ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 662 จิตใจบริสุทธิ์

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 662 จิตใจบริสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 662 จิตใจบริสุทธิ์

หลังเดินออกจากโถงด้านใน สวี่เอ้อร์หลางมองไปรอบๆ ก็ไม่พบสาวใช้

แม้หลังที่ว่าการจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสมุหเทศาภิบาล ทว่าก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของที่ทำการสมุหเทศาภิบาล บริเวณที่ว่าการย่อมมิอาจมีนางบำเรอมากไป สวี่เอ้อร์หลางเข้าใจได้

เดินไปได้อีกครู่หนึ่ง เขาก็เห็นสองศิษย์อาจารย์นั่งผึ่งพุงอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่ที่โต๊ะหินในลานเล็กๆ ด้านตะวันตก

สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปากเบาๆ ก่อนปั้นหน้าเอ่ยว่า

“พวกเจ้าสองคนไม่ได้ต้องไปซินเจียงตอนใต้หรือ พรุ่งนี้ก็เดินทางแล้วสินะ”

สวี่หลิงอินตกตะลึง นางอ้าปากค้างและลากเสียง ‘อา’ ยาว พลางมองลี่น่าแล้วเอ่ยว่า

“อาจารย์ ที่นี่ไม่ใช่ซินเจียงตอนใต้หรือ”

“ไม่ใช่อยู่แล้ว ที่นี่ห่างจากบ้านเกิดข้าไกลนัก อืม ก็ไม่ถึงกับไกลมาก ข้าแบกเจ้าและวิ่งไปเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ถึงซินเจียงตอนใต้แล้วล่ะ”

ลี่น่าเอ่ยพลางตบหน้าอก

สวี่หลิงอินคลานขึ้นบนตัวนางอย่างมีความสุข ก้นเล็กๆ นั่งลงตรงหน้านาง

ลี่น่า ‘ตบ’ จนนางปลิวไปราวกับตบแมลงวัน “ไม่ได้บอกว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้รึ หลิงอินเจ้านี่โง่อยู่เรื่อย”

เจ้าก็ไม่ได้ฉลาดกว่านางนักหรอก…สวี่เอ้อร์หลางกระแอมทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า

“เหตุใดพวกเจ้าไม่เหลือข้าวไว้ให้ข้า”

ลี่น่ารีบโยนกลอง “ก็หลิงอินบอกว่าพี่เอ้อร์หลางไม่หิว”

สวี่หลิงอินเบิกตาโตพลางพยักหน้าอย่างจริงจัง “พี่รองไม่หิวหรอก”

ลี่น่าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็จนปัญญาแล้ว”

…สวี่เอ้อร์หลางพูดไม่ออก ก่อนจากไปด้วยความกระฟัดกระเฟียด

เมื่อครู่เขามีความคิดจะแงะสมองของน้องสาวและลี่น่ามาดูว่าปกติแล้วพวกนางคิดอะไรกัน

เหตุใดจึงเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นการเป็นงานเช่นนี้

เวลานั้นเอง เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาจากด้านนอกประตูลานโค้ง มีปากเป็นจะงอยน่าเกลียด ซึ่งก็คือผู้ติดตามของซุนเสวียนจี เผ่าปีศาจที่พากลับมาจากซินเจียงตอนใต้

ส่วนจะชื่ออะไรนั้น สวี่ซินเหนียนไม่ได้ถาม

“พี่ชายท่านนี้ ข้ามีนามว่าสวี่ซินเหนียน”

สวี่เอ้อร์หลางเข้าไปเอ่ยพลางประสานมือคำนับ

ผู้พิทักษ์วานรขาวเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เขาประสานมือคำนับคืนอย่างไม่ได้มาตรฐานนัก

“พี่ชายมีนามว่าอะไรหรือ”

“ผู้พิทักษ์หยวน!”

ชื่อแปลกเสียจริง…สวี่เอ้อร์หลางถามว่า “สวี่ชีอันเป็นพี่ใหญ่ของข้า ผู้พิทักษ์หยวนบอกสถานการณ์ของเขาที่ซินเจียงตอนใต้ได้หรือไม่”

ผู้พิทักษ์หยวนได้ฟังก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว

“ใต้เท้าสวี่เกรงใจแล้ว ข้าจะเล่าทุกอย่างที่รู้”

ทั้งสองยืนอยู่ในลานบ้าน หลังจากพูดคุยเจาะลึกแล้วสวี่ซินเหนียนจึงเข้าใจผู้พิทักษ์หยวนผู้นี้อย่างลึกซึ้ง

เขามาจากซินเจียงตอนใต้ เป็นผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ บำเพ็ญตบะขั้นสี่

พลังเหนือธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดคือการมองทะลุจิตใจผู้คนและได้บำเพ็ญถึงแก่นของสำนักพุทธ ด้วยความสามารถนี้เองทำให้ต้องตาซุนเสวียนจี และรับเขาเข้าเป็นศิษย์

เกรงจะไม่ใช่การรับเป็นศิษย์ แต่เป็นเครื่องส่งเสียงมากกว่ากระมัง…สวี่ซินเหนียนซึ่งรู้ดีเกี่ยวกับความวิบัติทางภาษาของซุนเสวียนจีพึมพำในใจ

ผู้พิทักษ์หยวนเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าว่า

“ท่านเดาถูกต้องแล้ว ข้าเป็นแค่ลิงที่เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น”

ให้ตายสิ ลืมไปว่าเขาอ่านความคิดของข้าได้ คุยกับคนประเภทนี้นี่เหนื่อยจริงๆ…สวี่เอ้อร์หลางสีหน้าแข็งค้าง ก่อนรีบอธิบายว่า

“ผู้พิทักษ์หยวนเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เจตนาจะตำหนิท่าน ศิษย์พี่ซุนมองเห็นความสามารถของท่านจึงเกิดความสนใจก็เท่านั้น”

ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยเงียบๆ ว่า “คุยกับคนเช่นข้านี่เหนื่อยจริงๆ ใต้เท้าสวี่ไม่ต้องฝืนหรอก”

“…”

สวี่ซินเหนียนสงบสติอารมณ์แล้วท่องคัมภีร์นักปราชญ์ในใจเงียบๆ ถึงได้ยังยั้งความคิดฟุ้งซ่านของตนได้

ผู้พิทักษ์หยวนมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าใสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเบนสายตาไปอย่างไร้ความสนใจ

“แล้วผู้อาวุโสเย่จีเป็นปีศาจอะไรรึ”

จากการสนทนาเมื่อครู่ สวี่เอ้อร์หลางรู้แล้วว่าพี่ใหญ่จะไม่ปล่อยกระทั่งปีศาจผู้หญิง

“ผู้อาวุโสเย่จีเป็นเผ่าจิ้งจอก!”

ผู้พิทักษ์หยวนตอบทุกคำถาม

เผ่าจิ้งจอกสินะ เช่นนั้นจะต้องมีเสน่ห์หยาดเยิ้ม ท่าทีสุขุมเยือกเย็นจนต้องตาพี่ใหญ่ได้ หากมีโอกาสก็อยากเปิดหูเปิดตาบ้าง หยุดนะ หยุดสิ จะคิดต่อไม่ได้ การทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ การทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ…สวี่ซินเหนียนควบคุมความคิด ครั้นเมื่อเห็นลี่น่าและหลี่หลิงอินอยู่ไม่ไกล หัวใจก็พลันกระตุก

“ผู้พิทักษ์หยวนอ่านความคิดน้องสาวสองคนของข้าได้หรือไม่”

เขามักงุนงงว่าเหตุใดหลิงอินถึงโง่เขลานัก

เมื่อเห็นความสามารถในการอ่านใจอันน่าสะพรึงกลัวของผู้พิทักษ์หยวน สวี่เอ้อร์หลางจึงรู้สึกว่าอาจถึงเวลาคลี่คลายสาเหตุที่หลิงอินไม่เปิดปัญญาแล้ว หากเข้าใจได้ว่าวันทั้งวันหลิงอินคิดอะไร จากนั้นก็ให้ยาที่เหมาะสม บางทีอาจชักนำนางในทางที่ถูกได้

เช่นนี้ยังสามารถลบโรคทางใจของท่านแม่ได้อีกด้วย

ผู้พิทักษ์วานรขาวพยักหน้าแล้วขยับเข้าใกล้สวี่ซินเหนียน

ดวงตาคู่สีฟ้าใสอบอุ่นของเขาจับจ้องที่ลี่น่าและสวี่หลิงอิน

สวี่หลิงอินและลี่น่าก็สังเกตเห็นผู้พิทักษ์หยวนผู้ขี้ริ้วขี้เหร่เช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าสวี่เอ้อร์หลางอยู่ข้างกายจึงไม่ได้ใส่ใจ สองศิษย์อาจารย์ซุบซิบเรื่องจิปาถะไปพลาง พร้อมกับอาบแดดรออาหารย่อย

ผู้พิทักษ์วานรขาวมองพลางเผยสีหน้าเคร่งขรึมขีดสุด

นี่…หัวใจของสวี่เอ้อร์หลางก็บีบรัดไปด้วย เขากลั้นหายใจและรอเงียบๆ

รอแล้ว รอเล่า กระทั่งสองเค่อต่อมา ผู้พิทักษ์วานรขาวจึงหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ

“ผู้พิทักษ์หยวน!”

เมื่อสวี่เอ้อร์หลางไล่ตามไปก็พบกับผู้พิทักษ์ขั้นสี่ที่มาจากซินเจียงตอนใต้ผู้นี้เผยความนับถือสุดซึ้งอยู่ในดวงตาสีฟ้าใส

“ท่านเห็นอะไรกันแน่”

สวี่เอ้อร์หลางถามจบก็กลั้นหายใจ

ผู้พิทักษ์หยวนอึกอัก

สวี่เอ้อร์หลางสีหน้าเคร่งขรึมทันใด “ผู้พิทักษ์หยวนว่ามาเถอะ”

ผู้พิทักษ์หยวนจึงพยักหน้าพลางว่า

“เรื่องที่แม่นางซึ่งมาจากซินเจียงตอนใต้ผู้นั้นคิดเมื่อครู่ก็คือ มื้อเย็นจะกินอะไร พรุ่งนี้จะกินอะไรดี”

? เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏวาบขึ้นในหัวของสวี่เอ้อร์หลาง เวลาสองเค่อเต็มๆ นั้น ในใจของลี่น่าคิดแต่เรื่องแค่นี้หรือ

“ส่วนเด็กคนนั้น ข้าผู้พิทักษ์ก็ได้พบกับดาวชงเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีหัวใจที่ใสบริสุทธิ์เช่นนี้”

ผู้พิทักษ์หยวนสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “หัวใจประหนึ่งกระจกเงา ที่ว่างเปล่าไม่เคยมีอะไรอยู่เลย!”

หัวใจประหนึ่งกระจกเงา ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ จิตใจอันใสบริสุทธิ์…สวี่เอ้อร์หลางตะลึงงัน คิดไม่ถึงเลยว่าหลิงอินจะมีพรสวรรค์เฉพาะตัวเช่นนี้

แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็ตระหนักได้อย่างฉับพลันว่า ในเวลาสองเค่อเต็มๆ ในสมองของสวี่หลิงอินซึ่งกินดื่มอย่างอิ่มหนำนั้นว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรเลย?!

ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยเสียงเข้มว่า

“กรณีเช่นนี้ ข้าเคยพบเพียงในพระเถระผู้มีธรรมะลึกซึ้งและจิตใจสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น”

พูดถึงตรงนี้ ผู้พิทักษ์วานรขาวก็แสดงออกถึงความนับถือและชื่นชม

“สมแล้วที่เป็นน้องสาวของฆ้องเงินสวี่ อายุยังน้อยก็ได้ระดับบรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสหยาบแล้ว”

ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้พิทักษ์หยวน ท่านน่าจะเข้าใจผิดแล้ว…สวี่ซินเหนียนอ้าปาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยคำอธิบายไม่ออก

ณ หุบเขาที่แฝงตัวลึกลับ สวี่ชีอันยืนอยู่ในหุบเขาอันร้างไร้ผู้คน ด้านหน้าคือขาทั้งสองข้างของเสินซูซึ่งควรค่าแก่การกล่าวขวัญ ขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ตอนนั้นที่เสินซูถูกแยกชิ้นส่วน ขาทั้งสองข้างได้ถูกตัดจนกุด

หลังจากผ่านการ ‘รวบรวม’ เลือดและปราณอยู่สองสามวัน พละกำลังของขาคู่นี้ก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างมาก

ชิ้นส่วนวิญญาณที่อาศัยอยู่ในขามีนิสัยก้าวร้าวรักการต่อสู้แต่ไม่ปลิ้นปล้อนสับปลับ ตรงกันข้าม ด้วยความหยิ่งทระนงเหลือเกินนั้นทำให้เขาดูน่ารักอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันทำข้อตกลงกับเขาว่าจะดึงตะปูตอกวิญญาณสองตัวออกก่อนค่อยสู้กับเขา เขาก็รักษาสัญญามาตลอด โดยให้เหตุผลว่า การเอาชนะสวี่ชีอันอย่างตรงไปตรงมาและสู้ยิบตากับคู่ปรับที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นความสุขในชีวิต

“เตรียมพร้อมหรือยัง”

ชิ้นส่วนวิญญาณในขาทั้งสองข้างส่งผ่านความคิดออกมา “กำจัดตะปูตอกวิญญาณสองตัวนี้ แล้วความแข็งแกร่งของเจ้าจะเข้าใกล้ระดับบรรลุสมบูรณ์ขั้นสาม เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็จะสู้กันได้อย่างสบายใจ”

สวี่ชีอันพยักหน้า “หลังจากที่ข้าปลดตะปูตอกวิญญาณแล้ว เรามาต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมา ซินเจียงตอนใต้ทั้งหมดจะเป็นสนามรบของพวกเรา”

การกำจัดตะปูตอกวิญญาณนั้นทำลายเสินซูอย่างมหันต์

เลือดในขาทั้งคู่ของเสินซูดูเหมือนจะพลุ่งพล่านเล็กน้อย “ข้ารอไม่ไหวแล้ว”

ด้านนอกหุบเขา เย่จีและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น และเห็นมวลอากาศอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นกลางหุบเขาไม่ไกลนัก ก่อนจะแหวกเมฆในท้องฟ้าออกจากกัน

เวลานี้ ณ ใจกลางหุบเขา สิงสาราสัตว์ในรัศมีหลายสิบลี้กำลังคลานด้วยความหวาดหวั่น สัตว์ปีกร่วงลงจากกิ่งไม้ สองขาของเหล่าปีศาจที่บำเพ็ญตบะขั้นต่ำนอกหุบเขาต่างสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม

หลังผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ ความกดดันบีบคั้นอันน่าพรั่นพรึงก็สงบลง ในหุบเขาเงียบสงบอีกครั้ง

ทว่าเหล่าปีศาจก็ยังไม่กล้ากลับมา และความหวาดกลัวในใจก็ยังไม่จางหายไป

“การบำเพ็ญตนของคุณชายสวี่ฟื้นฟูขึ้นบ้างแล้ว เหลือแค่ตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายนี่ละ…”

เย่จีรู้สึกยินดีจากใจริง

หลังผ่านช่วงเวลาสั้นๆ นี้มาด้วยกัน นางก็รู้สถานการณ์ปัจจุบันของสวี่ชีอันได้โดยไม่ต้องอธิบาย

เขาซึ่งแบกรับชะตากรรมของอาณาจักรไว้ครึ่งหนึ่ง และต้าฟ่งที่ ‘ร่วมเป็นร่วมตาย’ และต่อสู้ยิบตากับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ พละกำลังทุกส่วนล้วนเป็นสิ่งมีค่า

“สมแล้วที่ฆ้องเงินสวี่สังหารเทพอารักษ์ได้สองตน”

ผู้พิทักษ์หงอิงพึมพำ

แม้เหล่าปีศาจจะหวาดกลัว ทว่าความปีติในใจกลับมีมากกว่า

การที่อาณาจักรหมื่นปีศาจมีพันธมิตรเช่นนี้อยู่เคียงข้าง เป็นความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ในหุบเขา ขาทั้งคู่ของเสินซูหายใจรวยริน พลางถ่ายทอดความคิดออกมาอย่างอ่อนล้า

“เจ้ารอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปฉกชิงสิ่งมีชีวิตและแก่นโลหิต แล้วมาสู้กับเจ้าใหม่”

ขณะที่เขากำลังจะแหวกอากาศ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงมวลพลังปราณมหาศาลห่อหุ้มตนไว้

“เจ้า…”

ขาทั้งคู่ของเสินซู ‘หันกลับมา’ อย่างหวั่นวิตก

“ไต้ซือ ตอนนี้ข้ามิอาจสู้ท่านได้ ท่านเองก็มิอาจออกไปฉกชิงแก่นโลหิตด้านนอกได้อีก”

สวี่ชีอันยิ้มพลางว่า

“เจ้าจะกลับคำหรือ”

สองขาของเสินซูทั้งตระหนกทั้งโมโห กล้ามเนื้อต้นขาขยายตัวอย่างรุนแรง เนื้อแต่ละส่วนปูดนูนราวกับจะระเบิด พร้อมรอโจมตีทุกเมื่อ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็สูบพลังปราณราวคลื่นที่กระทบกับเครื่องจองจำซึ่งห่อหุ้มตัวเองไว้

สวี่ชีอันยิ้มอย่างสุขุม ผ่อนคลาย

“ไม่สิ ไม่ใช่การกลับคำ แต่จังหวะมันไม่ได้ แน่นอน ไม่ว่าข้าจะอธิบายอย่างไรท่านก็ไม่เข้าใจหรอก เช่นนั้นก็ทำตามกฎของข้าเถอะ”

เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ ผู้อ่อนแอทำได้เพียงคล้อยตาม ตอนนี้ข้าในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดขอให้ท่านเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างว่าง่าย”

เสินซูโกรธกริ้ว ด้วยจิตแห่งการต่อสู้อันฮึกเหิม จิตวิญญาณที่ไม่ยอมอ่อนข้อ แรงกระแทกของการจองจำจึงยิ่งรุนแรงขึ้นอีกสองส่วน

“ภิกษุอนาถา ยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน”

สวี่ชีอันยื่นมือไปออกแรงกด ขาทั้งคู่ของเสินซูคุกเข่าลงดัง ‘ตึง’ มันอ่อนแอจนยากจะเคลื่อนไหวได้อีก

จากนั้น เขาก็หยิบขวดหยกที่ซุนเสวียนจีมอบให้ออกมา ก่อนเปิดจุกไม้แล้วราดบนขาทั้งคู่ของเสินซูที่ก่นด่าพึมพำ

เรื่องประเภทการกลืนกินสิ่งมีชีวิตและฉกชิงแก่นโลหิตจะก่อให้เกิดความโกลาหล และการต่อสู้กับเสินซูก็จะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เช่นกัน

สถานการณ์ตอนนี้ หน่วยสอดแนมของสำนักพุทธต้องกระจายกันออกติดตามเฝ้าระวัง และค้นหาร่องรอยของเผ่าปีศาจแล้วแน่

หากหน่วยสอดแนมสำนักพุทธสังเกตเห็นการต่อสู้ของเขากับเสินซู อาซูหลัวก็จะมาในทันใด ยามนี้ซุนเสวียนจีไม่อยู่ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ยังไม่กลับ สวี่ชีอันไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะอาซูหลัวได้

แม้จะร่วมมือกับสองขาของเสินซูก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้

อีกทั้งชิ้นส่วนขาของเขาก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแอและไม่ได้รับการเสริมบำรุงด้วยแก่นโลหิต

ทว่าขาทั้งสองของเสินซูไม่สนใจความกังวลเหล่านี้และเหตุผลพวกนี้เอาเสียเลย ในสมองของเขามีแต่การต่อสู้

ขาที่หยาบกระด้าง ยากจะกระทำการใหญ่

เวลานั้นเอง เย่จีก็พาเหล่าปีศาจเข้ามายังหุบเขา “ไต้ซือเสินซูถูกปิดผนึกแล้วหรือ”

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนส่งขวดกระเบื้องเคลือบใส่มือนางพลางว่า

“เจ้าเก็บไว้ก่อน แล้วบอกจิ้งจอกเก้าหางว่า เมื่อนางกลับจิ่วโจวแล้วให้ติดต่อไป๋จี ข้าจะนำแขนซ้ายของเสินซูส่งไป”

คิ้วอันอ่อนช้อยของเย่จีขมวดเล็กน้อย

“คุณชายสวี่จะไปแล้วหรือ”

“ข้าจะไปเผ่ากู่สักรอบ พอดีเลย เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่ากู่หน่อยสิ”

สวี่ชีอันโอบกอดสาวงามแล้วเดินเข้าไปในถ้ำ

ในเมื่อมาซินเจียงตอนใต้แล้ว เขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมเผ่าพันธุ์กู่ และสนทนากับแม่ย่าแห่งเทียนกู่ผู้นั้นเสียหน่อย

เจ็ดยอดกู่มีภูมิหลังอันยอดเยี่ยม เขาต้องรู้แน่ว่าคือสิ่งใด แล้วเหตุใดจึงมีความทรงจำของเทพเจ้ากู่

ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะสงบใจได้

“ข้าก็อยากติดตามคุณชายสวี่ไปเผ่ากู่ จนปัญญาที่ในเผ่ามีเรื่องให้สะสางมากเกินไป” เย่จีอาลัยอาวรณ์

ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองก็เข้าไปในถ้ำ เย่จีนั่งลงที่โต๊ะแล้วเอ่ยว่า

“ในเมื่อไปเผ่ากู่ เช่นนั้นก็มีของดีบางอย่างที่พลาดไม่ได้อยู่พอดี ข้าจะร่างรายการให้คุณชายสวี่…คุณชายสวี่”

นางมองสวี่ชีอันด้วยความฉงน ในขณะที่เขาดึงตนขึ้นจากเก้าอี้แล้วกดร่างเอนลงบนโต๊ะหนังสือ ก่อนถกชายกระโปรงขึ้นมาถึงเอว

“เจ้าเขียนของเจ้าไปเถอะ ค่ำคืนในวสันตฤดูนั้นสั้นนัก พวกเราอย่าเสียเวลาเลย”

สวี่ชิงอันกดแผ่นหลังอันหอมฟุ้งลง ทำให้นางนอนคว่ำครึ่งตัวบนโต๊ะ

วันถัดมา

วิหคยักษ์สีแดงที่สยายปีกได้สี่จั้งตัวหนึ่งร่อนไปทั่วภูเขาและบินมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

“พี่หงอิง ความเร็วของท่านเร็วกว่าเจดีย์หักๆ นั่นมากทีเดียว”

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยพลางหัวเราะลั่น

“เผ่าวิหคแดงของพวกเราคือราชันแห่งท้องฟ้า เจ้ายุทธจักรผู้หยิ่งทระนง”

หงอิงตอบเสียงดัง

เหมียวโหย่วฟางตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ในใจก็เอ่ยว่า ท่านพี่ คำว่า ‘หยิ่งทระนง’ สองคำนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านแม้แต่น้อยเลยนะ

ทว่าเขามิใช่ผู้พิทักษ์หยวน จึงรีบยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ช่างเป็นโชคดีไปสามชาติจริงๆ ที่ได้คบค้าสมาคมกับพี่หงอิงผู้เป็นราชันแห่งท้องฟ้าที่แสนประเสริฐ”

“ไม่ไม่ไม่ การได้เป็นสหายกับน้องเหมียวสิจึงเป็นเกียรติกับข้า หลุมบรรพบุรุษจุดไฟอวยพรให้แล้ว”

เจ้าแน่ใจรึว่าเผ่าปีศาจของตัวเองก็มีหลุมศพบรรพบุรุษด้วย สวี่ชีอันประท้วงในใจเมื่อได้ยินหนึ่งคนหนึ่งปีศาจสอพลอใส่กันและกัน

“แค่กๆ!”

เขากระแอมทีหนึ่ง ก่อนมองไปยังมู่หนานจือข้างกายแล้วเอ่ยว่า “หนานจือ ข้า…”

มู่หนานจือเบนหน้าหนี ไม่สนใจเขา

แม้ในเจดีย์พุทธะจะมีข้าวของสารพัดอย่าง และการใช้ชีวิตอยู่ข้างในสิบวันหรือครึ่งเดือนก็หาใช่ปัญหา ทว่ามู่หนานจือโกรธเขาที่เพิกเฉยกับตน ทั้งยังทิ้งไว้หลายวันขนาดนี้ถึงค่อยปล่อยนางออกมา

สวี่ชีอันอธิบายให้นางฟังอย่างอดทน บอกว่าการเดินทางครั้งนี้ของตนอันตรายยิ่ง และเพิ่งจะผ่านการต่อสู้เฉียดตายมา

การใช้ไหวพริบและความกล้าหาญต่อสู้กับปีศาจสาวของเผ่าปีศาจนั้นสิ้นเปลืองกำลังเป็นอย่างมาก

บัดนี้เมื่อบุญบารมีเต็มรอบ จึงเกลี้ยกล่อมปีศาจสาวและสร้างพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจได้

มู่หนานจือฟังๆ อยู่ก็พลันหัวคิ้วตก

“มานี่มา”

ชายโฉดใช้แขนโอบเอวของนางเงียบๆ โดยไม่ผ่านการอนุญาต

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้มทะเล้นว่ากลัวนางจะนั่งไม่มั่นคงแล้วล้มลงไป

มู่หนานจือผลักและทุบตีเขาด้วย ‘โทสะ’ หลังจากทะเลาะกันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ นางก็ได้สติและมองไปรอบๆ

“ไป๋จีเล่า”

“ไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าหรอกรึ…”

สวี่ชีอันเหลือบมองอ้อมแขนของนางแล้วส่งเสียง ‘อ้อ’ “เมื่อครู่ข้าโยนออกไปให้เจ้าแล้ว”

“รีบกลับไปหาเลย อย่าให้ตายเชียว”

มู่หนานจือตะโกน

“ไม่ตาย ไม่ตาย…”

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด