ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 521 มือที่สรรค์สร้างสรรพสิ่ง (1)

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 521 มือที่สรรค์สร้างสรรพสิ่ง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 521 มือที่สรรค์สร้างสรรพสิ่ง (1)

เห็นสองตานายกองเปล่งประกาย สวี่ชิงจะพยักหน้า แต่ตอนนี้เอง เสียงแค่นเสียงขึ้นจมูกเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านข้างของทั้งสอง

“ของเล่นอะไร แล้วข้าเป็นตาแก่ตั้งแต่เมื่อไร”

สวี่ชิงสูดลมหายใจ นายกองก็หน้าเปลี่ยนสี ทั้งสองคนมองไปยังจุดที่เสียงคุ้นเคยดังมาตามสัญชาตญาณ

ตรงนั้นมิติบิดเบี้ยว ร่างอาจารย์ปรากฏออกมา

“นี่เป็นบทเรียนที่สองที่จะสอนพวกเจ้า บางครั้งสิ่งที่มองเห็นก็อาจเป็นเรื่องจริง หลังจากนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยหารือกัน”

นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงราบเรียบ

สวี่ชิงก้มหน้าไม่พูดจา นายกองทำหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาคิดไม่ถึงว่าทั้งๆ ที่อาจารย์ไปแล้ว กลับยังซ่อนตัวอยู่ข้างๆ

“เอาล่ะ ข้านึกขึ้นได้ว่าพลังของเจ้าสี่ใกล้จะทะลวงขั้นแล้ว จึงกลับมากำชับเสียหน่อย

“เจ้าสี่สี่ แก่นลมปราณทะลวงขั้นถึงปราณก่อกำเนิด สำหรับเจ้าแล้วอาจจะไม่ยาก แต่สวรรค์ลิขิตไว้ว่าระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดจะก่อทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ขึ้นมาห้าครั้ง และทุกครั้งที่เผชิญกับมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก”

สวี่ชิงพยักหน้า เขาเข้าใจจุดนี้อยู่แล้ว

“ทว่าในระดับปราณก่อกำเนิด พลังต่อสู้ยกระดับขึ้นเป็นเพียงเรื่องรอง จุดสำคัญคือต้องอาศัยทัณฑ์สวรรค์สะสมลิขิตสวรรค์ให้เพียงพอ สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับสมบัติวิญญาณในอนาคต

“จากประสบการณ์ของอาจารย์ ทัณฑ์สวรรค์ทุกครั้ง หากสำแดงปราณก่อกำเนิดจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน แม้ว่าพลานุภาพของทัณฑ์สวรรค์จะยิ่งใหญ่ แต่หากทำสำเร็จ ลิขิตสวรรค์ที่ได้รับก็จะมหาศาลเช่นกัน

“ดังนั้นในแดนต้องห้ามเซียน ถ้าหากเจ้ามีวาสนาก็อย่ารีบร้อนเรียกทัณฑ์สวรรค์ ส่วนรายละเอียด ข้าบอกเจ้าคราวหน้า”

นายท่านเจ็ดกำชับ ถลึงตามองนายกองผาดหนึ่ง หันหลังหายตัวไป

สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด เนื้อหาเหล่านี้เขาไม่เคยรู้มาก่อน

ขณะที่เขาครุ่นคิด นายกองก็กะพริบตาปริบๆ ลากสวี่ชิงจากไปอย่างรวดเร็ว จนเดินออกมาไกลพอสมควรถึงถอนหายใจโล่งออกมา

“ท่านอาจารย์ก็ดีกับพวกเราเหลือเกิน อาชิงน้อย บทเรียนนี้ ข้าก็รู้สึกว่ากระจ่างแจ้งมากขึ้นเหมือนกัน”

“ข้ารู้สึกเช่นนั้น”

สวี่ชิงมองนายกอง เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน

“ชีวิตนี้พวกเราคงตอบแทนความรักของอาจารย์ไม่ไหว”

“ดังนั้นพวกเราต้องพยายามให้มากขึ้น หลังจากที่ดิ้นรนต่อสู้ก็จะปกป้อ”งอาจารย์ได้!” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“ถูกต้อวแล้วศิษย์น้องเล็ก เราควรนำเรื่องนี้ไว้เป็นเป้าหมาย!” ใบหน้านายกองมีประกายแสง ออกเดินกับสวี่ชิงพลางเอ่ยขึ้น

จนผ่านไปหลายชั่วยาม พวกเขาก็มองหน้ากัน

“น่าจะไม่อยู่แล้วกระมัง”

“คงจะเป็นเช่นนั้น…” สวี่ชิงมองไปรอบๆ

“ตาแก่คนนี้มาๆ หายๆ เหมือนผีเลย!” นายกองยิ้มขืน จากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ไปๆๆ พวกเราไปยังที่ที่พูดถึงเมื่อครู่กันเถอะ ที่นั่นจะต้องมีของดีอยู่แน่ๆ!”

พูดจบ ทั้งสองคนก็จากไปอย่างรวดเร็ว

เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้

การเปิดแดนต้องห้ามเซียน ผ่านไปสามวันแล้ว

ในวันที่สาม ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับแสนคนที่ลงมากลุ่มที่หนึ่ง ก็บุกเบิกพื้นที่ปลอดภัยในรัศมีพันลี้แล้ว

เมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของแดนต้องห้ามเซียน พื้นที่ผืนนี้ก็ราวกับเป็นเมล็ดข่าวฟ่างกลางมหาสมุทร ไม่ได้เตะตาแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ในพื้นที่ตะวันออก แต่ก็กินพื้นที่ไปไม่ถึงหนึ่งในร้อย

แดนต้องห้ามเซียนที่เคยเป็นสามสิบหกพระราชนิเวศน์จักรพรรดิโบราณโยวเสวียนในอดีตนี้ ใหญ่เกินไปจริงๆ

สิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ว่าทุกพระราชนิเวศน์ของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว อันที่จริงเป็นโลกใบเล็กใบหนึ่ง

และที่ที่เพราะเทพเจ้ากำลังหลับใหล ดังนั้นนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงยังไม่เคยถูกบุกเบิกอย่างสมบูรณ์มาก่อน ด้านในจึงมีสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วน รวมถึงพวกบันทึกโบราณอีกมากมาย กระทั่งขุมอำนาจบางส่วนของเผ่ามนุษย์ในอดีต ก็อาจอยู่ที่นี่ด้วย

ต่อให้แปดเปื้อนไอพลังประหลาด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งที่จะใช้การได้

โดยเฉพาะแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในปัจจุบัน ศึกษาไอพลังประหลาดไม่น้อย และมีวิธีการขับไอพลังประหลาดบางอย่างขึ้นมา เช่นวิชาการขับไอพลังประหลาดในของวิเศษเวทต้องห้ามก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

ดังนั้น เมืองหลวงจักรพรรดิจึงให้ความสำคัญกับแดนต้องห้ามเซียนอย่างมาก และไม่สามารถบุกเบิกให้เสร็จสิ้นได้ในเวลาอันสั้น

จากแผนการ ต้องขุดค้นแดนต้องห้ามเซียนต่ออีกนับเดือน จนกระทั่งตัวไหมกัดกินไปทั่วบริเวณ รุกคืบไปทีละก้าวสู่ใจกลางตำหนักจักรพรรดิ

แน่นอนว่าต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีเทพเจ้าแล้ว

ตอนนี้นายกองกับสวี่ชิงยืนอยู่ที่ด้านนอกเป็นระยะหนึ่งร้อยลี้ของอาณาเขตปลอดภัย กำลังพักผ่อนอยู่บนยอดตำหนักวังสูงใหญ่แห่งหนึ่ง

สามวันนี้ พวกเขาค้นหาตามที่ต่างๆ ด้านนอกไปไม่น้อย ได้รับของมาบ้าง ขณะเดียวกันก็เห็นตำหนักวังมากมาย กำลังอยู่ในระหว่างการสลายหายไป คล้ายว่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ใช้ผนึกที่นี่ถูกทำลาย

พบเจออันตรายไม่น้อยเช่นกัน

เช่นของดีที่นายกองพูดไว้ก่อนหน้านี้ อันที่จริงคือการโจมตีจากไอพลังประหลาดที่นี่ หลังจากสลายหายไปก็เหลือแค่รูปปั้นศีรษะขนาดยักษ์

รูปปั้นนี้ ตอนที่ทั้งสองคนเข้าใกล้ ก็มีชีวิตขึ้นมา

อันตรายอย่างยิ่ง เกือบเอาชีวิตไม่รอด

ดีที่ผลลัพธ์ของสิ่งอำพรางที่นายท่านเจ็ดให้ไว้ไม่ธรรมดา ทั้งสองคนจึงหลบเลี่ยงได้อย่างหวุดหวิด

ผ่านเรื่องนี้ นายกองก็ถอนหายใจติดต่อกัน ความรู้สึกมองเห็นเนื้อชิ้นมันแต่นำกลับมาไม่ได้เช่นนั้น ทำให้ดวงตาของนายกองแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนตลอดทางภายหลัง พวกเขาก็ผ่านพ้นประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ รุกบ้างถอยบ้าง จนสุดท้าย ก็เห็นตำหนักวังที่เป็นเอกลักษณ์แห่งหนึ่ง แต่เข้าไปไม่ได้

หลังจากที่ล้มเหลวหลายครั้ง ตอนนี้ทั้งสองจึงออกมาพักอยู่บนหลังคาที่ปลอดภัยห่างจากตำหนักวังนั่นออกมาสิบลี้

นายกองกำลังกัดฟัน ความคิดมากมายหมุนแล่นในสมอง

“อาชิงน้อย ที่นี่ใหญ่เกินไป รายงานของพวกเราน้อยเกิน แต่ข้ารู้สึกว่าในตำหนักนั่นจะต้องมีสมบัติอยู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีรูปปั้นที่ถูกเลือดเนื้อสิงสู่ปกป้องไว้รอบด้านแน่”

ขณะที่นายกองส่งสื่อเสียง สวี่ชิงก็กำลังมองไปยังอาณาเขตที่กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์บุกเบิกไกลๆ

ไอพลังประหลาดบริเวณนั้นถูกขับออกไปแล้ว มีเกราะที่เกิดจากค่ายกลหนึ่งกั้นไว้ ทอดสายตามองแสงที่ส่องสว่างเพียงหนึ่งเดียวระหว่างฟ้าดินที่มืดครึ้มไกลๆ

แม้รอบด้านจะปกคลุมด้วยไอพลังประหลาดที่คอยจะแปดเปื้อนมาในร่างตลอดเวลา และตัวเกราะก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถ้าในเวลาสั้นๆ นั้นยังเป็นไปได้

มองผ่านเกราะแสง จะเห็นสิ่งปลูกสร้างด้านในอีกไม่น้อย รูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมค่อนข้างแปลกประหลาด สร้างขึ้นจากหินวิญญาณ เป็นเหมือนกับหอสูงหลายแห่ง ขณะที่แผ่คลื่นพลังที่น่าตกตะลึงเป็นระยะ ก็มีการเชื่อมต่อไร้ลักษณ์ระหว่างกันด้วย

เหมือนเป็นค่ายกลขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง

เห็นกลุ่มเล็กๆ อีกหลายกลุ่มเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา กลุ่มเหล่านั้นล้วนเป็นทหารที่รับภารกิจออกไปสำรวจเหมือนกับสวี่ชิงและนายกอง

นอกจากนี้ ตำหนักวังในพันลี้นี้ ย้ายสิ่งของด้านในออกไปแล้ว รูปร่างภายนอกถูกดัดแปลงกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล

เทียบกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดคือผลึกหินสีขาวขนาดหมื่นจั้งราวกับภูเขาจำนวนเก้าชิ้นลอยอยู่กลางอากาศ

ผลึกหินทั้งเก้านี้เป็นสิ่งที่แม่ทัพใหญ่เสี่ยเหยี่ยนคนนั้นนำมา เดิมไม่ได้ใหญ่โต แต่ในสามวันนี้กลับยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ

มันลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นหลุมดำเก้าหลุม สูดรับไอพลังประหลาด

พูดให้ถูกคือ ไม่ใช่การสูดรับ แต่เป็นการกรอง

หลังจากดูดไอพลังประหลาดผสานกับมัน ก็จะกระจายออกไป

ขั้นตอนนี้เกิดวนเวียนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในผลึกหินสีขาว ก็มีรยางค์สีทองบางอย่างเกิดขึ้นรางๆ

“กำลังสูดรับปราณเทพในไอพลังประหลาดที่คละคลุ้งอยู่อย่างนั้นหรือ”

สวี่ชิงครุ่นคิด

เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายจะใช้หินผลึกที่ใหญ่โตเหมือนภูเขาทั้งเก้านี้ไปในทิศทางใด แต่พิจารณาจากความเข้าใจที่อาจารย์ชี้แนะ บางทีสิ่งนี้อาจเตรียมไว้เพื่อแนวหน้าสงคราม

“ไม่ต้องดูสิ่งนั้นแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย อาชิงน้อย ข้ามีวิธีแล้ว!” นายกองลุกขึ้นนั่ง ลากสวี่ชิงพลางเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ

สวี่ชิงสายตาถอนกลับมาจากฟ้าดินห่างไกล หันไปมองนายกอง

“ท่านยังคิดถึงตำหนักใหญ่นั่นอยู่อีกหรือ”

“แน่นอนสิ ตำหนักวังที่พวกเราเห็นมาทั้งหมดหลายวันนี้ ที่ไม่มีการคุ้มครองเป็นขยะทั้งนั้น มีรูปปั้นตัวหนึ่งยังพอทำเนา แต่ที่มีสี่ตัวคุ้มครองอยู่ มีแค่ที่นั่น!”

“แม้จะเทียบกับเทพเจ้าที่หลับใหลจะไม่นับอะไร แต่ในเมื่อพวกเรามาแล้ว อย่างไรก็ต้องได้ของดีๆ มาสักหน่อยสิ”

นายกองเลียริมฝีปาก ดวงตาเผยประกายบ้าคลั่ง

หัวสมองสวี่ชิงมีภาพนายกองที่โหยหาถึงตำหนักวังเอกลักษณ์แห่งนั้นขึ้นมา ทั้งสี่ด้านมีรูปปั้นที่ถูกเลือดเนื้อสิงสู่ตัวหนึ่ง พวกมันมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังสลายหายไปแค่เล็กน้อย ร่างกายยังคงใหญ่โตนัก

คลื่นพลังที่แผ่ออกมาน่าตกตะลึงอย่างมาก

ส่วนตำหนักวังที่พวกมันคุ้มครอง รูปร่างก็แตกต่างกัน ไม่ใช่รูปทรงอย่างตำหนักวังปกติ แต่เป็นสี่เหลี่ยม

สวี่ชิงจำได้ว่าบนยอดมีรูเล็กๆ ระบายอากาศขนาดนิ้วมืออยู่นับไม่ถ้วน

รูเล็กๆ เหล่านั้นแปลกประหลาดมาก ไม่ถูกเลือดเนื้อห่อหุ้มปกคลุม แต่ถูกเว้นไว้อย่างชัดเจน

ส่วนด้านในตำหนักใหญ่สี่เหลี่ยมนี้มีอะไรอยู่ สวี่ชิงยังไม่รู้ เจ้าเงาก็เข้าใกล้ที่นั่นไม่ได้ สวี่ชิงเคยลอง ตำหนักใหญ่นั้นปิดกั้นการตรวจสอบทั้งหมด

“อันที่จริงรอให้พระจันทร์สีชาดตื่น หลังจากที่เทพเจ้าหลับใหลที่นี่ถูกกลืนกิน คงเข้าไปในนั้นง่ายขึ้นเยอะ ต้องตอนนี้ด้วยหรือขอรับ” สวี่ชิงมองนายกอง

“ถึงตอนนั้นคนที่สำรวจก็มากขึ้น ต่อให้เราจะเอามาได้แต่ก็คงรักษาไว้ไม่ได้ อีกทั้งตำหนักวังที่นี่ส่วนใหญ่ก็เริ่มถล่มลงมาแล้ว เกรงว่าคงรอถึงตอนนั้นไม่ได้ นอกจากนี้นะอาชิงน้อย จากลางสังหรณ์ของข้า สมบัติที่นั่นไม่ธรรมดา!”

นายกองเลียริมฝีปาก

“อาชิงน้อย แผนการของข้าง่ายมาก รอจนพวกเราไปอีกครั้ง ทำเหมือนครั้งก่อน เจ้าอยู่ที่นั่นสูดรับไอพลังประหลาดรอบๆ ดึงความสนใจรูปปั้นไว้ หลังจากที่รูปปั้นทั้งสี่ออกไป ข้าจะเข้าไปเอาของมา!”

“ครั้งที่แล้วไม่ใช่ว่าท่านเปิดประตูไม่ได้หรือ”

สวี่ชิงถาม อันที่จริงพวกเขาเคยใช้วิธีการนี้มาแล้ว สวี่ชิงต้องเสี่ยงถึงเพียงนั้น แต่นายกองกลับไม่ออกแรง เปิดประตูไม่ได้

นายกองตาแดงก่ำกัดฟันเอ่ย

สวี่ชิงครุ่นคิด เห็นว่านายกองดื้อรั้นถึงเพียงนี้ จึงพยักหน้า

“มากที่สุดแค่สามสิบอึดใจ”

“ไม่มีปัญหา!” นายกองลิงโลด ลากสวี่ชิงเดินไปอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ไม่พักผ่อนแล้ว เขารู้สึกสงสัยสิ่งที่อยู่ในตำหนักวังเอกลักษณ์นั่นอย่างมาก

ทั้งสองจึงออกมาจากหลังคาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทะยานออกไป

เปิดใช้การอำพรางทั้งหมดตลอดทาง หนึ่งก้านธูปต่อมา ตำหนักวังสี่เหลี่ยมสีดำแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาพวกเขา

มองรูปปั้นเลือดเนื้อที่ยืนอยู่ทั้งสี่มุมก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากพวกมัน การหายใจของสวี่ชิงกับนายกองแผ่วเบาลงพอสมควร หลังจากทั้งสองมองหน้ากัน ก็แยกย้ายกันไป

สวี่ชิงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พลังสูดรับที่สะกดไว้ในร่างกายก็กระจายออกมาส่วนหนึ่ง ฉับพลันไอพลังประหลาดรอบด้านก็พุ่งมาหาเขา ทะลักเข้าในร่างกายตามรูขุมขนทั่วร่างเขา

ความรู้สึกสบายถึงขีดสุดนั่นทำให้รู้สึกหลงใหลราวกับจิตวิญญาณกำลังล่องลอย ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งมาจากในร่างกายก็ยิ่งทำให้ไม่คิดจะขับไล่ออกไปตามสัญชาตญาณ

ผู้ที่เจตจำนงไม่มั่นคงจะดำดิ่งอยู่ในนั้นได้ง่ายมาก มองข้ามทุกสิ่งอย่างไป

สวี่ชิงก็ใช้จิตแน่วแน่มหาศาล จึงสามารถรักษาความสงบนิ่งไว้ได้

เวลานี้จากการสูดรับ สายใยสีทองในร่างเขาชกำลังสั่นสะเทือน แผ่ความปรารถนาแรงกล้าออกมา แผ่ลามไม่หยุด กระทั่งสวี่ชิงยังรู้สึกว่าร่างกายของตนเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเล็กหน่อย

ขณะเดียวกัน รูปปั้นด้านนอกตำหนักวังสีดำทั้งสี่นั่นก็ทยอยเงยหน้าขึ้น เลือดเนื้อปกคลุมลงบนใบหน้า หูตาจมูกบิดเบี้ยว ในแววตามีประกายสีแดงแผดเผา

พริบตาต่อมา พวกมันก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน

สวี่ชิงสัมผัสได้ ใจสั่นสะท้าน ล้วงหน้ากากที่อาจารย์มอบให้ไว้ออกมาใส่ทันที พุ่งทะยานและสูดรับพลางคำนวณเวลา และในช่วงสิบกว่าอึดใจ ความรู้สึกหายนะมาเยือนก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

ตอนที่ความรู้สึกวิกฤตปะทุขึ้นอย่างรุนแรง สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย สวมหน้ากากที่อาจารย์ให้ไวขึ้นทันที มุดเข้าไปอยู่ในเลือดเนื้อที่ปูไว้บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน

ใบหน้าเขาบีบรัด ร่องรอยทั้งหมดของเขาถูกบดบัง

พริบตาต่อมา เสียงครืนครันกึกก้อง คลื่นพลังที่น่ากลัวสี่สายแผ่กระจายออกมาจากที่นี่ เหมือนกำลังค้นหาด้วยสัญชาตญาณ

แต่หลังจากที่สวี่ชิงสวมหน้ากาก ขอแค่ไม่ขยับตัว ก็จะรักษาสภาพอำพรางที่แข็งแกร่งไว้ได้ ดังนั้นในสัมผัสของรูปปั้นทั้งสี่ที่มีแค่สัญชาตญาณนั้น สวี่ชิงจึงไม่มีตัวตน

อันที่จริงก่อนหน้านี้เขากับนายกองเคยทดลองแล้ว พบว่าหากสวมหน้ากากแล้วเคลื่อนไหว จะไกลหรือใกล้ รูปปั้นทั้งสี่ก็สัมผัสได้เลาๆ

จุดนี้ แตกต่างกับรูปปั้นที่พวกเขาเคยพบในตำหนักวังหลายแห่งก่อนหน้านี้อย่างมาก และนี่ยิ่งอธิบายความพิเศษของตำหนักวังสี่เหลี่ยมสีดำแห่งนี้ได้

‘หวังว่านายกองจะทำสำเร็จ’

ตอนที่สวี่ชิงพึมพำในใจ นายกองทางนั้นก็พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง ถือโอกาสตอนที่รูปปั้นถูกดึงดูดความสนใจไป ก็ใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงพุ่งตรงไปยังตำหนักใหญ่สีดำ

ครั้งนี้ นายกองไม่ได้ลองเปิดประตู แต่หลังจากเข้าใกล้ก็พุ่งตรงไปยังหลังคาที่เต็มไปด้วยรูขนาดเล็กนับไม่ถ้วนของตำหนักใหญ่ หลังจากมาถึงเขาก็ไม่ลังเล ในดวงตามาพร้อมกับความบ้าคลั่ง ร่างไหววูบฉับพลัน

กายเนื้อของเขาแยกชิ้นส่วนออกมาอย่างน่าประหลาด กลายเป็นเส้นเนื้อขนาดนิ้วมือนับพันเส้น ลอดเข้าไปในรูระบายอากาศขนาดเล็กเหล่านั้น

เห็นได้ชัดว่ารูระบายอากาศขนาดเล็กเหล่านี้ก็ไม่ได้ธรรมดา พลังผนึกต้องห้ามน่ากลัวที่แฝงอยู่ด้านใน ท่ามกลางการปะทุขึ้นมาในพริบตา เส้นเนื้อจำนวนมากก็แหลกเละไปทันที

ที่เหลืออยู่เหล่านั้น เมื่อส่วนต้นสั่นไหวก็ปรากฏใบหน้าของนายกองออกมา ราวกับเป็นหนอนหน้าคนหลายตัว อ้าปากกัดกิน จะทะลวงผนึกต้องห้าม

แต่ผนึกต้องห้ามที่นี่แข็งแกร่งเกินไป ไม่นานเส้นเนื้อเหล่านั้นก็แหลกเละไปกว่าเก้าส่วน จนตอนที่เหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบเส้น หนอนทุกตัวก็คายเศษป้ายประกาศิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบรรพกาลชิ้นหนึ่งออกมา

ประกาศิตผนึกบรรพกาลวิถีนั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด