ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 699 เทพสงครามสวี่ชีอัน

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 699 เทพสงครามสวี่ชีอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นั่น​คือ​ฝูงสัตว์ปีก​ที่​แน่นขนัด​จน​ท้องฟ้า​มืดมัว​ มีทั้ง​เผ่า​วิหค​แดง​ที่​นำ​โดย​หง​อิง​ รวมถึง​เผ่า​อินทรี​และ​เผ่า​กระเรียน​ที่​นำ​โดย​จิน​เตียว​…

พวก​มัน​รวมกัน​เป็น​กองทัพ​สัตว์ปีก​จาก​อาณาจักร​หมื่น​ปีศาจ​ที่​กำลัง​บิน​มาจาก​ปลาย​ขอบฟ้า​ราวกับ​ฝูงตั๊กแตน​อย่าง​ท่วมท้น​

และ​ในขณะเดียวกัน​นั้น​เอง​ ป้อม​สังเกตการณ์​ที่อยู่​ห่าง​จาก​เมือง​ทางใต้​สิบ​ลี้​ ห้า​ลี้​ และ​สามลี้​ ต่าง​ก็​เริ่ม​เป่าแตร​เสียง​ไป​ตาม​ๆ กัน​แล้วก็​พลัน​หยุด​ลง​

“เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​มาแล้ว​…”

เสียง​ของ​กองทัพ​ป้องกัน​เมือง​ดัง​อยู่​ใน​ค่ำคืน​อัน​ว่างเปล่า​และ​สะท้อน​ไป​ถึงยัง​กำแพงเมือง​สูงตระหง่าน​

จากนั้น​เสียง​ตี​กลอง​ดัง​ ‘ตึง​ ตึง​ ตึง​’ ก็​เริ่ม​กึกก้อง​ มัน​ทั้ง​ทุ้ม​ต่ำ​ หนักแน่น​ และ​ดังสนั่น​ไป​ทั่ว​ค่ำคืน​

กองทัพ​ป้องกัน​เมือง​กลุ่ม​แล้ว​กลุ่ม​เล่า​พา​กัน​สาวเท้า​ขึ้น​บันได​ไป​บน​กำแพงเมือง​

ส่วนหนึ่ง​ไป​ตระเตรียม​น้ำมัน​เพลิง​ ท่อนซุง​ และ​หิน​กลิ้ง​ที่​มีไว้​สำหรับ​ป้องกัน​เมือง​อย่าง​เป็นระเบียบ​

กองทหาร​ป้องกัน​เมือง​อีก​ส่วน​ก็​ใส่ลูกศร​บน​หน้าไม้​แล้ว​เล็ง​ไป​ยัง​ป่า​ที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​หนึ่งร้อย​เมตร​

เมือง​ทางใต้​ตั้งอยู่​บน​ภูเขา​หมื่น​ปีศาจ​ ใน​ปี​ที่​สร้าง​กำแพงเมือง​นั้น​ คน​จาก​ดินแดน​ประจิม​ทิศ​ได้​ตัด​โค่น​ต้นไม้​ที่อยู่​รอบนอก​ใน​ระยะ​หนึ่งร้อย​เมตร​จน​เกลี้ยง​และ​สร้าง​เป็นพื้น​ที่ว่าง​ๆ ผืน​หนึ่ง​

ที่​ออกแบบ​เช่นนี้​ก็​เพื่อ​ป้องกัน​ไม่ให้​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​อาศัย​ชัยภูมิ​เหล่านั้น​แอบ​เข้ามา​ประชิด​กำแพงเมือง​นั่นเอง​

ยามค่ำคืน​ไร้​ลม​ แต่​ใน​ป่าทึบ​ใต้​แสงจันทร์​ที่อยู่​ไกลๆ​ กลับ​สั่น​ไหว​ไม่หยุด​

ท่ามกลาง​ความ​มืดมิด​ ไม่รู้​ว่า​มีศัตรู​อีก​มากมาย​เท่าไหร่​ที่​กำลัง​คืบคลาน​เข้ามา​ใกล้​

หัวหน้า​หมู่คน​หนึ่ง​ดึง​ลูกธนู​ออกมา​แล้ว​นำ​หัว​ธนู​ไป​เกลือกกลิ้ง​บน​คบเพลิง​ ทำให้​มัน​ติด​น้ำมัน​แล้ว​มีไฟลุกโชติช่วง​

เขา​ยิง​ธนู​ดอก​นั้น​ไป​ยัง​ความว่างเปล่า​ พลัง​ปราณ​ที่​ติด​อยู่​บน​ลูกศร​พลัน​ระเบิด​ออก​ แสงไฟสว่าง​วาบ​ขึ้น​มาและ​ส่อง​ไป​รอบ​ๆ

ด้านล่าง​นั่น​ ตรงจุด​ที่​แสงไฟส่อง​ไป​ถึง หมาป่า​สีเทา​สิบ​กว่า​ตัว​ที่​แอบ​เข้ามา​ใกล้​กำแพงเมือง​เงยหน้า​ขึ้น​มอง​ท้องฟ้า​โดยไม่รู้ตัว​

‘ฉึก​ ฉึก​ ฉึก​’…

พวก​มัน​ถูก​ฝน​ธนู​หนา​ทึบ​เข้า​ครอบคลุม​ทันที​และ​สิ้นชีพ​คาที่​

สิ่งนี้​เหมือนกับ​เป็น​ชนวน​เปิด​สงคราม​ใหญ่​ เงาดำ​มืดฟ้ามัวดิน​พุ่ง​ออกจาก​ป่าทึบ​ไป​ยัง​ประตูเมือง​

ใน​หมู่​พวก​มัน​ ส่วนใหญ่​มีแขนขา​ทั้ง​สี่อยู่​ติด​พื้น​ ส่วนน้อย​นั้น​มีร่าง​มนุษย์​

“ยิง​!”

มือ​ธนู​บน​กำแพงเมือง​ปล่อย​สาย​ธนู​ทันที​ เสียง​ธนู​หลุด​จาก​แล่ง​ดัง​สะท้อน​ทั่ว​กำแพงเมือง​

ด้วย​การ​โจมตี​ของ​ลูกธนู​และ​หน้าไม้​ ทำให้​เงาดำ​มืดมัว​เหล่านั้น​หยุด​อยู่กับที่​และ​สิ้นชีพ​ภายใน​การ​โจมตี​รอบ​แรก​

การตาย​ของ​เพื่อน​ร่วม​รบ​ไม่อาจ​หยุดยั้ง​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ได้​ ไฟแห่ง​การ​ล้างแค้น​และ​ความ​โหยหา​ใน​บ้านเกิด​ทำให้​พวก​มัน​ไม่กลัว​แม้แต่​ความตาย​

“ยิง​!”

ฝน​ธนู​ระลอก​ที่สอง​ถูก​ยิง​ออกมา​ ครั้งนี้​ ‘เมฆดำ​’ ที่​พัด​เข้ามา​จากบน​ฟ้าก็​เข้ามา​อยู่​ใน​ระยะ​ยิง​ธนู​ด้วย​

กองทัพ​ป้องกัน​เมือง​ยิง​ฝน​ธนู​ไป​ทั้ง​บน​พื้น​และ​กลางอากาศ​

ปีศาจ​นก​แต่ละ​ตัว​ร่วง​ลงมา​ตาม​ธนู​พร้อม​แผด​เสียงร้อง​บาดหู​

“ยิง​!”

ฝน​ธนู​ระลอก​ที่สอง​พุ่ง​ออกมา​แล้ว​พราก​ชีวิต​ของ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​หลาย​ร้อย​ตัว​ไป​อีกครั้ง​

ตอนนี้​เอง​ ‘กองทัพอากาศ​’ ที่เกิด​จาก​ปีศาจ​นก​ก็​พุ่ง​มาถึงกำแพงเมือง​ และ​กำลังจะ​ทำลาย​แนว​ป้องกัน​ของ​กองทัพ​ป้องกัน​เมือง​ได้​

‘หวึ่ง!’​

วัด​หนาน​ฝ่าที่​ตั้งอยู่​บน​ยอดเขา​หมื่น​ปีศาจ​มีเสาแสงสีทอง​พุ่ง​ขึ้นไป​ทะลวง​ชั้น​เมฆหนึ่ง​ต้น​

มัน​สลายตัว​อยู่​กลาง​ฟ้าสูงแล้ว​กลายเป็น​ม่าน​แสงสีทอง​ปกคลุม​ทั่ว​ทั้งเมือง​ทางใต้​เอาไว้​ภายใน​

‘พลั่ก​ พลั่ก​ พลั่ก​!’…ปีศาจ​นก​หลาย​ร้อย​ตัว​กระแทก​เข้ากับ​ม่าน​แสงสีทอง​จน​เลือดเนื้อ​ผสม​ปนเป​แทบ​มอง​ไม่ออก​ ขนนก​ต่าง​ก็​ปลิว​ว่อน​

ผู้นำ​ปีศาจ​นก​อย่าง​พวก​หง​อิง​นำ​ปีศาจ​ที่​เหลือ​พุ่ง​ขึ้นไป​แล้ว​บินวน​อยู่​บน​ท้องฟ้า​อย่าง​ไม่ยินยอม​

พวก​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​บน​กำแพง​พา​กัน​โล่งอก​ แต่​ทันใดนั้น​ก็​ตัว​แข็งทื่อ​ พร้อมกับ​มอง​ไป​ยัง​เบื้องหน้า​ด้วย​ความ​สะพรึง​

สัตว์​กิน​เหล็ก​ตัว​ใหญ่​ยักษ์​เกาะ​อยู่​บน​กำแพงเมือง​ เหมือนกับ​เด็กน้อย​เกาะ​บน​ตู้​ข้าง​หน้าต่าง​

หัว​ของ​มัน​กลมดิก​ หู​ก็​กลมดิก​ มีสีขน​เป็น​สีขาว​ ส่วน​รอบ​ตา​ จมูก​ และ​หู​กลม​ๆ นั่น​เป็น​สีดำ​

ดวงตา​ของ​มัน​เรียบ​นิ่ง​ ถ้าไม่ใช่เพราะ​ร่างกาย​อัน​ใหญ่โต​มหึมา​นั่น​ มัน​ก็​ดู​เป็น​สัตว์​ที่​เรียบง่าย​ใสซื่อ​ไป​แล้ว​

‘โฮก​’…

สัตว์​กิน​เหล็ก​ร้อง​ออกมา​คำ​หนึ่ง​อย่าง​สงบนิ่ง​ ร่างกาย​ของ​มัน​ก็​ขยาย​ใหญ่​ขึ้น​อีกครั้ง​ ทำให้​กำแพงเมือง​เตี้ย​ลง​เรื่อยๆ​ จาก​ที่สูง​เท่ากับ​ตัว​มัน​ ก็​สูงแค่​หน้าอก​ จนกระทั่ง​สูงถึงแค่​เอว​…

สัตว์​กิน​เหล็ก​ยก​อุ้งเท้า​สอง​ข้างขึ้น​มาแล้ว​ตบ​ลง​ไป​บน​ม่าน​แสงสีทอง​

ไม่มีการ​สะเทือน​

มัน​เหมือน​จะโกรธ​แล้ว​ จึงตี​ลง​ไป​อีกครั้ง​ แต่​ก็​ยัง​ไม่มีการ​สะเทือน​

‘พลั่ก​ พลั่ก​ พลั่ก​!’…ยิ่ง​ตี​มัน​ก็​ยิ่ง​ใช้แรง​มากขึ้น​ ทั้ง​ยัง​เร็ว​ขึ้น​อีกด้วย​ ใบหน้า​กลม​ๆ ที่​ดู​ซื่อๆ​ ของ​มัน​ก็​เปลี่ยนเป็น​ดุร้าย​ และ​มีสอง​เขี้ยว​งอก​ออก​มาจาก​ปาก​

ม่าน​แสงสีทอง​สั่นสะเทือน​อย่าง​รุนแรง​แล้ว​ปลดปล่อย​พลัง​มหาศาล​อัน​น่า​สะพรึง​ออกมา​

‘ตูม​!’

ม่าน​แสงถูก​ทำลาย​และ​ระเบิด​เป็น​เศษสีทอง​

พลัง​โจมตีจาก​แรง​ระเบิด​กลายเป็น​ระลอกคลื่น​กวาด​ไป​ทั่ว​ สัตว์​กิน​เหล็ก​ถูก​พลัง​นั้น​ผลัก​จน​ซวนเซ​และ​สะดุด​ล้ม​ลง​

“บุก​!”

เมื่อ​ม่าน​แสงถูก​ทำลาย​ กองทัพ​นก​ปีศาจ​ก็​แผด​เสียงร้อง​พุ่ง​เข้าไป​ พวก​มัน​เผชิญหน้า​กับ​ฝน​ธนู​แล้ว​พุ่ง​เข้า​โจมตี​กองทัพ​ป้องกัน​เมือง​บน​กำแพง​

เหล่า​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​ขว้าง​คันธนู​และ​ลูกธนู​ออก​ไป​ จากนั้น​ชักดาบ​ทหาร​ออกมา​ฟาดฟัน​กับ​ปีศาจ​นก​ แต่​ไม่นาน​ก็​ถูกนก​ปีศาจ​พุ่ง​เข้า​มาถึงตัว​และ​โดน​จิก​ศีรษะ​กับ​ลำคอ​ไป​ตาม​ๆ กัน​

เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ที่​บุก​โจมตีเมือง​อยู่​ด้านล่าง​ไม่สนใจ​การ​โจมตีจาก​ลูกศร​ พวก​มัน​ปีน​ขึ้น​บน​กำแพงเมือง​แล้ว​สังหาร​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​ไป​ด้วยกัน​

งูหลาม​ยักษ์​ตัว​ยาว​ร้อย​จั้งเลื้อย​ขึ้น​มาบน​กำแพง​ หาง​งูกระแทก​ใส่อย่าง​แรง​จน​กำแพงเมือง​แตกร้าว​ไม่หยุด​

สุนัข​ยักษ์​ตัว​ขาว​ราว​หิมะ​นำ​เหล่า​หมาป่า​กระโจน​ขึ้นไป​บน​กำแพงเมือง​แล้ว​ออก​อาละวาด​

เถาวัลย์​สีเขียว​งอก​ออก​มาจาก​รอยแยก​บน​กำแพง​แล้ว​พุ่ง​เข้า​จู่โจมทหาร​ป้องกัน​ของ​ดินแดน​ประจิม​ทิศ​

บน​กำแพงเมือง​มีเพียง​ความโกลาหล​อลหม่าน​ ยอด​ฝีมือ​จอม​ยุทธ์​ภิกษุ​จาก​สำนัก​พุทธ​และ​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​พา​กัน​ต้านทาน​อย่าง​สุดกำลัง​ เปลวไฟ​ลุกโชติช่วง​ขึ้น​บน​กำแพงเมือง​และ​ส่องสว่าง​อยู่​ใน​ค่ำคืน​ที่​มืดมิด​

ตอนนี้​เอง​ แสงทอง​หนึ่ง​ร้อยแปด​สาย​ก็​พุ่ง​ลง​มาจาก​ยอดเขา​ ก่อน​จะหยุด​อยู่​เหนือ​ทั้งสองฝ่าย​

นั่น​คือ​ฉาน​ซือ​ที่​มีแสงทอง​คุ้ม​กา​ยา​จำนวน​หนึ่ง​ร้อยแปด​รูป​ พวกเขา​นั่งขัดสมาธิ​ท่ามกลาง​ความว่างเปล่า​ โดย​มีภิกษุ​เฒ่าคิ้ว​ขาว​ร่างกาย​ผ่ายผอม​คน​หนึ่ง​อยู่​ตรงกลาง​

เหล่า​ฉาน​ซือ​นั่ง​หลับตา​ขัดสมาธิ​ ราวกับ​ไม่เห็น​การต่อสู้​อัน​ดุเดือด​เบื้องล่าง​อยู่​ใน​สายตา​ และ​สนใจ​แค่​การสวดมนต์​เท่านั้น​

แรกเริ่ม​เสียง​สวดมนต์​ยัง​เลือนราง​แทบ​ไม่ได้ยิน​ จากนั้น​ก็​ค่อยๆ​ สยบ​เสียงร้อง​ฆ่าฟัน​และ​เสียงร้อง​คำราม​ของ​สัตว์ร้าย​ได้​

ไม่นาน​นัก​ ทั่ว​ทั้ง​ฟ้าดิน​ก็​มีเสียง​สวดมนต์​ท่อง​คาถา​ดัง​อยู่​เพียง​หนึ่งเดียว​

ทหาร​ป้องกัน​เมือง​จาก​ดินแดน​ประจิม​ทิศ​และ​จอม​ยุทธ์​ภิกษุ​ของ​สำนัก​พุทธ​ได้รับ​กำลังใจ​เพิ่มขึ้น​ พลัง​ต่อสู้​ก็​เพิ่มพูน​ขึ้น​มาเป็น​เท่าตัว​ ตรงข้าม​กับ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ที่​บ้าง​ก็​ปวดหัว​แทบ​แตก​ บ้าง​ก็​ล้มลุกคลุกคลาน​ตัว​สั่นเทา​ บ้าง​ก็​ดวงตา​ไร้​จิต​สังหาร​จน​สูญเสียความตั้งใจ​ที่จะ​ต่อสู้​

เหล่า​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​อาศัย​โอกาส​นี้​ตวัด​ดาบ​ช่วงชิง​ชีวิต​ของ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ตัว​แล้ว​ตัว​เล่า​

“เฮอะ​ๆๆ…”

ทันใดนั้น​ เสียงหัวเราะ​นุ่มนวล​แจ่มใสก็​ทำลาย​จังหวะ​สวดมนต์​นั่น​

ภายใต้​แสงจันทร์​ ร่าง​งามทรง​เสน่ห์​บิด​เอว​ก้าว​เข้า​มาจาก​กลางอากาศ​ เมื่อ​เข้าใกล้​ค่าย​กล​ที่​พวก​ฉาน​ซือ​ตั้งขึ้น​ หาง​จิ้งจอก​ทั้ง​เก้า​ก็​พลัน​กระจาย​ขึ้น​มาด้านหลัง​และ​โบกสะบัด​เบา​ๆ

ทันใดนั้น​ บน​กำแพงเมือง​ก็​มีเสียง​อัน​เย้ายวน​ดัง​ขึ้น​มา

เบื้องหน้า​ของ​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​ปรากฏ​ร่าง​ของ​หญิงสาว​ผู้​มีเรือน​กาย​สวย​สด​งดงาม​ นาง​หัวเราะ​พลาง​บิด​ตัวอย่าง​ยั่วยวน​ ความ​ฟุ้งซ่าน​คลั่งไคล้​บัง​เกิดขึ้น​ทันใด​ ทหาร​ต่าง​ก็​ตกลง​สู่ความอ่อนโยน​ละมุนละไม​อย่าง​ไม่อาจ​ถอนตัว​ได้​

สถานการณ์​พลิกผัน​ใน​ทันใด​ กองทัพ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​เริ่ม​การ​โจมตี​โต้กลับ​โดย​การ​ไล่​สังหาร​เหล่า​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​กับ​จอม​ยุทธ์​ภิกษุ​

อรหันต์​ตู้​เอ้อร์​ขมวดคิ้ว​ เขา​ลืมตา​แล้ว​เอ่ย​เสียง​เบา​

“ห้าม​ฆ่าสัตว์​ตัด​ชีวิต​!”

เสียง​การ​สวด​และ​เสียง​อัน​ยั่วยวน​ต่าง​ก็​เลือนหาย​ไป​

สัตว์​กิน​เหล็ก​ขน​สีขาว​ดำ​ค่อยๆ​ ปีน​ขึ้น​มาช้าๆ ก่อน​จะร้อง​คำราม​แล้ว​พุ่งตัว​เข้าหา​ค่าย​กล​ของ​ฉาน​ซือ​ทั้ง​หนึ่ง​ร้อยแปด​รูป​

‘หวึ่ง’​

สัตว์​ร่าง​ยักษ์​ตัว​นี้​แม้จะถูก​แสงสีทอง​ต้าน​กลับ​ไป​ แต่​ก็​ยัง​เดินโซเซ​กลับมา​อีกครั้ง​

วง​แสงเจ็ด​สีใน​หัว​ของ​พระอรหันต์​ตู้​เอ้อร์​กลาง​ค่าย​กล​พลัน​สว่างไสว​ขึ้น​ จากนั้น​เขา​ก็​ยื่นมือ​ออกมา​

ฝ่ามือ​พุทธ​สีทอง​ข้าง​หนึ่ง​กด​ลง​เหนือศีรษะ​ของ​ราชา​หมี​ใน​ทันใด​

ราชา​หมี​ยก​อุ้งเท้า​สอง​ข้างขึ้น​มาเพื่อ​ต้าน​ฝ่ามือ​พุทธ​ทันที​ แต่​มัน​ก็​ไม่อาจ​ต้านทาน​ฝ่ามือ​พุทธ​ที่​แฝงไว้​ซึ่งอิทธิฤทธิ์​สังหาร​โจร​นี้​ได้​

ฝ่ามือ​กด​ลงมา​มากขึ้น​ ร่างกาย​ของ​ราชา​หมี​หด​เล็ก​ลง​ไป​ทีละ​นิดๆ​ จนกระทั่ง​กลับคืน​สู่ร่าง​ปกติ​

และ​ใน​ตอนนี้​เอง​ เบื้องหลัง​ของ​มัน​ก็​มีวงแหวน​ไฟสว่าง​ขึ้น​มาหนึ่ง​วง​ มัน​คือ​วงแหวน​ไฟประจำตัว​ของ​ระดับ​เพชร​

อา​ซูหลัว​โผล่​มาอยู่​ด้านหลัง​ของ​ราชา​หมี​เมื่อใด​ก็​ไม่รู้​ ทั้ง​ยัง​หักคอ​ของ​ราชา​หมี​ทิ้ง​ด้วย​ฝ่ามือ​ที่​เหมือนกับ​ใบ​มีด​ บน​ฝ่ามือ​ใบ​มีด​สีทอง​อร่าม​นั้น​มีประกาย​แสงเจ็ด​สีที่​น่าเกรงขาม​แฝงอยู่​

ราชา​หมี​รับรู้​ได้​ถึงวิกฤต​และ​พยายาม​ใช้มือ​เดียว​เพื่อ​จัดการ​มัน​

อา​ซูหลัว​เปล่ง​วาจา​สิทธิ์​ออกมา​

“จงวาง​ดาบ​ลง​!”

พลัง​แห่ง​ศีล​ถูก​เพิ่ม​ลง​บน​ร่าง​ของ​ราชา​หมี​แล้ว​ขัดขวาง​การ​ตอบสนอง​ต่อจากนี้​ของ​มัน​

‘อั่ก!’​

ศีรษะ​กลม​ๆ ลอย​ขึ้น​มาแล้ว​ตกลง​ข้าง​ฝ่าเท้า​ของ​อา​ซูหลัว​

ขณะเดียวกัน​นั้น​เอง​ ฝ่ามือ​พุทธ​สีทอง​ก็​ถือโอกาส​ตบ​ลง​บน​ร่างกาย​ของ​ราชา​หมี​จน​แหลก​เป็น​ชิ้นๆ​

พลัง​ที่​ผู้​แข็งแกร่ง​ขั้น​สอง​สอง​คน​ร่วมมือ​กัน​ ก็​สามารถ​ขจัด​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ขั้น​สามหนึ่ง​ตัว​ไป​ได้​อย่าง​ง่ายดาย​

“ราชา​หมี​!”

“ไม่ เป็นไปไม่ได้​…”

เมื่อ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ที่​กำลัง​ต่อสู้​เห็น​ฉาก​นั้น​ก็​ร้อง​ตะโกน​ร้อง​เสียงหลง​

พวกเขา​ไม่คิด​เลย​ว่า​เพิ่งจะ​กลับมา​ต่อสู้​ได้​ ราชา​หมี​ของ​ฝ่าย​ตัวเอง​ก็​ถูก​ตัดหัว​เสียแล้ว​ อีก​ทั้ง​ร่างกาย​ก็​ยัง​แหลก​เป็น​ชิ้นๆ​ เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​ผู้​แข็งแกร่ง​จาก​สำนัก​พุทธ​สอง​คน​ก็​ไร้​ซึ่งพลัง​ที่จะ​โต้กลับ​ได้​

หลังจาก​ทำสำเร็จ​ อา​ซูหลัว​และ​ตู้​เอ้อร์​ก็​ไม่ได้​หยุด​มือ​ อา​ซูหลัว​หยิบ​ขัน​ทองคำ​หนึ่ง​ใบ​ออกมา​และ​ตั้งใจ​จะผนึก​ราชา​หมี​

ส่วน​ตู้​เอ้อร์​พนมมือ​หันไป​ยัง​จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​กลางอากาศ​แล้ว​พึมพำ​เสียงต่ำ​

“ห้าม​ฆ่าสัตว์​ตัด​ชีวิต​!”

เขา​ใช้ค่าย​กล​ฉาน​ซือ​หนึ่ง​ร้อยแปด​รูป​มาเพิ่ม​พลัง​ให้​กับ​ศีล​ข้อห้าม​จนถึง​ขีดสุด​ แล้ว​สลาย​จิตวิญญาณ​ใน​การต่อสู้​ของ​จิ้งจอก​สวรรค์​เก้า​หาง​ไป​ ซึ่งส่งผล​ต่อ​นาง​ได้​ชั่วขณะ​ ทำให้​นาง​ไม่อาจ​ยื่นมือ​มาช่วยเหลือ​ได้​

อา​ซูหลัว​หัน​ขัน​ใบ​นั้น​ไป​ยัง​ราชา​หมี​ ขณะที่​กำลังจะ​ขับเคลื่อน​อาวุธ​เวทมนตร์​นี้​ ทันใดนั้น​ความรู้สึก​ง่วงงุน​ก็​เข้ามา​แทรก​ หนังตา​ราวกับ​หนัก​เป็น​พัน​จิน​ สติ​รับรู้​เริ่ม​เลือนราง​จน​แทบ​อยาก​จะหงายหลัง​นอนหลับ​เสีย​ตอนนี้​

ขณะเดียวกัน​นั้น​ ลางสังหรณ์​บอก​วิกฤต​ของ​จอม​ยุทธ์​ก็​ร้อง​เตือน​ขึ้น​มา

ใต้เท้า​ของ​อา​ซูหลัว​ เงาขยาย​ใหญ่​ขึ้น​จน​กลายเป็น​ร่าง​คน​

‘นี่​คือ​อิทธิฤทธิ์​โดยกำเนิด​ของ​มัน​หรือ​? ไม่ จะหลับ​ไม่ได้​ มีอันตราย​อยู่​’…อา​ซูหลัว​ก็​เริ่ม​ครุ่น​คิดได้​เชื่องช้า​เช่นกัน​

สวี่​ชีอัน​ผุด​ออก​มาจาก​เงา ขา​ขวา​ก้าว​ไป​ข้างหน้า​ ใน​มือซ้าย​ถือ​ฝัก​ดาบ​โบราณ​ที่​ทำ​จาก​ไม้ ส่วน​มือขวา​กุม​ด้าม​ดาบ​เอาไว้​ เขา​สลาย​พลัง​ปราณ​ทั้งหมด​แล้ว​เก็บงำ​อารมณ์​ทุกสิ่ง​อย่าง​

ดวงตา​สอง​ข้าง​ไร้​ทุกข์​ไร้​สุข​

ผ่าน​ไป​ไม่นาน​ แขน​ของ​สวี่​ชีอัน​ก็​โก่ง​ออก​ จากนั้น​เสียง​ ‘ติ้ง’​ ดัง​ขึ้น​ เป็น​เสียง​ของ​ทองเหลือง​ที่​หลุด​ออกจาก​ฝัก​ดาบ​ บรรดา​ผู้​ที่​เฝ้าดู​อยู่​ข้างๆ​ ต่าง​มองเห็น​แสงดาบ​ที่​ราวกับ​เส้น​เรียว​บาง​ทว่า​เจิด​จรัส​ตา​หนึ่ง​เส้น​

แสงดาบ​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ชั่วพริบตา​ แล้ว​หาย​ไป​ใน​ชั่วพริบตา​

อา​ซูหลัว​ที่​มีความ​ง่วงงุน​เข้า​พัวพัน​ตัว​แข็งทื่อ​ใน​ทันใด​ จากนั้น​ศีรษะ​ของ​เขา​ก็​กลิ้ง​หลุนๆ​

แค่​พลัง​สังหาร​ของ​ขั้น​สอง​และ​ความทนทาน​ของ​พลัง​เทพ​วชิระ​ ก็​สามารถ​ทำลาย​ร่าง​วิญญาณ​ของ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​ขั้น​สามได้​ทันที​ แต่​วันนี้​อา​ซูหลัว​ออม​มือ​ให้​แล้ว​…ดังนั้น​สวี่​ชีอัน​จึงไม่ได้​ลงมือ​ต่อ​ เขา​รีบ​ถอย​ออกมา​อย่าง​รวดเร็ว​ก่อนที่​ความ​ง่วงงุน​จะเข้า​ครอบงำ​

อิทธิฤทธิ์​โดยกำเนิด​ของ​ราชา​หมี​นั้น​ร้ายแรง​จริงๆ​ แม้แต่​อา​ซูหลัว​ก็​ยัง​ได้รับ​ผลกระทบ​ไป​ด้วย​ แต่​น่าเสียดาย​ อิทธิฤทธิ์​เช่นนี้​ไม่แบ่ง​มิตร​และ​ศัตรู​ ไม่อย่างนั้น​ก็​คง​ถือโอกาส​นี้​ผนึก​อา​ซูหลัว​ไป​ได้​แล้ว​…ด้วย​ความ​คมกริบ​ของ​ดาบ​สยบ​ดินแดน​และ​หยก​สลาย​ของ​ข้า​ รวมถึง​พลัง​ที่​ระเบิด​ออก​มาจาก​ลี่​กู่​ ทำให้​การสังหาร​ร่าง​วิญญาณ​ของ​ระดับ​เพชร​ขั้น​สามไม่ใช่เรื่อง​ยาก​อะไร​ แต่​คงจะ​สังหาร​กาย​เนื้อ​ของ​อา​ซูหลัว​หลังจาก​ปลดปล่อย​แก่น​โลหิต​อสุรา​ไม่ได้​…

ลมหายใจ​ของ​สวี่​ชีอัน​ลด​ต่ำ​ลง​อย่าง​รวดเร็ว​

ก่อนที่จะ​เป็น​หยก​สลาย​ มัน​คือ​ดาบ​เดียว​ตัด​ฟ้าดิน​ วิชา​ดาบ​เช่นนี้​ยิ่ง​ใช้ใน​การต่อสู้​ขั้นสูง​มาก​เท่าไหร่​ สิ่งที่​ต้อง​แลก​ก็​คือ​จะอ่อนแอ​ภายใน​ระยะเวลา​หนึ่ง​

ความอ่อนแอ​เช่นนี้​เมื่อ​มาถึงขั้น​สามก็​จะมีระยะเวลา​สั้น​ลง​อย่าง​ไร้​ที่​สิ้นสุด​ แต่​ภายใต้​การ​โคจร​เลือด​ลม​ใน​ร่าง​ เพียงแค่​ระยะเวลา​สิบ​กว่า​วินาที​ก็​จะฟื้นฟู​กลับมา​ได้​แล้ว​

ใน​สถานการณ์​ปกติ​ไม่อาจ​ใช้หยก​สลาย​ได้​ ไม่อย่างนั้น​ช่วงเวลา​อ่อนแอ​สั้น​ๆ นี้​ก็​จะทำให้​ผู้​อยู่​ระดับ​เดียวกัน​ตามมา​สังหาร​สิ้น​

สวี่​ชีอัน​ถอนหายใจ​ออกมา​แล้ว​มอง​ไป​ยัง​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​และ​ทหาร​ปีศาจ​บน​กำแพงเมือง​ จากนั้น​ถอด​วงแหวน​ไฟด้านหลัง​ศีรษะ​อย่าง​เงียบๆ​ แล้ว​ขว้าง​ไป​อย่าง​แรง​

เปลวเพลิง​เริงระบำ​และ​กลายเป็น​เสื้อคลุม​ไฟลุกโชติช่วง​

เขา​ใน​ตอนนี้​ราวกับ​เป็น​เทพ​สงคราม​ใน​สายตา​ของ​เผ่าพันธุ์​ปีศาจ​และ​ทหาร​ป้องกัน​เมือง​ของ​ดินแดน​ประจิม​ทิศ​

“สวี่​ชีอัน​…”

น้ำเสียง​ของ​อรหันต์​ตู้​เอ้อร์​เอ่ย​พึมพำ​แผ่วเบา​ด้วย​อารมณ์​ซับซ้อน​

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด