ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 516 แดนต้องห้ามเซียน

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 516 แดนต้องห้ามเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 516 แดนต้องห้ามเซียน

บนพื้นดิน ที่ยืนอยู่ด้านหน้าผู้บำเพ็ญร้อยศึกกลุ่มนี้ได้ล้วนเป็นผู้ครองกระบี่สมบัติวิญญาณ พวกเขาในฐานะชนชั้นกลางของวังครองกระบี่ เป็นแม่ทัพของกองทัพขนาดกลางต่างๆ ในช่วงสงคราม

หลังจากผ่านร้อยศึก พวกเขาทุกคนไม่ได้สามัญ แม้ว่าต่อมาถูกย้ายไปอยู่ในกองทัพต่างๆ แต่ก็ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วผ่านการสังหารอย่างเด็ดขาดรวมถึงความกล้าหาญของตน

แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มากถึงเพียงนั้น คนที่ยอมรับพวกเขามีมากมาย แต่คนที่พวกเขายอมรับกลับน้อยมาก

ไม่ใช่แค่คนของตนเอง แต่ต้องใช้คุณงามความดีมหาศาลรวมถึงสถานะที่ทำให้พวกเขาเคารพศรัทธาด้วย

สวี่ชิงมากพร้อมด้วยคุณงามความดี ข่งเสียงหลงมากพร้อมด้วยสถานะ

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนที่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาได้ยืนอยู่ตรงนี้

การมาถึงของสวี่ชิงกับข่งเสียงหลงตอนนี้ หลังจากสหายร่วมรบรอบๆ จับตามองแต่ละคนก็เงียบงัน ทอดสายตามองไปในหลุมลึกเบื้องหน้า

หลุมลึกมืดมิดไปหมด ไม่เห็นก้นหลุม

ไอพลังประหลาดของที่นี่เข้มข้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ตอนที่สวี่ชิงเข้าใกล้ เขามีความรู้สึกสบายอย่างหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ ราวกับว่าสูดรับได้

สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง เขารู้ว่านิ้วเทพเจ้าปรับเปลี่ยนร่างกายตนไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสืบค้น ที่นี่ผู้แข็งแกร่งมากเกินไป และไม่อยากจะเปิดเผยด้วย

จึงไม่ได้สูดรับ ยิ่งปล่อยพลังของวังสวรรค์ติงหนึ่งสามสองให้สร้างการปิดกั้นระดับหนึ่ง

ส่วนเสียงโหยไห้ของสรรพชีวิตรุนแรงยิ่งกว่าที่นี่เสียอีก ขณะที่โจมตีจิตใจ ผู้ครองกระบี่ที่กระจายตัวอยู่ไกลๆ ก็ทยอยมาถึง

ชิงชิว หนิงเหยียน ก็อยู่ในบรรดานี้

มีนายกองด้วย

เพียงแต่การมาถึงของพวกเขาทั้งสามคน ก็ผู้ครองกระบี่ที่นี่ไม่ได้หลีกทางให้ ชิงชิวกับหนิงเหยียนทำได้แค่ยืนอยู่ด้านนอกข้างๆ ส่วนนายกองก็ไม่ได้จุกจิกกับเรื่องเหล่านี้ เขาทักทายกับคนรอบๆ ตรงไปข้างหน้ามุดไปมุดมา

พวกเขาจดจำเฉินเอ้อร์หนิวได้อย่างลึกซึ้ง

ที่แนวหน้าหลายเดือนนี้ อันที่จริงชื่อเสียงเฉินเอ้อร์หนิวก็ดังกระฉ่อนไม่น้อย ถึงอย่างไรด้วยนิสัยชอบคบค้าสมาคมของเขา คนที่รอดกลับมาเกือบทั้งหมดล้วนเคยพบเจอ

โดยเฉพาะในช่วงสงครามช่วงหนึ่งที่เขารับหน้าที่ไปแบกศพในสนามรบ พวกที่เจ็บหนักจนหมดสติส่วนหนึ่งก็ถูกเขาช่วยชีวิตออกมา

“สหาย หลบหน่อย ข้าจะเข้าไป”

“ฮ่าๆ เหล่าเฉา อย่าคิดว่าพลังบำเพ็ญสูงส่งเจ้าแล้วจะไม่หลีกให้ข้าเข้าไปได้ ตอนนั้นข้าดึงเจ้าออกมาจากกองศพนะ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าไส้ของเจ้าตอนนั้นข้าก็เป็นคนยัดกลับเข้าไปให้”

“เสี่ยวหลี่จื่อ แขนข้างนี้ของเจ้างอกค่อนข้างช้านะ ไว้กลับไปข้าจะหายาให้ ข้ามีประสบการณ์”

นายกองแทรกเข้าไปได้ตลอดทาง เบิกทางเส้นหนึ่งในหมู่ฝูงชนอย่างราบรื่น เดินไปอยู่ข้างกายสวี่ชิงกับข่งเสียงหลง ยิ่งทักทายผู้ครองกระบี่สมบัติวิญญาณคนอื่นๆ อย่างเป็นกันเองอีกด้วย

คนเหล่านั้นก็เช่นเดียวกับสวี่ชิงกับข่งเสียงหลง ผู้ครองกระบี่สมบัติวิญญาณที่ยืนอยู่ข้างหน้าแต่ละคนหลังจากเห็นนายกอง ก็สีหน้าแปลกประหลาด ในบรรดานี้บางส่วนก็ถูกเฉินเอ้อร์หนิวแบกออกมาเช่นกัน อีกทั้งทุกคนก็แทบจะเคยกินเนื้อที่เฉินเอ้อร์หนิวมอบให้

ข่งเสียงหลงกลอกตา แม้ต่อมาทุกคนจะกลายเป็นสหายร่วมรบ ความรู้สึกที่มีต่อเฉินเอ้อร์หนิวของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ภาพที่อยู่ในความทรงจำแต่เดิมยังทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยชอบใจ

นายกองไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ หลังจากเดินขึ้นไปทักทายคนอื่นก็โอบไหล่ข่งเสียงหลง ขณะที่ข่งเสียงหลงพยายามข่มอารมณ์ไม่ปลีกตัวหลบ นายกองหัวเราะหึๆ ออกมา

“เหล่าข่ง ทำไมเจ้าถึงทำสีหน้ารำคาญตอนที่เห็นข้าเพียงนี้เล่า อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนแบกซานเหอจื่อออกมานะ!”

ข่งเสียงหลงเงียบนิ่ง ไม่พูดจา

เมื่อนายกองเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกได้ใจ จากนั้นก็โอบสวี่ชิง หลังจากยักคิ้วหลิ่วตาให้ ก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมา

“เจ้าเห็นตาแก่หรือไม่ หลายวันมานี้ข้าไม่เห็นเขาเลย เขาคงไม่ได้หนีไปแล้วนะ พวกเราหลอกเขาครั้งหนึ่ง เขาก็คิดจะหลอกพวกเราครั้งหนึ่งด้วยหรือ”

เมื่อเอ่ยจบ นายกองก็ยังมองไปรอบด้าน ค้นหาเงาของท่านอาจารย์

ขณะที่ผู้บำเพ็ญร้อยศึกทั้งหมดรวมเป็นกองทัพขนาดย่อม ตอนปรากฏระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นจากการมาถึงของนายกอง บนท้องฟ้า องค์ชายเจ็ดก็มาเยือนระหว่างฟ้าดินพร้อมกับเหล่าระดับสูง

องค์ชายเจ็ดในชุดคลุมสีเหลือง ผมยาวหลิ้วไหว หน้าตาไม่ธรรมดา สองตาเรียวยาว ปราณสูงส่งแปรเป็นมังกรมายาแผ่ซ่านอยู่รอบตัว มีปลัดเขตปกครองรวมถึงแม่ทัพสามวังข้างกาย รองเจ้าวัง และขุนพลติดตามมาอีกไม่น้อย

ในบรรดานี้มีคนผู้หนึ่ง สวมชุดเกราะสีเลือด สวมหมวกเกราะที่ดูโหดเหี้ยม มองไม่เห็นหน้าตา เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชา เขายืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายพิฆาตอบอวล

การมาถึงของคนกลุ่มนี้ทำให้รอบด้านแข็งค้างไป กระทั่งไอพลังประหลาดในหลุมลึกกรมราชทัณฑ์ยังถูกสะกดไว้ เสียงคำรามที่ดังออกมาก็หยุดไปครู่หนึ่งไปเช่นกัน

ขณะที่คนมากมายจับตาดู องค์ชายเจ็ดก็มองลงไปบนพื้นดิน

เวลานี้ที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านของหลุมลึก ไม่ใช่แค่ผู้ครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่ยังมีทหารจากเมืองหลวงจักรพรรดิรวมถึงผู้บำเพ็ญของสองวังที่เหลือด้วย

พวกเขาล้วนถูกจัดให้เข้าไปด้านในกลุ่มแรก

เมื่อกวาดสายตา องค์ชายเจ็ดก็เอ่ยราบเรียบ

“แดนต้องห้ามเซียน เกี่ยวพันถึงสนามรบเผ่ามนุษย์ มีความสำคัญอย่างมาก

“พวกเจ้าที่เป็นเข้าไปกลุ่มแรกล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมของเผ่าเราเช่นกัน พวกเจ้าได้รับคำสั่งให้เปิดพื้นที่แห่งนี้ภายในสี่วัน กวาดล้างมารชั่วร้ายให้สิ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่จะเข้าไปกลุ่มที่สอง

“หลังจากกลุ่มที่สองเข้าไป พวกเจ้าก็สามารถถอนตัวกลับมาได้

“นี่คือภารกิจของพวกเจ้า

“แม่ทัพใหญ่เสี่ยเหยี่ยน”

เสียงองค์ชายเจ็ดทุ้มต่ำ ดังก้องไปทั้งแปดทิศ เมื่อร่างในชุดเกราะสีเลือดข้างๆ ได้ยินก็เดินขึ้นหน้ามา คุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์ชายเจ็ด เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ข้าอยู่นี่พะย่ะค่ะ!”

องค์ชายเจ็ดรับกระบี่พกมา ยื่นให้กับร่างสีเลือดที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

“ขออวยพรให้เจ้าชักธงรบก็ชนะศึก”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” เสี่ยเหยี่ยน เปล่งเสียงหนักแน่น สองมือรับกระบี่ จากนั้นผุดลุกขึ้น มองลงไปยังพื้นดิน น้ำเสียงราวลมหนาวเย็นสะท้อนก้อง

“แดนต้องห้ามเซียน จงเปิดออก!”

เมื่อเขาเปล่งเสียงออกมา เสียงครืนครันก็สะเทือนเลื่อนลั่นจากก้นบึ้งของหลุมลึกในกรมราชทัณฑ์

และเพราะระดับความลึกน่าครั้นคร้าม ดังนั้นเสียงที่ดังออกมาจึงสะท้อนก้องไม่สิ้นสุด คลื่นเสียงเลื่อนลั่นไปทั่วสารทิศของแผ่นดินใหญ่

ทั่วทั้งแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน กระทั่งไกลออกไปยังมีภูเขาไม่น้อยที่เริ่มถล่มลงมาจากคลื่นเสียงที่ราวกับมังกรพลิกตัว

มองออกไป แผ่นดินใหญ่รัศมีหมื่นลี้ก็มีรอยปริแตกหลายรอยปรากฏขึ้น ควันดำพวยพุ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ตะวันจันทราไร้แสง ฟ้าดินขมุกขมัว

ส่วนต้นกำเนิดของทั้งหมดมวลนี้ ในหลุมลึกกรมราชทัณฑ์นั่น ก็ราวกับมีประตูนรกกำลังเปิดออก ไอพลังประหลาดพวยพุ่งออกมารุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โหมขึ้นฟ้า ตีเกลียวออกไปทั้งสี่ทิศรอบด้านอย่างเข้มข้น

แม้จะมีค่ายกลที่เตรียมไว้ล่วงหน้าหลายแห่งโคจรไม่หยุด ชำระล้างไปทั่วอาณาบริเวณ แต่ก็ยังขับไอพลังประหลาดที่สะสมมาเนิ่นนานนี้ได้ยาก

แต่ในเมื่อองค์ชายเจ็ดบอกให้เปิดแดนต้องห้ามเซียน ย่อมเตรียมตัวไว้แล้ว ดังนั้นไม่นานก็มีกองทัพทหารจำนวนมหาศาลเข้ามา ล้วนผูกกรงขังขนาดเท่ากำปั้นไว้ที่ร่าง

เมื่อเปิดกรง ทันใดนั้นร่างที่ถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กในนั้นก็ลอยออกมา กลายร่างเป็นขนาดเท่าคนปกติ

ล้วนเป็นเชลยศึกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

เห็นได้ชัดว่าเชลยศึกเหล่านี้ถูกฝังสิ่งพิเศษบางอย่างไว้ หลังจากที่ปรากฏตัว สีหน้าพวกมันก็ตื่นตะลึงหวาดกลัว ถูกโยนเข้าไปในไอพลังประหลาด ร่างกายก็เหมือนกลายเป็นหลุมดำ เริ่มดูดไอพลังประหลาดอย่างบ้าคลั่ง

ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็กรีดร้องน่าเวทนาออกมาจนถึงขีดสุดในพริบตา

ด้วยการปลูกถ่ายสิ่งพิเศษไว้ในร่างกาย พวกเขายังไม่ได้แตกดับไป ทว่าพากันกลายพันธุ์ หลังจากกลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ เหล่าผู้บำเพ็ญก็กระตุกโซ่ดึงพวกมันกลับมา ผนึกไว้ในกรงขังอีกครั้ง

ทีละกลุ่มๆ

คนไม่น้อยที่เห็นภาพนี้รอบๆ ก็ใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

องค์ชายเจ็ดบนท้องฟ้าสีหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งโยนเชลยศึกสองล้านกว่ารายเข้าไปในไอพลังประหลาด หลังจากกลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ทั้งหมด ในที่สุดไอพลังประหลาดที่แผ่ออกมาจากหลุมลึกก็สลายหายไปแปดเก้าส่วนแล้ว

“เอาทหารกลายพันธุ์สองล้านนี้โยนไปที่แนวหน้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ส่งของขวัญให้กับพวกเขาเสียหน่อย

“แล้วส่งเชลยศึกที่เหลือเข้าไป ให้พวกเขาสูดรับทุกวัน

“ต้องยืนยันว่าไอพลังประหลาดที่นี่จะไม่ส่งผลกระทบถึงเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร”

องค์ชายเจ็ดเอ่ยเสียงเรียบ พูดจบ ก็หันหลังมองกลุ่มคนด้านหลัง

“เช่นนี้ ดีหรือไม่”

ปลัดเขตปกครองเงียบนิ่ง รองเจ้าวังทั้งสามก้มหน้า ทุกผู้ยอมรับทั้งหมดโดยปริยาย

ต่างเผ่ารอบๆ เวลานี้ก็หวาดผวาจนใจเต้นระรัว ล้วนสีหน้าเคารพยำเกรง

“เช่นนั้น ให้กลุ่มแรกเข้าไปเถิด” องค์ชายเจ็ดพูดจบ ขณะที่คนรอบๆ คำนับส่ง ก็หันหลังเดินจากไป

ปลัดเขตปกครองรวมถึงแม่ทัพสามวัง ยืนสง่าผาเผยกลางอากาศ ไม่ได้ตามไป พวกเขาต้องรับผิดชอบความปลอดภัยรวมถึงคอยรับอยู่ด้านนอกนี้

ส่วนที่รับผิดชอบเรื่องค้นหาคือแม่ทัพเสี่ยเหยี่ยนคนนั้น ดังนั้นภายใต้การจัดการของเขา กลุ่มคนทั้งหมดจึงทยอยเดินออกไป

วังครองกระบี่ที่เข้าไปในหลุมลึก นอกจากกองทัพด้านล่าง ยังมีผู้ดูแลทั้งสี่อยู่ด้วย

ในบรรดาสี่คนนี้ นอกจากนักพรตซือหนานแล้ว ผู้ครองกระบี่อีกสองคนที่มาจากกองทัพใต้บังคับบัญชาองค์ชายเจ็ด พลังบำเพ็ญอยู่ที่หวนสู่อนัตตาขั้นสอง

และวังอาญารวมถึงวังพิธีการ ก็มีผู้ดูแลมานำกลุ่มด้วย

จากการที่พวกเขาเหาะเหินไปทางหลุมลึก ภายใต้คำสั่งที่บัญชามาทีละคำสั่ง เหล่าผู้บำเพ็ญบนพื้นดินรวมถึงทหารจากเมืองหลวงจักรพรรดิก็เริ่มทยอยเข้าไปในพื้นที่แดนต้องห้ามเซียน

กองทัพวังครองกระบี่ที่สวี่ชิงอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

ไม่นาน ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับแสนก็เหยียบย่ำเข้าไปในหลุมลึกขนาดยักษ์นั่น ตอนที่ร่างของแม่ทัพใหญ่เสี่ยเหยี่ยนคนนั้นหายไปในหลุมลึก ค่ายกลของที่นี่ก็สว่างเจิดจ้า กองทัพเมืองหลวงจักรพรรดิที่มีจำนวนมากกว่าก็เปิดค่ายกลนับไม่ถ้วน

ครอบคลุมลงมาทีละชั้น ปกป้องที่นี่ไว้อย่างหนาแน่น

ขณะเดียวกัน ในหลุมลึก ร่างเงาผู้บำเพ็ญแต่ละร่างก็กำลังแบ่งกลุ่มพุ่งหวีดหวิวลงไป

หน้าสุดคือหัวหอก รับผิดชอบตรวจค้น ทุกครั้งที่ดิ่งลงไประดับหนึ่ง เมื่อยืนยันว่าไม่มีอุปสรรค ด้านหลังก็จะมีคนทยอยเข้ามา ทั้งหมดเป็นลำดับขั้นตอน

ยิ่งลงไปด้านล่าง ปราณเย็นยะเยือกก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น ไอพลังประหลาดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดก็ลงมาถึงก้นหลุม สวี่ชิงเห็นว่าที่นั่นมีค่ายกลกรวยหินขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่แผ่ความบรรพกาลออกออกมา

เสาหินยักษ์ที่สลักอักขระซับซ้อนแต่ละต้นเสาตั้งอยู่ที่นี่ และทุกต้นก็เป็นแก่นกลางของค่ายกล

และตอนนี้แก่นกลางค่ายกลพังทลายไปแล้ว ก็มีโพรงขนาดยักษ์ไร้กฎเกณฑ์ที่มีหินจำนวนมหาศาลล้อมรอบขอบโพรง

เมื่อเข้าไปในโพรง ก็จะเห็นว่าเบื้องล่างเหมือนมีโลกใบหนึ่งอยู่

ที่นั่นก็คือแดนต้องห้ามเซียน และเป็นหนึ่งในสามสิบหกพระราชนิเวศน์ของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว

เดิมไม่ได้อยู่ที่ก้นหลุม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกรวมถึงการผนึกของเผ่ามนุษย์ครั้งนั้นในภายหลัง จึงถูกฝังในเหวลึก

ขณะที่สวี่ชิงกวาดตามอง นายกองที่อยู่ข้างกายเขาก็กำลังวิเคราะห์ ตอนนี้ก็มีคนทยอยเข้ามา ชิงชิวกับหนิงเหยียนก็อยู่ในบรรดานี้ด้วย

หลังจากสังเกตเห็นหนิงเหยียน นายกองก็ดอกดีใจ วิ่งเข้าไปกอดคอหนิงเหยียน โยนเขาไปอยู่ข้างๆ สวี่ชิง จากนั้นดวงตาสองข้างก็เปล่งแสง แต่กลับพยายามแสดงความจริงใจออกมา

“หนิงหนิงน้อย ข้าคิดถึงเจ้านานแล้ว เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่”

หนิงเหยียนเงยหน้ามองนายกองผาดหนึ่ง ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ค่อยๆ ตอบกลับว่า

“ข้าไม่คิดถึงท่านเลย”

ขณะเดียวกันในเมืองหลวงเขตปกครอง ในบ้านแห่งหนึ่ง หนิงเหยียนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง สายตาค่อนข้างสับสน หลังจากมองไปรอบๆ จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง พลันพุ่งออกไป

หลังจากใช้ความเร็วสูงสุดไปยังชายแดนเมืองหลวงเขตปกครอง เขามองลงไปก็พบว่าที่นั่นมีค่ายกลครอบคลุม มีคนอยู่ไม่มาก จึงโอดครวญทันที

‘จบเห่แล้ว ทำไมข้าถึงสลบไปได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ไม่ได้สิ

‘ข้าก็อยากไปแดนต้องห้ามเซียนนะ นี่นี่นี่…จะทำอย่างไรดี’

หนิงเหยียนคร่ำครวญ หลังจากมองไปรอบๆ ก็รีบกลับไป เกิดกลัวจะมีคนพบว่าตนกลายเป็นทหารหนีทัพที่ไม่มีเหตุผลรองรับ และระหว่างทางกลับ หนิงเหยียนก็ค่อยๆ พบกับเรื่องที่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือ…เขาเหมือนไร้สถานะ ไร้ชื่อ ไร้ร่องรอยการคงอยู่ไปแล้ว

จะว่าไปก็มหัศจรรย์ พูดง่ายๆ คือ คนที่เคยรู้จักเขา ตอนที่มองเห็นเขา กลับจำชื่อของเขาไม่ได้ จำฐานะของเขาไม่ได้ มองเขาเป็นคนแปลกหน้า

ราวกับว่าตัวตนของเขา ชื่อของเขา ถูกคนเอาไปแล้ว

‘วิชาเทพ!!’

ความรู้ความเข้าใจนี้ทำให้หนิงเหยียนตัวสั่นเทิ้มอีกครั้ง เหมือนมีเสียงหนึ่งกำลังบอกกับเขาเลาๆ ในใจ ให้เขาหาที่ซ่อนตัว อีกไม่กี่วันให้หลัง ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด