเห็นข้าที่เมามายเช่นก่อนหน้า คงได้หน้าตึงด่าข้าดังเอ็ดตะโรเป็นแน่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะดุด่าไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขาดีใจหน่อยแล้วกัน”
“เจ้าว่าใช่หรือไม่สวี่ชิง” ข่งเสียงหลงมองสวี่ชิง
สวี่ชิงพยักหน้าเบาๆ
ข่งเสียงหลงสูดลมหายใจลึก เดินตรงไปด้านหน้า
สวี่ชิงไปกับเขา ทั้งสองเดินออกจากหอกระบี่ ขณะที่เสียงระฆังของเมืองหลวงเขตปกครองดังก้องจนทั่วทั้งเมืองหลวงเขตปกครองเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม พวกเขาก็มาถึงในเมืองหลวงเขตปกครอง มาถึง…เบื้องหน้าของรูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว
ตอนนี้ ที่นั่นมีผู้บำเพ็ญนับแสนยืนอยู่
วังครองกระบี่ วังพิธีการ วังอาญา ผู้บำเพ็ญศาลาว่าการเขตปกครอง ทั้งหมดล้วนอยู่ในนี้
ยังมีเงาอีกมากมายตรงมาอย่างรวดเร็วจากทั้งแปดทิศ ในนี้มีทั้งคนที่แขนขาไม่ครบ มีทั้งคนที่บาดเจ็บยังไม่ฟื้นตัว มีทั้งคนที่ดวงตาแดงก่ำ มีทั้งที่หดหู่เศร้าสร้อย
พวกเขา ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญร้อยศึกที่รอดชีวิตกลับมาจากสนามรบตะวันตก
บนพื้นดิน กองทัพใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิก้าวออกมา ก้มหน้าไว้อาลัย
ในเมืองหลวง ทุกบ้านครัวเรือน ล้วนเดินออกมาตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะชายหนุ่มหญิงสาวเด็กน้อยหรือแก่ชรา ก็มองมาทางรูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเงียบๆ ทั้งสิ้น
ตอนนี้ แนวหน้าทางตะวันตกอละทางเหนือ ผู้บำเพ็ญ ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดที่ไม่ได้กลับมายังเขตปกครองผนึกสมุทร ปล่อยวางทั้งหมด หันหน้ามาทางเมืองหลวงเขตปกครอง ความเศร้าระทมอย่างยิ่งฉายขึ้นมาบนใบหน้า
สำนักเผ่ามนุษย์ที่เคยไปออกศึกที่สนามรบตะวันตกแล้วกลับไปยังมณฑลต่างๆ เวลานี้ทั้งหมดเคาะระฆังสำนัก ดังกึกก้องในแต่ละมณฑล ดังก้องไปทั้งแปดทิศ ทั้งก้องไปทั้งฟ้าดิน
ร่วมไว้อาลัยแก่เขตปกครอง
Comments