ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 523-2 ระดับปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ (2)
บทที่ 523 ระดับปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ (2)
…………….
“หอมมาก ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่รู้สึกว่ากินได้ ศิษย์น้องเล็ก พวกเรากินมันดีหรือไม่”
สวี่ชิงมองนายกอง เลียริมฝีปาก ส่งขวดให้สวี่ชิง
“เจ้าดมดู”
สวี่ชิงรับมา วางไว้ที่หน้าจมูกดมดู กลิ่นหอมประหลาดกระแทกเข้าจมูก แปรเปลี่ยนเป็นพลังแผ่ซ่านไปทั่วกาย ไม่ได้สร้างปฏิกิริยาของร่างเทพ แต่ตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงในทะเลความรู้สึกกลับสั่นสะท้านรุนแรง
แผ่ความปรารถนาไม่สิ้นสุด เหมือนว่าวัตถุนี้สำหรับตะเกียงแห่งชีวิตแล้วไม่ธรรมดา
แล้วยังมีวังที่สิบสองที่ยังเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงไม่สมบูรณ์ก็สั่นคลอนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าวัตถุในขวดกาลเวลามีประโยชน์ในการเปลี่ยนวังสวรรค์ให้เป็นวัตถุจริงเป็นอย่างมากมาก
สวี่ชิงหวั่นไหว
แต่ในใจจะมากจะน้อยก็ค่อนข้างลังเล ในเมื่อของเหลวในนี้คืออะไรไม่รู้ อีกทั้งยังผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่ว่ากินได้หรือไม่เรื่องนี้ สวี่ชิงสุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะเชื่อนายกอง
“พวกเรากินกัน!” สวี่ชิงพยักหน้าหนักแน่น
นายกองหัวเราะฮี่ๆ รับขวดมา หลังจากแกว่งๆ ขวดเล็กน้อย ก็เทไปในปาก ทันใดนั้นของเหลวโปร่งใสแต่เหนียวเป็นอย่างมากหยดหนึ่งก็ไหลจากปากขวดเข้าไปในปาก
ข้างในยังเหลืออีกหยดหนึ่ง ไม่รอให้มันหยดออกมา นายกองก็ยื่นขวดใบเล็กไปข้างหน้าสวี่ชิง
สวี่ชิงอ้าปาก เสี้ยวขณะต่อมา ของเหลวเหนียวหยดที่สองก็ไหลเข้าปากเขา
เสี้ยวขณะต่อมาต่างหลับตา เริ่มทำการดูดซับ
สวี่ชิงทางนี้รู้สึกเพียงแค่ในร่างกาย ณ เสี้ยวขณะนี้เหมือนจะระเบิด พลังสะท้านสะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งระเบิดมาจากในปากของเขา ไหลไปตามลำคอซัดโหมไปในร่างกาย จากนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วไปรวมอยู่ที่ทะเลความรู้สึก
วังสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนมาจากตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงในทะเลความรู้สึกสั่นสะท้านรุนแรง เหมือนปฏิกิริยาที่ลูกกลอนพิษต้องห้ามสัมผัสได้ถึงปราณเทพเมื่อก่อนหน้านี้ แผ่ความปรารถนาสูงสุดออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกมันในห้วงเวลายาวนานต่างแห้งผาก ยากที่จะได้รับการชดเชยหล่อเลี้ยงเช่นนี้ แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในร่างสวี่ชิง เพิ่มพลังให้กับเขา แต่ไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดของสวี่ชิง
หลังจากต่างดูดซับแล้ว ไฟชีวิตที่ลุกไหม้ในนั้นก็สว่างขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แสงไฟท่วมฟ้า สาดส่องทั่วสารทิศ กระทั่งว่าแม้แต่หมอกแห่งทะเลความรู้สึกภายใต้แสงสว่างนี้ก็เปลี่ยนมาชัดเจน
ส่วนตะเกียงแห่งชีวิตทั้งสี่ดวงนั่นภายใต้แสงโชติช่วงของเปลวไฟ พลังก็พุ่งเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เลาๆ ว่ารูปลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เหมือนว่าต่างมีภาพมายามนุษย์จิ๋วนั่งขัดสมาธิ กำลังก่อตัวขึ้นในไส้ตะเกียง
ภาพนี้ทำเอาจิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม เขารู้ว่ามนุษย์จิ๋วนั่นคืออะไร
นั่นคือปราณก่อกำเนิด!
ตอนนี้แม้จะยังเป็นภาพมายา ยังไม่ก่อตัวขึ้นอย่างแท้จริง แต่ดูจากความเร็วที่ปรากฏเป็นภาพมายา ก็เหมือนจะอีกไม่ไกลแล้ว
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
จากของเหลวโบราณในขวดกาลเวลาหยดนั้นที่ปะทุอยู่ตลอด ตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงของสวี่ชิง ไฟชีวิตก็ยิ่งลุกโหมโชติช่วง เหมือนหยดน้ำมันตะเกียงลงไป
มนุษย์จิ๋วในไส้ตะเกียงชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับสวี่ชิงทุกประการ
หลายสิบอึดใจหลังจากนั้น ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำที่ติดตามสวี่ชิงมานานที่สุด ประกายแสงบนนั้นพลันปะทุไปข้างนอก พลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งหลังจากปะทุในนั้น มนุษย์จิ๋วในนั้นก็แปรเปลี่ยนจากมายาเป็นของจริง
เปลี่ยนมาชัดเจนอย่างยิ่งในเปลวไฟ ดวงตาทั้งสองของมนุษย์จิ๋วก็พลันลืมขึ้น สัมผัสกับจิตเทพของสวี่ชิงโดยมีไฟชีวิตกั้น เหมือนมองซึ่งกันและกัน
สวี่ชิงในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่า กลิ่นอายพลังบำเพ็ญแผ่ระลอกตาม แผ่พลังแข็งแกร่งที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ฉัตรคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะสวี่ชิง
ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ฉัตรที่ปรากฏครั้งนี้สีแจ่มชัดกว่าเดิม ดูแล้วยิ่งสมจริงมากขึ้น ภายใต้การปกคลุมของมัน สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิเหมือนกับจักรพรรดิโบราณอายุเยาว์จริงๆ
เต็มไปด้วยอำนาจความน่าเกรงขาม
แต่ทุกอย่างยังไม่จบแค่นั้น ไม่นานนักตะเกียงลมครวญเจ็ดสีของเขา ท่ามกลางเสียงสะท้อนแหลมกังวานน่าฟังเป็นระลอก มนุษย์จิ๋วในไส้ตะเกียงพลันลืมตาทั้งสองขึ้น
ฉัตรคันที่สองปรากฏขึ้นมา!
จากนั้นในตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ ปราณก่อกำเนิดก็เกิดขึ้นมา จากนั้นในตะเกียงสังหารเซียนกัดกินเทพ ปราณก่อกำเนิดก็ก่อตัวขึ้นอีก!
สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิใต้ฉัตรสี่คัน ทั่วทั้งร่างไหลเวียนไปด้วยประกายแสงพราวพร่าง ร่มดำอยู่เหนือศีรษะ แสงเจ็ดสีล้อมรอบ ปีกโลหิตอยู่ข้างหลัง กลิ่นอายอำมหิตโหดเหี้ยม
รวมกับรูปโฉมที่งดงามสง่าของเขา ภาพนี้หากอยู่นอกโลกจะต้องทำให้คนนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นสะท้านอย่างแน่นอน กระทั่งว่าหากไม่รู้ฐานะตัวตนของเขา เกรงว่าคงจะคิดว่าเขาถึงจะเป็นจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ลงมาเยือนแน่นอน
ปราณก่อกำเนิดสี่ดวงทยอยปรากฏขึ้นมา ทำให้พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงพุ่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้าม พลังน่าพรั่นพรึงหมุนวนอยู่ในร่าง รวมถึงปราณก่อกำเนิดห้าดวงที่รวมปราณก่อกำเนิดวิหคทองในนั้นปะทุมา
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหมือนเคราะห์สวรรค์จะลงมาเยือน ก็เกิดขึ้นมารางเลือนในจิตใจสวี่ชิง แต่ก็ยังขาดอีกเล็กน้อย ต้องรอให้เกิดความรู้สึกมากกว่านี้ถึงจะเหนี่ยวนำได้
ส่วนพลังของเหลวในขวดกาลเวลาตอนนี้ยังมีพลังเหลืออีกกลุ่มหนึ่ง ภายใต้การเหนี่ยวนำของสวี่ชิง ก็พุ่งตรงไปยังวังสวรรค์ที่สิบสองที่เฝ้าปรารถนามานาน
วังสวรรค์วังนี้ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงไปแล้วกว่าครึ่ง ภายใต้การดูดซับ การแปรสภาพเป็นวัตถุจริงก็โคจรอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงแปดส่วน จวบจนเก้าส่วน และสุดท้ายก็เกือบจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว!
วังสวรรค์ที่สิบสองฉายประกายเจิดจรัส สั่นเทือนไม่หยุด
ขาดเพียงวัตถุสะกดชิ้นหนึ่งเท่านั้นก็จะสมบูรณ์!
สวี่ชิงลืมตา เห็นนายกองที่มองฉัตรของตัวเองด้วยสีหน้าเสียดายเล็กน้อยข้างหน้า
กลิ่นอายของนายกองก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับสวี่ชิง ต่างแผ่ระลอกคลื่นพลังปราณก่อกำเนิด แต่มีพลังปราณกี่ปราณ ยากจะมองออก
“อาชิงน้อย ปราณก่อกำเนิดที่ก่อขึ้นในตะเกียงแห่งชีวิตในร่างเจ้า ใกล้จะเหนี่ยวนำพลังเคราะห์ที่หนึ่งได้แล้ว!”
สังเกตเห็นสวี่ชิงตื่นขึ้น นายกองสูดลมหายใจลึก สีหน้าฉายแววเสียดายเล็กน้อย
“ตะเกียงแห่งชีวิตเป็นของล้ำค่าสูงสุด แต่น่าเสียดาย พวกเราไม่มีสายเลือดเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ ไม่สามารถสร้างตะเกียงแห่งชีวิตเองได้ และตะเกียงแห่งชีวิตที่มาจากข้างนอกสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจผสานกับสายเลือดของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ทำไม่ได้เหมือนกับลูกหลานเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณในตำนานพวกนั้นที่สามารถเปลี่ยนตะเกียงแห่งชีวิตเป็นเตาหลอมของสมบัติวิญญาณขอบเขตนี้ เอาไว้ในสมบัติวิญญาณทั้งห้า เผาไหม้อยู่ตลอด หลอมทุกอย่างให้เป็นรากฐานสมบัติลับของตัวเอง
“นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้บำเพ็ญยิ่งใหญ่ที่ฝึกบำเพ็ญถึงระดับสมบัติวิญญาณเหล่านั้นถึงไม่ได้ปรารถนาตะเกียงแห่งชีวิตสักเท่าไร ไม่ใช่ตะเกียงแห่งชีวิตไม่ดี แต่พวกเราไม่สามารถใช้ได้ในภายหลัง เฮ้อ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง แม้เขาจะไม่รู้ว่าตะเกียงแห่งชีวิตในระดับสมบัติวิญญาณเปลี่ยนเป็นเตาหลอมได้ แต่ก็ค้นพบเหมือนกันว่าจากการยกระดับขึ้นของพลังบำเพ็ญ การเพิ่มพลังจากตะเกียงแห่งชีวิตก็ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“ไม่มีวิธีทำให้มันผสานรวมกับสายเลือดของตัวเองเลยหรือ” สวี่ชิงถามประโยคหนึ่ง
“นี่เป็นวิธีที่แต่โบราณกาลมาทุกคนล้วนอยากหาให้เจอ แต่น่าเสียดาย ทำไม่ได้ นอกเสียจากพลังบำเพ็ญของตัวเองจะถึงระดับเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ ถึงจะพลิกย้อนทุกอย่างได้ ทำให้สายเลือดก่อกำเนิดตะเกียงแห่งชีวิต ทำให้สายเลือดรุ่นหลังมีวาสนานี้”
นายกองส่ายหน้า
สวี่ชิงพยักหน้า ไม่ได้เสียดายสักเท่าไร จะอย่างไรในขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับนี้ ตะเกียงแห่งชีวิตก็ยังสามารถเพิ่มพลังได้ อีกทั้งสวี่ชิงรู้สึกว่าตะเกียงแห่งชีวิตในขอบเขตปราณก่อกำเนิดน่าจะนับว่าเป็นการสำแดงสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
นายกองตบไหล่สวี่ชิง
“แต่ก็ไม่เป็นไร รอข้าคิดหาวิธี ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะอาศัยพลังทำได้ ยังไม่พูดเรื่องนี้ อาจารย์ก่อนจะไปเหมือนว่าจะคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้วาสนาขวดกาลเวลา ดังนั้นก่อนไปก็รีบร้อนไม่ได้บอกรายละเอียด เช่นนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับปราณก่อกำเนิด ข้าบอกกับเจ้าก่อนก็แล้วกัน
“ปราณก่อกำเนิดขอบเขตนี้ แต่ละเผ่ามีชื่อเรียกต่างกันไป มีเรียกว่าขอบเขตอายุขัยสวรรค์ ขอบเขตปราณมรรคา แล้วก็มีปราณก่อกำเนิดลิขิตสวรรค์ ชื่อเรียกทุกอย่างความจริงล้วนเปลี่ยนไปตามจักรพรรดิโบราณที่รวมดินแดนเป็นหนึ่งจากทุกรุ่น
“หลังจากที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวรวมเป็นหนึ่งก็กำหนดเรียกเป็นชื่อเดียว เรียกว่าปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ ความจริงล้วนเป็นความหมายเดียวกัน คำว่ามรรคา ตอนนั้นเติมเข้าไปเพื่อรวบรวมความเข้าใจของทุกเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
“ส่วนลิขิตสวรรค์คือเคราะห์สวรรค์ประเภทหนึ่ง”
จากการบอกของนายกอง สวี่ชิงผนวกความเข้าใจต่อขอบเขตปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ของตัวเองก่อนหน้านี้ ความรู้ความเข้าใจที่ครบทุกด้านก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจ
ขอบเขตปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ของเขตนี้ความจริงแล้วในความรู้ความเข้าใจเผ่ามนุษย์ อย่างน้อยจะต้องมีปราณมรรคาหนึ่งดวงผ่านการชำระล้างจากเคราะห์สวรรค์ จึงจะเรียกได้ว่าปราณมรรคาลิขิตสวรรค์
ต่อให้เหยียบไปในขอบเขตนี้แล้ว แต่ไม่ได้ผ่านการชำระล้างจากเคราะห์สวรรค์ ไม่ว่าจะมีปราณมรรคาเท่าไร ตามทฤษฎีแล้วล้วนเป็นระดับก่อกำเนิดลวง
ยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวล้วนเป็นเช่นนี้ แต่จากการสญสลายการรวมเป็นหนึ่งของเผ่ามนุษย์ ชื่อเรียกก็ถูกเปลี่ยนไป
จากความเข้าใจที่แตกต่างออกไปของแต่ละเผ่า ก็มีความเข้าใจมากมาย หลายเผ่ามองว่าต่อให้ไม่ผ่านเคราะห์สวรรค์ แต่ขอเพียงมีปราณมรรคาปรากฏ ก็คือขอบเขตปราณก่อกำเนิด
ส่วนด่านเคราะห์สวรรค์ที่ต้องผ่านด่านนี้เป็นพันธนาการของขอบเขตปราณก่อกำเนิดเอง ทุกครั้งที่มีปราณใหม่ก่อกำเนิดขึ้น สะสมพลังเผชิญเคราะห์สวรรค์ หลังจากถูกเคราะห์สวรรค์ชำระล้างแล้ว ก็จะทำลายพันธนาการครั้งหนึ่ง
มหาพิภพต้องประสงค์อย่างไรก็กว้างใหญ่มาก เผ่าพันธุ์มากมาย คุณสมบัติกายก็ต่างกัน เหมือนเผ่าเคียงเซียนที่มุมมองต่างไปจากเผ่าอื่นๆ โดยสิ้นเชิงก็มีไม่น้อย จึงยากที่จะมีความเข้าใจแบบเดียวกันในขั้นนี้
ส่วนวิธีการยกระดับ จากการที่แต่ละเผ่ามีสาขาย่อยมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมีความแข็งแกร่งอ่อนแอ
สรุปแล้ว โดยรวมแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือหลังจากที่ปราณก่อกำเนิดปราณที่สองก่อกำเนิดขึ้นในร่าง เลือกที่จะเหนี่ยวนำเคราะห์สวรรค์ทำการชำระล้าง และยกระดับลิขิตสวรรค์จากการนี้
ประเภทที่สอง ผู้บำเพ็ญที่เลือกค่อนข้างน้อย นั่นก็คือหลังจากที่ทำให้วังสวรรค์ทุกวังของตัวเองเปลี่ยนเป็นปราณมรรคาแล้ว ก็ทำการผ่านเคราะห์สวรรค์ไปพร้อมกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าถล่มปฐพีในทีเดียว
อย่างหลังยากลำบาก แต่หากสำเร็จ พลังลิขิตสววรรค์ที่ได้จะยิ่งเข้มข้น จะมีส่วนช่วยสมบัติวิญญาณในภายหลังไม่น้อย
และหลังจากเหยียบย่างเข้าสู่ปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ขอบเขตนี้แล้ว วิธีการยกระดับต่างไปจากแก่นลมปราณวังสวรรค์ ที่ต้องผ่านเคราะห์ลิขิตสวรรค์ ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดทุกคนล้วนผ่านหนึ่งครั้งก็เป็นการยกระดับมหาศาล
ทั้งหมดห้าครั้ง ผ่านทั้งหมด ก็จะเป็นขั้นบริบูรณ์
ในนั้นแฝงไว้ด้วยอันตราย ดังนั้นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดต้องยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย พัฒนาไม่หยุดหย่อน ถึงจะมีทุนในการผจญเคราะห์ ไม่เช่นนั้นแล้ว หากผจญเคราะห์ล้มเหลว ปราณก่อกำเนิดก็จะแตกสลายอย่างไม่อาจย้อนแก้ไขได้ หายไปตลอดกาล
และตะเกียงแห่งชีวิตขั้นนี้ เป็นสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะเคราะห์ตะเกียงแห่งชีวิตต่อให้ล้มเหลวก็ไม่สลายไป ดังนั้นหลังจากที่ล้มเหลวสามารถลองได้หลายครั้ง
“ใช้สิ่งนี้วางไปในวังที่สิบสองของเจ้า ใช้เป็นวัตถุสะกด!”
สวี่ชิงเงยหน้ามองนายกอง
“ของชิ้นนี้แม้จะล้ำค่า แต่ข้าไม่ได้ใช้ การฝึกบำเพ็ญของข้าคือการคลายผนึก” นายกองหัวเราะฮี่ๆ ขยิบตาให้สวี่ชิง
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่” ในใจสวี่ชิงเกิดความอบอุ่น หลายปีมานี้ เขามองนายกองกับนายท่านเจ็ดเป็นคนในครอบครัวที่ไม่อาจขาดได้ของตัวเองแล้ว
ประสบการณ์ในวัยเด็กของสวี่ชิง ทำให้นิสัยของเขาเย็นชา แต่ส่วนลึกในใจล้วนเฝ้าปรารถนาในครอบครัวมาโดยตลอด
ส่วนนายกองทางนี้ ทั้งสองคนตลอดทางที่เดินมาผ่านเรื่องราวมากมาย เป็นตายหลายครั้ง ในใจสวี่ชิงวางเขาไว้ในตำแหน่งพี่ชายตั้งนานแล้ว
ตอนนี้รับขวดกาลเวลามา สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย วางมันไปในวังสวรรค์ที่สิบสองของตัวเอง
วังสวรรค์ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อีกทั้งไม่เหมือนกับวังสวรรค์วังอื่น ในวังสวรรค์วังที่สิบสองแผ่พลังแสงเป็นระลอกๆ ในความเลือนราง สวี่ชิงเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจที่คุ้นเคยดังสะท้อนมาในวันเวลาด้วย
เสียงถอนหายใจนี้ทำให้เขาอึ้งตะลึง
นั่นคือ…เสียงของจื่อเสวียน
สวี่ชิงกำลังจะหาให้ดี แต่ตอนนี้เองท้องฟ้ามีเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านสะเทือนดังมา ยิ่งมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมา รอยแยกแต่ละทางๆ แผ่มาจาปลายฟ้าไกล แผ่ลามไปเต็มผืนฟ้าอย่างรวดเร็ว
ฟ้าเหมือนกลายเป็นใยแมงมุม
พลังสีแดงฉานแถบหนึ่ง ปะทุมาบนท้องฟ้าแห่งนี้!
สวี่ชิงและนายกองหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน
Comments