ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 514 แต่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา!

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 514 แต่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 514 แต่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา!

…………….

ได้ยินคำพูดของนายกอง สวี่ชิงอดคิดถึงไปแดนต้องห้ามมรณะก่อนหน้านี้ขึ้นมาไม่ได้ เห็นตำแหน่งที่อาจารย์อยู่บนค่ายกลเหมือนจะสำคัญกว่าบรรพจารย์

จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

เห็นสวี่ชิงเห็นด้วยกับข้อเสนอของตัวเอง นายกองหน้าตาเบิกบาน เอ่ยเสียงต่ำ

“พวกเราไปหาท่านอาจารย์ แต่ไม่มีวิธีสื่อทอดเสียง เรื่องนี้จะใช้วิธีของโถงครองกระบี่ส่งข่าวไม่ได้…”

นายกองกะพริบตาปริบๆ สายตากวาดไปบนร่างสวี่ชิง

“เรื่องนี้ทำได้เพียงหลอกท่านอาจารย์มา พูดต่อหน้า”

“ดังนั้นแล้ว” สวี่ชิงสงสัย สายตาของนายกองไม่ค่อยชอบมาพากล

“ดังนั้น…จะให้อาจารย์ตามมาอย่างร้อนอกร้อนใจจนไม่หยุดฝีเท้าอย่างไร พวกเราก็ต้องขบคิดให้ดี”

นายกองกระแอมทีหนึ่ง

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าว่าเรื่องนี้ทำได้เพียงว่าเราสองคนคนใดคนหนึ่งใกล้จะตายแล้ว อีกทั้งจะต้องทำให้สมจริง แม้จะบอกว่าข้าใกล้ตาย อาจารย์จะต้องร้อนใจมาในที จะอย่างไรท่านอาจารย์ก็รักข้ามาก แต่…ข้าเหลือแค่หัวก็ไม่เป็นไร ท่าทางท่านอาจารย์แค่คิดก็เดาได้ว่าหลอกเขา”

“ไม่มีรหัสลับอะไรหรือ” สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยสงบนิ่ง

“ไม่มีรหัสลับอะไร ของแบบนี้ไม่มีจริงๆ!!” นายกองปิดหน้าถอนหายใจยาว หลังจากแอบมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ก็พูดต่อว่า

“ทำได้แค่ลำบากศิษย์น้องเล็กแล้ว เพื่อให้สมจริงอีกเล็กน้อย เจ้าอย่าได้ขัดขืน ข้าจะลงมือกับเจ้าอย่างอ่อนโยนหน่อย พยายามทำให้บาดเจ็บแค่เจ็ดวันก็ดีขึ้น

“เจ้าวางใจ อย่างมากก็ขาขาด บนร่างมีรูโหว่มากขึ้นมาสามสี่แห่ง กระดูกแหลกร้อยท่อนต้นๆ มันสมองกระจายออกมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก่อนพวกเราทำมาตั้งหลายครั้ง ข้ามีประสบการณ์

“ประเด็นคือ อาจารย์มาแล้วเห็นบาดแผลเจ้าก็จะไม่คิดว่าพวกเราหลอกเขา จากนั้นพวกเราก็พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างที่ควรจะเป็น จะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน วางใจ แต่ก่อนข้าทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ”

นายกองหัวเราะฮี่ๆ อยากจะลองเต็มที ทุกครั้งที่เขาปลดผนึกล้วนอยากสร้างความน่าเกรงขามในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองต่อหน้าสวี่ชิง

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้เกือบตามความเร็วการฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงไม่ทัน ดังนั้นครั้งนี้ในใจของเขาฮึกเหิม คิดจะวางอำนาจแสดงศักดา

สวี่ชิงพยักหน้า เอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมา แลกสิทธิ์ในการสื่อเสียงหาผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ ถ่ายทอดเสียงไปอย่างรวดเร็ว

“รบกวนผู้อาวุโสใหญ่ช่วยถ่ายทอดคำพูดข้าให้กับอาจารย์ข้าด้วยขอรับ”

สวี่ชิงปรายตามองนายกองผาดหนึ่ง ถือกระบี่อาญาสิทธิ์เอาไว้ต่อ และการถ่ายทอดเสียงแบบนี้ คนนอกจะไม่ได้ยิน

“ได้โปรดบอกอาจารย์ข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจะแต่งงานกับอสูรเมฆาตัวหนึ่ง ข้าไม่อาจคัดค้านได้ งานแต่งงานคือสามวันหลังจากนี้ เขาไม่กล้าบอกท่านอาจารย์ ข้าจึงมาบอก ขอเชิญท่านอาจารย์โปรดมาร่วมงานแต่งงานด้วย”

“…” ผู้อาวุโสใหญ่ทางนั้นเงียบนิ่ง จากนั้นก็หัวเราะ เห็นได้ชัดว่าฟังออกถึงความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างเรียบนิ่ง

“ท่าทางอาจารย์ของเจ้าจะต้องดีใจที่ได้ยินเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่มากขอรับ!” สวี่ชิงเอ่ยอย่างจริงจัง จากนั้นก็วางกระบี่อาญาสิทธิ์ลง มองไปทางนายกองที่สีหน้างุนงงสงสัย

“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบมาพากลเลย เจ้าทำตามวิธีการพูดที่ข้าบอกก่อนหน้านี้หรือไม่” นายกองประเมินสวี่ชิงอย่างละเอียด

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องเชื่อข้า” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง มองตานายกอง

นายกองรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังถูๆ มือ ดวงตาฉายแสงวาววาม

“เอาล่ะ ข้าจะลงมือให้อ่อนโยนหน่อย ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้เพิ่งทะลวงขั้น ตอนนี้ฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง เอาเจ้ามาใช้ฝึกมือได้พอดี” นายกองพูดแล้วก็จะลงมือ

สวี่ชิงมองนายกอง ส่ายหน้า

“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่ข้าถ่ายทอดเสียงไปบอกว่าได้รับพิษ ข้าแก้พิษไม่ได้”

พูดแล้วสวี่ชิงก็หยิบหญ้าพิษบางอย่างออกมาจากถุงเก็บของแล้วกลืนลงไป

นายกองดวงตาเบิกโพลง มองสวี่ชิง

สวี่ชิงใบหน้าไร้เดียงสา มองนายกอง

“หากได้รับบาดเจ็บ อาจารย์ไม่มีทางเชื่อเหมือนกัน ในเมื่อได้เห็นอยู่บ่อยนัก ดังนั้นข้าบอกว่าข้าได้รับพิษ ท่านก็รู้ว่าข้ารู้เรื่องวิถีพิษ และข้ายังแก้พิษไม่ได้ หมายความว่าพิษนี้ร้ายแรงมาก”

สวี่ชิงพูดแล้วเอาผงพิษสำเร็จจำนวนหนึ่งออกมาแล้วกลืนลงไป

นายกองมองสวี่ชิงกินพิษ สัญชาตญาณบอกว่านี่จะต้องมีแผนลวงอย่างแน่นอน แต่ก็เหมือนว่าจะสมเหตุสมผล อีกทั้งสวี่ชิงเพียงแค่ชั่วครู่ก็กินไปหลายชนิด

แต่คิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เขากะพริบตาปริบๆ สีหน้าฉายรอยยิ้มแต่ก็คล้ายไม่ยิ้ม

“ศิษย์น้องเล็ก ไม้นี้ของเจ้ายังอ่อนหัดนัก เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อจริงๆ หรือ หึๆ” นายกองหลังจากพูดอย่างเรียบนิ่ง ก็บิดขี้เกียจ

“จากมณฑลรับเสด็จราชันมาถึงที่นี่ ต่อให้เป็นค่ายกลส่งข้ามก็ต้องใช้เวลาสามวัน ช่างเถอะ ข้าไม่อัดเจ้าแล้ว เจ้ากินต่อไปเถิด กินให้มากสักหน่อย ข้าไปก่อนล่ะ ไปตรวจสอบรายงานแดนต้องห้ามเซียนสักหน่อย”

พูดจบนายกองก็เอามือไพล่หลัง สีหน้าแฝงด้วยความได้ใจ ท่าทางเหมือนข้าไม่มีทางเชื่อ แล้วก็จากไป

สวี่ชิงมองส่งนายกองจากไปจนลับสายตา ส่ายหน้ากินพิษต่อไป

และนอกหอกระบี่ นายกองสีหน้าสุขุม เดินไปข้างหน้าลอยหน้าลอยตา จวบจนเมื่อเดินมาถึงในเมืองหลวงเขตปกครอง เขาก็หามุมหนึ่ง ก้มมองมือขวาของตัวเองอย่างรวดเร็ว

กลางฝ่ามือของเขามีดวงตาข้างหนึ่งงอกอยู่ ในนั้นสะท้อนภาพที่สวี่ชิงกำลังกินพิษ

“ยังกินอีกหรือ หรือจะสังเกตเห็นตาที่ข้าปล่อยออกไป เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ข้าปลดผนึกแล้ว อาชิงน้อยน่าจะไม่รู้ตัว” นายกองลังเลเล็กน้อย

“สังเกตต่อไปก่อน”

เวลาผ่านไปสองวันเช่นนี้เอง ห่างจากระยะทางที่เร็วที่สุดที่มาจากมณฑลรับเสด็จราชันยังเหลืออีกหนึ่งคืน นายกองมาหอกระบี่ของสวี่ชิงอีกครั้ง หลังจากเข้ามาเขาก็ตบๆ ท้อง นั่งลงข้างหน้าสวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งร่างดำคล้ำ ท่าทางเหมือนโดนพิษสาหัสมาก

“เอ่อ…ศิษย์น้องเล็ก ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้กระมัง”

นายกองมองหน้าตาท่าทางของสวี่ชิง ในใจยิ่งลังเล สองวันนี้เขาสังเกตอยู่หลายครั้ง พบว่าสวี่ชิงกินพิษจริงๆ ไม่ได้หยุด

“หลังจากที่ท่านอาจารย์มา หากพบว่าพวกเราหลอกเขาจะต้องโกรธมากแน่นอน” สวี่ชิงพูดพลางถือหญ้าพิษต้นหนึ่งไว้ เอาใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ สามสี่คำ

“ดังนั้น ข้าอนาถมากสักนิด อาจารย์ก็จะไม่โกรธขนาดนั้นแล้ว”

นายกองอกสั่นขวัญแขวน ขณะเดียวกันก็กังวลผลที่สวี่ชิงวิเคราะห์ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นเมื่ออาจารย์มาถึงแม้จะต้องโกรธแน่นอน อย่างไรเสียก็โดนเขาสองคนหลอกมา แต่ท่าทีของสวี่ชิงจริงใจ แสดงละครได้สมบูรณ์ นี่หมายถึงเขาเคารพอาจารย์

โกหกก็ต้องมีศิลปะ

เช่นนี้แล้วมีโอกาสสูงที่จะหายโกรธจริงๆ

และหากตัวเขาไม่เป็นอะไรเลย…ด้วยความเข้าใจในอาจารย์ของเขา จะต้องคิดว่าตัวเขาไม่เคารพครูบาอาจารย์แน่นอน

จะอย่างไร หลอกลวงอาจารย์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรล้วนไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

หากไม่มีตัวเปรียบเทียบก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ดันมีตัวเปรียบเทียบ

นึกถึงตรงนี้ นายกองก็ลังเล มองสวี่ชิงอย่างขุ่นเคืองผาดหนึ่ง

เห็นเวลาผ่านไปทีละนิดๆ ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มสลัว นายกองก็กัดฟันกรอด ยื่นมือไปหาสวี่ชิง

“เอายาพิษมาให้ข้าหน่อย!”

สวี่ชิงสีหน้าประหลาดใจ

“ท่านก็จะกินหรือ”

“เอามาให้ข้า!” นายกองสีหน้าโศกเศร้าโกรธเคือง

สวี่ชิงส่งยาพิษไปเงียบๆ

นายกองรับเอาไว้ หลับตากลืนลงไป ไม่นานนักหน้าก็ดำคล้ำ เห็นสวี่ชิงยังกินอีก ในใจของเขาร้องโหยหวน กินต่อเช่นกัน

เวลาหมุนไปเช่นนี้เอง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ในยามที่ท้องฟ้าข้างนอกสว่างโดยสมบูรณ์ แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงก็พลันสั่น สวี่ชิงรีบถือขึ้นมา เสียงของนายท่านเจ็ดดังต่ำทุ้มออกมา

“พวกเจ้าอยู่ที่ใด!”

ได้ยินเสียงของนายท่านเจ็ด นายกองกลืนพิษที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำท่าหายใจรวยริน นอนอยู่ตรงนั้นพยายามทำให้ตัวสั่นทั้งตัว

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง บอกตำแหน่งหอกระบี่ของตัวเองกับอาจารย์ แล้วสะบัดมือเปิดประตูหอกระบี่ออก

ไม่นานนัก เงาร่างของนายท่านเจ็ดก็ปรากฏข้างนอกประตูอย่างเงียบเชียบ เหมือนว่ามีเส้นขีดที่มองไม่เห็นวาดเขาออกมา

เขาเดินเข้ามาในหอกระบี่ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ สวี่ชิงคิดจะยืนขึ้น แต่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ กระอักเลือดออกมา ก้มหน้าลง เอ่ยเสียงต่ำ

“ท่านอาจารย์…”

“แสดงได้สมบทบาทดีนี่ รู้ว่าหลอกอาจารย์ไม่ถูกแล้วหรือ ท่าทางพิษนี่เจ้าจะกินมาหลายวันแล้วกระมัง อืม สีหน้าท่าทางยังนับว่าดี” นายท่านเจ็ดกวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

นายกองเห็นภาพนี้ นอนอยู่ตรงนั้นก็พยายามดิ้นรน ทำท่าจะยืนขึ้นมา กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งเหมือนกัน

นายท่านเจ็ดแค่นเสียงเย็น เดินไปข้างๆ นายกอง อดใจไม่ไหวเตะไปหนึ่งที เสียงโครมดังขึ้น เตะนายกองจากท่านอนให้กลับมานั่ง ก้นกระแทกพื้น

“เจ้าแสดงได้ไม่เหมือนเลยสักนิด ดูจากท่าแล้วคงกินไปได้ไม่นาน เลียนแบบศิษย์น้องเจ้าหรือ”

“อาจารย์ ข้าคิดถึงท่าน” นายกองรู้สึกว่าก้นเจ็บมาก จึงมองนายท่านเจ็ดด้วยหน้าตาน่าสงสาร

สวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ สีหน้าขมขื่น อยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้

นายท่านเจ็ดแค่นเสียงเย็นขึ้นจมูก ถลึงตามองนายกอง สายตาในยามที่มองไปทางสวี่ชิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยอีกครั้ง

“เจ้าสี่ เจ้าไม่ชอบโกหกมาโดยตลอด เรื่องนี้ข้ารู้ จะต้องเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าบีบบังคับเจ้าแน่นอน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าทำผิดจนเป็นนิสัย”

สวี่ชิงได้ยินก็ก้มหน้า เอ่ยเสียงเบา

“อาจารย์ เป็นข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ช่วยกันคิดขอรับ”

“จนถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังช่วยพูดให้ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าอีก” นายท่านเจ็ดสายตาฉายแววชื่นชม ยิ่งหยิบลูกกลอนแก้พิษล้ำค่าออกมาหลายเม็ดอย่างรวดเร็ว ยื่นให้สวี่ชิง

“รีบกินยาแก้พิษลงไป เจ้าเด็กคนนี้เถรตรงเกินไป”

พูดจบ นายท่านเจ็ดก็หันมาถลึงตาใส่นายกองอย่างดุดัน

“เจ้าดูเจ้า เจ้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แต่กลับบีบบังคับศิษย์น้องของเจ้า เจ้าจะเรียกข้ามา ใช้รหัสลับไม่เป็นหรือ ศิษย์น้องเจ้าเข้าสำนักช้าไม่รู้ เจ้าไม่รู้รหัสลับหรือ แต่ก่อนข้าพาเจ้าออกไปข้างนอก ไม่เคยสอนเจ้าหรือไร

“ทำไม คลายผนึกทางหนึ่งก็อวดดีลืมตัวแล้วหรือ คันเนื้อคันตัวขึ้นมาอีกแล้วหรือ”

นายกองสั่นสะท้าน รีบส่ายหน้า พบว่าสวี่ชิงมองตัวเองเงียบๆ นายกองกระแอมอย่างกระอักกระอ่วนทีหนึ่ง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอาลูกกลอนแก้พิษทั้งหมดใส่ปาก จากนั้นก็หยิบสมุนไพรออกมาอีกสองสามต้นแล้วกลืนลงไป พิษทั่วทั้งร่างสลายไปหมดทันที

สมุนไพรพิษที่เขากินสองวันนี้ล้วนแต่ข่มและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นพิษผสมประเภทหนึ่ง ขอเพียงกลืนยาตัวสำคัญก็สามารถแก้พิษได้ทันที

ส่วนนายกองทางนั้นกินเพียงส่วนเดียว ดังนั้นตอนนี้ทั้งหน้าจึงดำคล้ำ

สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว นายกองดวงตาเบิกโพลง กำลังจะเอ่ยปาก แต่นายท่านเจ็ดกลับแค่นเสียงขึ้นจมูกตัดบท

“เอาล่ะ ไหนบอกมาซิว่าพวกเจ้าไปหาเรื่องอะไรมาอีก ถึงได้หลอกข้ามาจากที่ไกลๆ แบบนี้”

นายกองได้ยิน กำลังจะเอ่ยปาก นายท่านเจ็ดถลึงตาใส่

“เจ้าหุบปาก ได้ยินเจ้าพูดข้าก็โมโหแล้ว!”

นายกองน้อยอกน้อยใจ ในใจกลัดกลุ้ม แอบพูดในใจว่าตัวเองก็แค่หลังจากคลายผนึกได้ก็คิดจะแสดงอำนาจศักดาต่อหน้าอาชิงน้อยก็เท่านั้น ทำไมเรื่องถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้เสียได้…

“เจ้าสี่ เจ้าเล่าซิ”

สวี่ชิงสีหน้าเคารพนอบน้อม เล่าเรื่องเหล่านั้นที่ตัวเองกับนายกองคุยกันก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ต้นจนจบ บอกอาจารย์อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่ตนได้รับนิ้วเทพเจ้า และร่างได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วย

นายกองก็เพิ่งรู้เป็นครั้งแรกอย่างละเอียดเช่นนี้ ดวงตาจ้องเขม็ง

นายท่านเจ็ดกวาดสายตามองนายกองผาดหนึ่ง สีหน้าดูเหมือนปกติ สีหน้าเหมือนเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาเกิดระลอกคลื่นอารมณ์อะไร เพียงแต่ดวงตามีบ้างที่ควบคุมไม่ดี กระตุกเล็กๆ อยู่สองสามครั้ง

จวบจนสวี่ชิงพูดจบ นายท่านเจ็ดก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน แค่นเสียงขึ้นจมูกออกมา

“พวกเจ้าผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์สองคนใจกล้าไม่เบา กล้าวางแผนกับเทพเจ้า ดีที่เจ้าสี่เจ้ายังนับว่าเป็นเด็กดีว่าง่าย รู้จักบอกเรื่องนี้กับข้า

“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ เข้าไปในแดนต้องห้ามเซียนก็ได้แล้ว”

พูดจบ นายท่านเจ็ดก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก ก่อนจากไปก็ถลึงตาใส่นายกองอีกครั้ง เงาร่างถึงได้ค่อยๆ รางเลือนหายไปในฟ้าดิน

ในยามปรากฏตัวอีกครั้งก็มาปรากฏในเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว ขณะเดียวกับที่อำพรางกลิ่นอาย ลมหายใจของเขาก็หอบถี่ ในใจเกิดคลื่นโหมซัดตั้งนานแล้ว พึมพำเสียงต่ำ

“ข้ารับตัวประหลาดมา…”

พูดจบ เขาก็อดยิ้มออกมาอย่างได้ใจไม่ได้ สีหน้าแฝงด้วยความภาคภูมิใจ

“แต่ข้าเป็นอาจารย์ของเขา!”

และตอนนี้ในหอกระบี่ นายกองกำลังมองสวี่ชิงอย่างเย็นเยียบ

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าส่งข้อมูลอะไรให้กับอาจารย์ ทำไมเขาเห็นข้าถึงท่าทางโมโหมากแบบนี้”

“ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่ก็มีรหัสลับจริงๆ ด้วย” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“เฮ้อ ล้วนเป็นเรื่องเล็ก” นายกองคลานขึ้นมา โอบสวี่ชิงเอาไว้ ล้วงหินสีเขียวครามที่สวี่ชิงคุ้นเคยดีก้อนหนึ่งออกมา ยัดไปในมือเขา

จากนั้นก็ยิ้มรอยยิ้มจริงใจ ดวงตาแฝงด้วยความรู้สึกรักแบบคนในครอบครัว เอ่ยเสียงเบา

“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ล้อเล่นกับเจ้า ตอนนี้เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าความขมขื่นและโศกเศร้าในสนามรบจางลงไปเล็กน้อยแล้ว

“พวกเราหลังจากที่กลับมา ข้าเป็นห่วงสภาพจิตใจของเจ้ามาก”

สวี่ชิงอึ้งตะลึง มองไปทางนายกอง

นายกองยิ้มมองสวี่ชิงดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยน ตอนนี้แสงอรุณรุ่งภายนอกสาดเข้ามาตามประตูที่เปิดอยู่ ส่องมาบนร่างของนายกอง ทำให้ทั้งตัวเขาเปลี่ยนมาอบอุ่นมาก

“เจ้านี่นะ เรื่องอะไรล้วนเก็บไว้ในใจหมด สีหน้าก็ไม่แสดงออกมาสักเท่าไร โดยเฉพาะเสียใจยิ่งเป็นเช่นนี้ แบบนี้ไม่ได้นะ

“อาชิงน้อย ความจริงเจ้าไม่โดดเดี่ยว เจ้ามีบรรพจารย์ มีอาจารย์ มีข้า มีเจ้ารอง มีเจ้าสาม พวกเราล้วนเป็นห่วงเจ้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ดังนั้นเจ้าอย่าได้เก็บทุกเรื่องไว้ในใจ พูดคุยกับพวกเราได้

“ข้าจะบอกเจ้าให้ ชาตินี้พวกเราเดินทางด้วยกัน นี่เป็นเรื่องจริงจังนะ ไม่ใช่แค่พวกเราเดินทางด้วยกัน แต่พวกเราทั้งครอบครัวล้วนเดินทางไปด้วยกัน”

นายกองเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาในเสี้ยวขณะนี้เหมือนพี่ชายคนโตคนหนึ่ง

สวี่ชิงหวั่นไหว ในตอนที่ในใจเกิดความอบอุ่นเปี่ยมล้น นายกองก็กระแอมขึ้นมา

“ดังนั้นเจ้าจะให้ยาแก้พิษข้าก่อนได้หรือไม่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด