ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 524 ชื่อหมู่จุติ (1)
บทที่ 524 ชื่อหมู่จุติ (1)
ท้องฟ้าแดนต้องห้ามเซียนถูกสีแดงชาดปกคลุม ดูแล้วเหมือนท้องฟ้ากลายเป็นสีเลือด
บนนั้นเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมากมาย
สีรอยแยกเหล่านั้นยิ่งเข้มด้วยการขับเด่นของม่านสีแดง เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่าพวกมันเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ยิ่งเหมือนมีคนจัดวาง
ลักษณะของมัน ราวกับเป็นอักขระที่แผ่ขยายไปบนฟากฟ้า!
มองแค่ผาดหนึ่งก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ถูกกระตุ้นอารมณ์หวาดกลัวจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ ราวกับว่านี่คือพฤติกรรมตามสัญชาตญาณ
ดังนั้นที่ใจสั่นสะท้านไม่ได้มีเพียงสวี่ชิงกับนายกอง ตอนนี้ในแดนต้องห้ามเซียน ในพื้นที่ปลอดภัยที่ถูกบุกเบิกรัศมีกว่าสองพันลี้ ผู้บำเพ็ญทั้งหมดเป็นเช่นเดียวกัน
ในใจทุกคนโหมคลื่นขนาดยักษ์ขึ้นมา ความรู้สึกมหันตภัยมาเยือนอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ในกองทัพใหญ่ มีกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สามเป็นหลัก ส่วนผู้บำเพ็ญกลุ่มที่หนึ่ง ส่วนใหญ่เลือกออกไปแล้ว เวลานี้ต่างหน้าเปลี่ยนสี
ส่วนต้นเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปอยู่ที่วังของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวใจกลางแดนต้องห้ามเซียน หรือก็คือจุดที่ตำหนักวังจักรพรรดิอยู่
วังหลวงที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร บัดนี้สภาพเปลี่ยนไปมาก เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนห่อหุ้ม ปูดขึ้นมาเป็นเนื้องอกขนาดยักษ์ มันห่อหุ้มวังหลวงรวมถึงลานกว้างรอบๆ ไว้ด้านใน
มองไกลๆ ก้อนเนื้อนี้ใหญ่โตกินพื้นที่นับหมื่นจั้ง รอบๆ เต็มไปด้วยเส้นเลือดเส้นหนาขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ขณะที่แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ก้อนเนื้อนี้ก็ราวกับเป็นหัวใจ กำลังสั่นไหว
ตึกตัก ตึกตัก
ทุกครั้งที่สั่นไหวล้วนมีเสียงดังราวสายอัสนี กึกก้องไปทั่ว
ท่ามกลางเสียงนี้ มิติที่นี่กำลังบิดเบี้ยว สลัวไปหมด ไอพลังประหลาดเข้มข้นถึงขีดสุด ไม่ได้แปรเป็นปราณหมอก แต่รวมกันเป็นเงาสิ่งประหลาดหลายร่าง ล่องลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน คารวะไปทางก้อนเนื้อ
ไกลออกไปอีก จากการแผ่ขยายของเส้นเลือดบนพื้น พื้นที่ที่ห่างออกไปพันลี้ มีภาพฉากคล้ายกันปรากฏขึ้น แต่ไม่ใช่ก้อนเนื้อ ทว่าเป็นหนามแหลมชี้ขึ้นฟ้าแท่งหนึ่ง
หนามแหลมนี้สีดำสนิทราวกับเป็นมีดแหลมคม แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกไปเป็นระยะ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นอาวุธที่ไร้เทียมทาน
อาวุธเทพที่นี่ ไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว
ห่างออกไปอีกพันลี้ ยังมีหนามแหลมแบบเดียวกันอีกเล่มหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า กระทั่งไกลออกไปอีกพันลี้ ยังมีอยู่ถึงสามเล่ม!
หากยืนอยู่ที่บนสูงจนสามารถมองเห็นแดนต้องห้ามเซียนได้ทั้งหมด ก้มหน้ามองจะเห็นหนามแหลมทั้งหมดยี่สิบเจ็ดเล่มอย่างชัดเจน โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่วังหลวง เชื่อมไปทางด้านตะวันตก
ราวกับอสูรยักษ์ถูกฝังอยู่ใต้วัง หนามแหลมที่โผล่ออกมาคือเกราะส่วนหลังของอสูรยักษ์
แต่ตอนนี้ อสูรยักษ์ที่ใจกลางวังหลวงตัวนี้ บนท้องฟ้ายังมีค่ายกลแปดเหลี่ยมเหมือนสลักไว้ในม่านฟ้า กำลังเปล่งแสงสีแดงจ้า
แฝงกฎเกณฑ์ไว้ระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เปล่งแสง จะทำให้ท้องฟ้าแดงขึ้นอีก
ยังไม่ทราบส่วนประกอบของค่ายกลนี้ ขนาดประมาณพันจั้ง เมื่อเทียบกับอสูรยักษ์ด้านล่าง นอกจากแสงสีแดงแล้วก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด
แต่ที่นี่กลับเป็นต้นกำเนิดของรอยปริแตกบนท้องฟ้าทั้งหมด
มองออกว่ารอยปริแตกมหาศาลนี้โดยที่นี่เป็นจุดศูนย์กลาง แผ่ลามไปทั้งท้องฟ้า
ส่วนด้านในค่ายกลแปดเหลี่ยมขนาดพันจั้งนี้ มีคนในชุดนักพรตสีดำอยู่ทั้งสิ้นสามร้อยหกสิบเอ็ดคน
ในบรรดานี้สามร้อยหกสิบคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ส่งเสียงสาปแช่งซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจดังมา
นี่ไม่ใช่ภาษาของเผ่ามนุษย์ ในทุกๆ เสียงมีความแปลกประหลาดอยู่ด้วย กระทั่งในคำสาปนี้ บางครั้งพวกเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน ล้วงเข้าไปในร่างกายอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ลังเล ควักอวัยวะภายในร่างตนออกมาอย่างหนึ่ง
ประคองไว้ในมือ ชูขึ้นขณะที่เลือดสดยังไหลริน ราวกับกำลังบูชายัญ
อวัยวะเหล่านั้นแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปราณสีดำรวมไปที่ใจกลางค่ายกล
ที่นั่น คือคนที่สามร้อยหกสิบเอ็ด
แม้จะสวมชุดนักพรตสีดำ แต่เพราะร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงจนหมวกชุดคลุมหลุดออกมา เผยให้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง
จางซืออวิ้นนั่นเอง
เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้น สีหน้าเจ็บปวด เส้นเลือดขยุกขยิกอยู่บนใบหน้าจนเป็นรูปร่างพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมารางๆ ยิ่งมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา
ตาซ้ายเขาบอดไปแล้ว เหลือแต่รู แต่กลับมีเส้นเลือดนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากด้านใน ผสานเข้าไปในค่ายกลรอบๆ และถูกค่ายกลสนับสนุนจนแผ่ลามออกไปด้านนอก
ดูจากเส้นเลือด เห็นได้ชัดว่ารอยแยกบนท้องฟ้านี้เป็นเส้นเลือดที่แผ่ลามออกมาจากในตาซ้ายที่บอดไปแล้วไปของจางซืออวิ้น!
เส้นเลือดบนใบหน้าก็ยิ่งขยุกขยิกเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเสียงคำสาปที่สะท้อนก้อง พระจันทร์เสี้ยวสีแดงก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็สูดรับปราณสีดำที่มารวมกันที่นี่ไว้จนกลายเป็นสีเลือด กลายเป็นของบำรุง เพิ่มความเร็วการเกิดพระจันทร์สีชาด
ส่วนสองมือของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไปใกล้ใบหน้า เหมือนเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย คิดจะปิดตาทั้งสองหลังจากที่ตาขวาบอดไป
ลักษณะเช่นนี้ คือรูปสลักที่อยู่บนพระจันทร์องค์นั้นที่สวี่ชิงเห็นในทะเลความรู้สึกตอนนั้น
ตอนนี้ คนในชุดนักพรตสีดำสามสิบร้อยหกสิบคนรอบๆ จางซืออวิ้น ส่งเสียงสาปแช่งรุนแรงขึ้น แต่ละคนยกมือ ชูอวัยวะภายในของตนบูชายัญ
ภาพนี้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ไอพลังประหลาดฟุ้งกำจายไปทั่ว เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายถึงขีดสุด
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงกับนายกองก็ออกจากอาณาบริเวณที่เคยอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก ไม่ได้หาที่สำรวจต่อ แต่หาจุดที่เลือดเนื้อเข้มข้นแทน
แม้ว่าที่นี่ทั้งหมดเป็นเลือดเนื้อสีแดงม่วง แต่เพื่อความปลอดภัย สถานที่ที่เลือดเนื้อยิ่งมากย่อมดีกว่า
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ขณะที่ความหวาดผวาของสวี่ชิงยิ่งรุนแรงขึ้น พวกเขาก็เห็นที่รกร้างแห่งหนึ่งเช่นนี้ เดิมที่นี่กว้างขวาง ตอนนี้ถูกเลือดเนื้อมหาศาลห่อหุ้มราวกับเป็นภูเขาเนื้อ
ขณะที่สลัวเลือนราง จากกำแพงถล่มที่ยื่นออกมานอกเลือดเนื้อ มองร่องรอยความเก่าแกออก
“ศิษย์น้องเล็ก เลือกที่นี่แล้วกัน”
นายกองมองไปรอบๆ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
สวี่ชิงก็มองซ้ายมองขวาเช่นกัน หลังจากพยักหน้า ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในอาณาบริเวณเลือดเนื้อแห่ง
ตอนที่เห็นอักษรตะวันออกบนแผ่นป้ายที่ผุพังไปแล้วกว่าครึ่งหล่นอยู่ข้างๆ ระหว่างทาง สวี่ชิงก็คาดเดาสถานที่แห่งนี้ในใจ
“วังตะวันออก? ปกติที่ที่องค์รัชทายาทพำนักก็เรียกกันว่าวังตะวันออก” นายกองกวาดตามอง แววตาค่อนข้างเสียดาย
“น่าเสียดาย ที่นี่ถล่มไปแล้ว อีกทั้งยังถูกโจมตีอย่างหนัก ไม่เช่นนั้นที่ที่องค์รัชทายาทพำนักจะต้องมีสมบัติอยู่แน่”
สวี่ชิงก็ค่อนข้างเสียดาย ตลอดทางที่พวกเขาเดินมา เห็นตำหนักวังมากมาย สัมผัสได้ถึงความร่ำรวยรุ่งโรจน์ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวตอนนั้นเป็นอย่างดี
และที่นี่ก็เป็นแค่เขตตะวันออกของแดนต้องห้ามเซียนเท่านั้น พวกเขายังไม่ได้สำรวจครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเขตตะวันออก หรือก็คือแค่ขอบเขตเล็กมากๆ เท่านั้น
แดนต้องห้ามเซียนใหญ่เกินไป หากคิดจะสำรวจที่นี่ทั้งหมด ต้องใช้กำลังคนมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นเวลาสำรวจก็น่าจะไม่ใช่แค่หลายเดือน
“และไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสเข้ามาอีกหรือไม่” นายกองทอดถอนใจ ทั้งสองคนวนหาอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายก็เลือกตำหนักข้างๆ ที่ถล่มไปแล้วแห่งหนึ่ง เก็บกวาด และขุดโพรงบนเลือดเนื้อ
เลือดเนื้อของแดนต้องห้ามขยุกขยิกอยู่ตลอดเวลา เมื่อขุดโพรงนี้ออกมา ที่ขอบโพรงก็เริ่มหด ผสานรวมกันอีกครั้ง ชิงกับนายกองจึงไม่ชักช้า มุดเข้าไปด้านในทันที
ไม่นาน ร่างของพวกเขาก็หายเข้าไปในโพรงเลือดเนื้อ ตอนที่ด้านนอกค่อยๆ ผสานกัน ทั้งสองคนก็ยังขุดลงไปด้านล่างในเลือดเนื้อต่อ
จนกระทั่งลึกถึงระดับหนึ่ง ขณะที่ถูกเลือดเนื้อกับไอพลังประหลาดเข้มข้นห่อหุ้ม พวกเขาก็นั่งขัดสมาธิ
“ไม่รู้ว่าอาจารย์คิดจะหาประโยชน์จากที่นี่อย่างไร” สวี่ชิงมองความมืดรอบๆ ตอนที่เอ่ยแผ่วเบา ในสมองก็มีเสียงถอนหายใจที่ดังก้องในสมองหลังจากผสานกับขวดแสงกาลเวลาก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมา
เสียงถอนใจนั้นดังก้องในสมอง ราวกับกระตุ้นความทรงจำบางอย่างขึ้นมา
“อาชิงน้อย อยากเห็นสงครามเทพเจ้าหรือไม่” นายกองหัวเราะฮี่ๆ เมื่อโบกมือฝ่ามือก็มีดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่ดวงตานี้กะพริบสองสามครั้ง ด้านในก็สะท้อนท้องฟ้าสีแดงเลือดออกมาฉับพลัน
ดวงตาสวี่ชิงแข็งค้าง
“ข้าวางลูกตาเอาไว้ด้านนอกหลายดวง เพื่อจะดูสงครามเทพเจ้าด้วยตัวเอง แต่ว่าก็มีความเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว ดังนั้นพวกเรารอจนพระจันทร์สีชาดตื่นขึ้น และง่วนอยู่กับการกลืนกินเทพเจ้าที่นี่แล้วค่อยดู ก็น่าจะปลอดภัยขึ้นมาก”
นายกองเอ่ยอย่างได้ใจ กำมือขวา ปิดบังดวงตาด้านใน
“รอก่อนเถอะ พระจันทร์สีชาดน่าจะใกล้ตื่นขึ้นแล้ว”
สวี่ชิงพยักหน้า สวมหน้ากากหนังมนุษย์ที่มีพลังอำพรางแฝงอยู่ พลังพิษต้องห้ามในร่างก็แผ่ไปในทะเลความรู้สึก ปกคลุมวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วง การสนับสนุนจากวิถีสวรรค์ ยังมีเขาจักรพรรดิภูตรวมถึงแสงประกายอรุณ ไม่เปิดเผยพระจันทร์สีม่วงในร่างกายตนออกมาแม้แต่น้อย
จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาหลับตาลงท่ามกลางความมืด ไม่ขยับเขยื้อน
สมองก็หวนระลึกภาพฉากตำหนักวังพญาหงส์ในความทรงจำทีละภาพๆ หาความระลอกคลื่นที่โหมเสียงถอนหายใจขึ้น
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
สามชั่วยามต่อมา จู่ๆ บนท้องฟ้าโลกภายนอกก็มีเสียงครืนครันกึกก้องขึ้นอีกครั้ง เสียงนี้ดังสนั่นลั่นไปทั้งแปดทิศ และดังเข้ามาถึงด้านในเลือดเนื้อที่สวี่ชิงกับนายกองอยู่
ทั้งสองคนใจสั่นสะท้าน ความพรั่นพรึงปะทุขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ต้องสังเกตการณ์ ในใจสวี่ชิงฉายความรู้ความเข้าใจที่ชัดแจ้งขึ้น
เขารู้ดี ว่าพระจันทร์สีชาด…กำลังจะตื่นขึ้น
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น บนฟากฟ้า เวลานี้เจตจำนงสีแดงฉาน แสงสีแดงสาดส่องพื้นดิน ทำให้สิ่งปลูกสร้างและเลือดเนื้อทั้งหมดในนี้ถูกอาบย้อมเป็นสีชาด
สีม่วงด้านใน กำลังถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว และเจตจำนงเลือดนี้ ก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ที่นี่
กระทั่งหนามแหลมยี่สิบเจ็ดเล่มก็สั่นไหวเล็กน้อย หัวใจที่กำลังเต้น ก็ปรากฏความผิดปกติขึ้นเป็นครั้งแรก เจตจำนงแห่งการลืมตื่นวูบหนึ่งปะทุขึ้นมาจากพื้นดิน
ขณะเดียวกัน ในค่ายกลแปดเหลี่ยมบนท้องฟ้า หลังจากคนในชุดนักพรตสีดำทั้งหมดบูชาอวัยวะภายในรวมถึงตาซ้าย ก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน ควักตาขวาของตนออกออกมา
พริบตาที่ชูขึ้นสูง จางซืออวิ้นที่อยู่ตรงกลาง ตาขวาของเขาก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นรูกลวงทันที เส้นเลือดจำนวนมหาศาลแผ่ลามไป
รอยปริแตกบนท้องฟ้าเพิ่มมากขึ้น
จางซืออวิ้นยกสองมือขึ้นช้าๆ และพริบตาที่ปิดดวงตาทั้งสองตอนสุดท้าย สีหน้าของเขาก็ไร้ความเจ็บปวดทรมาน ยกมุมปากขึ้นช้าๆ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี!
เจตจำนงสูงส่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุดวูบหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากตัวจางซืออวิ้นฉับพลัน
ท้องฟ้า พื้นดิน ทั้งหมดทั้งมวล ภายใต้เจตจำนงนี้ล้วนกลายเป็นสีแดง
พระจันทร์สีชาดดวงหนึ่ง ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าของแดนต้องห้ามเซียนเหนือร่างจางซืออวิ้น!
พื้นดินสั่นไหวในพริบตา เสียงคำรามที่แฝงความพรั่นพรึงไว้ราวกับถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราดังสนั่นลั่นฟ้าจากใต้ดินส่วนลึกในพริบตานี้
“ชื่อหมู่!”
Comments