ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 747 ฝ่าบาทกับเจิ้น
บทที่ 747 ฝ่าบาทกับเจิ้น
ค้อนก่อกวนชะตากรรมเปิดปัญญาให้ผู้มีโชคชะตา ไม่ใช่เปิดปัญญาในความหมายทั่วไป แต่เปิดปัญญาในแง่ของโชคชะตา
เช่นนั้นจะเปิดปัญญาอะไร สวี่ชีอันไม่รู้ จงหลีก็ไม่รู้
ทว่าอันที่จริงก็มีเบาะแสอยู่ โชคชะตาบนร่างของสวี่ชีอันเป็นชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของต้าฟ่ง
มันใช้ประโยชน์อะไรได้มากที่สุด
เมื่อก่อนสวี่ชีอันคิดว่าออกไปเก็บเงินสักชั่งและได้กินฟรีที่สำนักสังคีตตลอดชีพ
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้แต้มพิเศษ ส่วนใหญ่อยู่ที่รัศมีแห่งความโชคดี
แล้วการกระทำแบบใดของชะตาบ้านเมืองเกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้แต้มพิเศษ คำตอบที่เด่นชัดออกมาก็คือ…พลังแห่งเวไนยสัตว์
“พลังแห่งเวไนยสัตว์!”
จงหลีเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาคาดเดาความจริงได้แล้ว จึงจิกศีรษะให้คำตอบยืนยัน
นี่เป็นอำนาจที่มีแต่ท่านโหราจารย์ควบคุมได้…สวี่ชีอันข่มอารมณ์ตื่นเต้นเอาไว้ แล้วเอ่ยพิจารณา
“ข้าก็ควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้ ทว่าจำเป็นต้องอาศัยวิธี ‘เลี้ยงจิต’ ของฉู่หยวนเจิ่น จึงจะระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์ป้องกันศัตรูภายใต้ความฮึกเหิมของหมู่มวลชน ว่ากันตามเหตุผล ข้าแบกรับชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าท่านโหราจารย์ แต่ก็น่าจะระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้อย่างมั่นคง”
จงหลียกค้อนก่อกวนชะตากรรมในมือ เสียงเพิ่มระดับขึ้นไม่เหมือนเช่นเคย แล้วเอ่ยเสียงดัง
“เพราะเจ้ายังไม่ได้เปิดปัญญา เจ้าต้องให้ค้อนก่อกวนชะตากรรมช่วยเจ้าเปิดปัญญา”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ใช่ ที่จริงข้าไม่ได้ควบคุมชะตาบ้านเมืองนี้ในร่างจริงๆ ตั้งแต่แรก แม้มันจะรวมเป็นหนึ่งกับข้า ทว่าข้าก็มิอาจควบคุมมัน มิอาจแสดงความแข็งแกร่งของมันได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกรายละเอียดก็สอดคล้องกัน ที่เรียกว่าเปิดปัญญาหมายถึงทำให้สวี่ชีอันควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้ ดังนั้นจึงยกระดับพลังต่อสู้ พลังก้าวกระโดดภายในเวลาอันสั้น
‘นี่เป็นทางหนีทีไล่ที่ท่านโหราจารย์หลงเหลือไว้’
จงหลีพึมพำกับตนเองในทันใด
“ชะตาบ้านเมืองกับโชคชะตาไม่เหมือนกัน”
นางหมายถึงเมื่อก่อนเคยคิดว่าสวี่ชีอันมีโชคชะตาติดตัวมาโดยตลอด ดังนั้นจึงปกป้องนางได้
ทว่าที่จริงโชคชะตาต่างจากชะตาบ้านเมือง ชะตาบ้านเมืองเข้าใจได้ว่าเป็นโชคชะตาฉบับปรับปรุง ชะตาบ้านเมืองระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้ แต่โชคชะตาทำไม่ได้
“เจ้าว่าสวี่ผิงเฟิงรู้เรื่องชะตาบ้านเมืองระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้หรือไม่”
จงหลีถามทันที
สวี่ชีอันตะลึง
“มันพูดยาก การระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์เป็นอำนาจของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า สวี่ผิงเฟิงอาจจะไม่รู้ลึกมาก”
เขาส่ายหน้าสักพัก ดวงตาเปล่งประกาย
“ไม่ สวี่ผิงเฟิงไม่รู้ เขาส่งคณะทูตอวิ๋นโจวมาเจรจาสงบศึก นอกจากอยากจับเสือมือเปล่า ชิงอาณาเขตโดยไม่เสียเลือดเนื้อ อีกหนึ่งจุดประสงค์ก็คือหยั่งเชิงปฏิกิริยาของข้า ดังนั้นจึงเรียนรู้ทางหนีทีไล่ที่ท่านโหราจารย์หลงเหลือผ่านข้า หากเขารู้ว่าชะตาบ้านเมืองระดมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้ ด้วยสติปัญญาของเขาก็คงเดาออกนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งจีหย่วนมาหยั่งเชิง”
สวี่ชีอันยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น แทบอยากจะปลุกพลังแห่งเวไนยสัตว์ทันที แล้วมุ่งหน้าไปที่ชิงโจว ทำให้สวี่ผิงเฟิงตกใจ
จงหลีก็อดใจรอไม่ไหวเช่นกัน
“ชะ เช่นนั้นข้าจะเคาะศีรษะเจ้าแล้วนะ”
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิ
“ได้! ”
จงหลียกค้อนขึ้นและทุบลงไปที่ศีรษะของเขาดัง ‘ตุ้ง!’
ศีรษะของสวี่ชีอันดัง ‘วิ้ง’ แล้วหมดสติไปในชั่วพริบตา ม่านตาขยายใหญ่
ไม่นานนักม่านตาที่ขยายตัวก็ปรับสายตา เขาปรายตามองจงหลี แล้วพลันเด้งตัวขึ้น กรีดกรายนิ้วดรรชนีกล้วยไม้ แล้วขับร้องเสียงเล็กแหลม
“น้องหลินตกจากนภาลัย…”
‘นี่เป็นรูปแบบชะตากรรมของนักแสดงปาหี่ บทเพลงไม่คุ้นหู ช่างไพเราะประหลาด…’ จงหลีชื่นชมการแสดงเดี่ยวของสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ มองเขาแสดงท่าทางมีจริตจะก้าน บทเพลงลอยล่องมาจากในปาก
หลังจากครึ่งชั่วยาม ผลของค้อนก่อกวนชะตากรรมก็หายไป
สวี่ชีอันยืนฉงนอยู่สักพัก แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าชักกระตุก
“เพราะเหตุใดถึงไม่ข้ามไปล่ะ”
เมื่อทุบลงอีกครั้ง รูปแบบชะตากรรมก็จะสลับเปลี่ยน ทว่าจงหลีบังคับให้เขาขับร้องบทเพลงอยู่หนึ่งชั่วโมง
นัยน์ตาที่เป็นประกายของจงหลีภายใต้เส้นผมที่แผ่สยายอันยุ่งเหยิงกะพริบตา
“ไพเราะประหลาด”
สวี่ชีอันแตะศีรษะของจงหลี แล้วแสร้งยิ้มพร้อมเอ่ย
“หากข้าไม่อยู่ที่นี่หรือคนที่เพิ่งขับร้องเมื่อครู่ไม่ใช่ข้า บางทีวันนี้อาจจะเป็นวันตายของศิษย์พี่จง”
‘เดี๋ยวเจ้าจะโดนฆ่า!’
จงหลีเอ่ยเสียงเบา
“เพราะเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจึงใจกล้าขึ้นมาเล็กน้อย”
อืมๆ จะแข็งใจโทษว่าเจ้าทำผิดได้อย่างไร ก็ข้าให้อิสระเจ้าเกินไปเอง! สวี่ชีอันพยักหน้า
“ต่อเถอะ เร็วเข้า พวกเราอย่ามัวแต่เสียเวลา…”
ทันทีที่พูดจบ จงหลีก็ทุบค้อนลงมา
ม่านตาของสวี่ชีอันขยาย จากนั้นก็โซเซคุกเข่าลงกับพื้น แล้วร้องคร่ำครวญ
“พระโพธิสัตว์หญิงให้ทานสักหน่อย มอบเงินให้สักนิดเถอะ”
รูปแบบชะตากรรมขอทาน
จงหลียกค้อนขึ้นทุบ
“จับจอบกลางแดดจ้า หยาดเหงื่อล้าหยดลงดิน คนทำมาหากินมีเกียรติที่สุด…”
จงหลียกค้อนขึ้นทุบ
“ไม่อร่อยเท่าเกี๊ยว ไม่น่าสนุกเท่าพี่สะใภ้” พูดจบก็พยายามมุดหัวเข้ามาใต้กระโปรงของจงหลี
จงหลียกค้อนขึ้นทุบ
‘ตุ้ง! ตุ้ง! ตุ้ง…’
ยิ่งจงหลีทุบค้อนมากขึ้นก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งท้ายที่สุดค้อนก็เร็วขึ้นจนเหมือนภาพติดตา
สวี่ชีอันนั่งลงอย่างงุนงง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่ปรับสายตา
บัดนี้ ราวกับว่าเขาผ่านชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ชนชั้นสูงต่ำของอาชีพ ความดีชั่วของความเป็นมนุษย์ เข้าใจความทุกข์ยากของประชาชนและทุกสรรพสิ่งมีชีวิต
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระฆังใหญ่ต้าลู่ดังก้องจนหูดับ คล้ายกับมีบางอย่างภายในร่างหลุดจากพันธนาการ
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น แล้วกลายเป็นเงามืดหายไปที่ใต้ดิน
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาถึงแท่นแปดทิศของหอดูดาว
ตอนนี้ม่านราตรีมืดมิด ทั่วทั้งเมืองหลวงปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงพื้นที่บางส่วนที่ยังจุดเทียน
เมืองหลวงในยามค่ำคืนเงียบสงัด ทว่าในสายตาของสวี่ชีอันช่างครึกครื้น มีสีสัน โศกเศร้า เลวร้าย และงดงาม…
มุมของเขาที่มีต่อโลกเปลี่ยนไปต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง
ทุกสิ่งที่ดีงามล้วนมาจากโลกมนุษย์
ทุกสิ่งที่ชั่วร้ายก็ล้วนมาจากโลกมนุษย์ทั้งสิ้น
ในเวลานี้ราวกับว่าเขาก้าวข้ามความชั่วดี สับสนขอบเขตระหว่างความชอบธรรมและอธรรม กลายเป็นเทพเจ้าที่มองข้ามผู้คนอย่างเฉยชา
ในเวลาต่อมาเขาก็จมลงสู่โลกมนุษย์อย่างช้าๆ แช่อยู่ในความชั่วและความดีของโลกโลกีย์ หลอมรวมเป็นหนึ่งกับโลกกลมๆ ใบนี้
สวี่ชีอันกางแขนพร้อมเอ่ยเสียงดัง
“มานี่!”
ทุกคนฟังคำสั่งของข้า!
ในชั่วพริบตา พลังที่รวบรวมจากอาณาประชาราษฎร์ก็กรูกันเข้ามา
พลังนี้ไม่ได้เป็นพลังปราณ ไม่ได้เป็นพลังวิญญาณ ไม่ได้เป็นพลังจิตวิญญาณ ทว่าครอบคลุมด้วยอารมณ์หลากหลายของมนุษย์ ชังโลภโกรธหลง ความทุกข์ความสุข รวมถึงพลังจิตใจของพวกเขา
หากจะต้องให้จำกัดความ พลังนี้จัดอยู่ในอำนาจ
อำนาจของ ‘มหาอำนาจ’
เมื่อพลังแห่งเวไนยสัตว์กรูกันเข้ามา สวี่ชีอันก็รวบรวมพลังนี้เข้ามาภายในร่างราวกับทะเลล้อมธารร้อยสาย
ภายในหอดูดาว นอกจากมู่หนานจือกับซุนเสวียนจี โหรทุกคนก็คลานอยู่บนพื้นราวกับเผชิญหน้ากับอำนาจสวรรค์
…
ชิงโจว
ในกลางดึก เก่อเหวินเซวียนเคาะประตูห้องของจีเสวียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าติดต่อคุณชายจีหย่วนไม่ได้แล้ว”
เก่อเหวินเซวียนตรงเข้าประเด็นโดยไม่ได้ทักทายแต่อย่างใด
จีเสวียนพลันเปลี่ยนสีหน้า
“ข้าติดต่อกับคุณชายจีหย่วนทุกสองวันครั้งเพื่อรายงานความเป็นอยู่และรู้ความคืบหน้าของการเจรจาสงบศึก ทว่าวันนี้ข้าติดต่อเขาไม่ได้เสียแล้ว” เก่อเหวินเซวียนถือหอยสังข์กระแสจิตไว้ในมือ
จีเสวียนชิงคว้ามาอย่างรวดเร็ว แนบหอยสังข์ที่ข้างหู แล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“จีหย่วน!”
ตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีแม้แต่คนตอบรับ
เก่อเหวินเซวียนเอ่ย
“หลังจากได้รับข่าว ค่ายกลบนหอยสังข์จะเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อเตือนผู้ครอบครอง หากหอยสังข์อยู่ในมือของคุณชายจีหย่วน เขาไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็น”
จีหย่วนวางหอยสังข์ไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม
“การเจรจาสงบศึกไปถึงขั้นไหนแล้ว”
เก่อเหวินเซวียนตอบ
“จากการติดต่อครั้งล่าสุด คุณชายจีหย่วนบอกว่าการเจรจาสงบศึกมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรต้าฟ่งก็ไม่ยอมยกยงโจวให้”
จีเสวียนวิเคราะห์อย่างใจเย็น
“นี่เป็นจุดประสงค์หลักของการเจรจาสงบศึก จีหย่วนแยกแยะลำดับความสำคัญเสมอ จะไม่เป็นฝ่ายขาดการติดต่อในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ก่อน เช่นนั้นสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เขาเกิดปัญหาแล้ว”
พูดจบสายตาของเขาก็คมกริบขึ้นในทันใด
สัญชาตญาณบอกเขาว่าเกิดเรื่องขึ้นกับสวี่ชีอัน
เก่อเหวินเซวียนครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย
“เรื่องนี้ไม่ปกติ ด้วยสถานการณ์ของต้าฟ่งในปัจจุบัน การเจรจาสงบศึกเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว แม้สวี่ชีอันจะแสดงความกล้าของคนไร้ปัญญา ทว่าก็ไม่ใช่ไอ้โง่ สำหรับเขาการเจรจาสงบศึกเป็นเหมือนกับหนทางซื้อเวลา นอกจากนี้ หยวนซวงกับหยวนไหวก็อยู่ในคณะทูต ตราบใดที่คุณชายจีหย่วนไม่รนหาที่ตายมายั่วยุเขา ส่วนใหญ่สวี่ชีอันก็จะไม่ทำอะไรคณะทูต”
จีเสวียนพยักหน้า
“จีหย่วนอาจจะหยั่งเชิงเขา ทว่าจะไม่จงใจไปยั่วโทสะเขา เรื่องนี้ไม่ปกติ เจ้ารีบแจ้งท่านแม่ทัพใหญ่โดยด่วน”
เก่อเหวินเซวียนพยักหน้า แล้วหันหลังจากไป
หลังจากครึ่งชั่วยาม เก่อเหวินเซวียนก็ย้อนกลับมาพร้อมเอ่ยเสียงเข้ม
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งให้หารือที่กระโจมผู้นำทัพในวันพรุ่งนี้”
การหารือที่กระโจมผู้นำทัพเป็นการประชุมระดับสูงสุดในกองทัพ ทหารยศสูงในกองทัพต้องเข้าร่วมทั้งหมด
…
หมายเลขสาม ‘ฝ่าบาท พรุ่งนี้ข้าต้องการไปชิงโจว สืบหาข้อเท็จจริงของกองทัพกบฎในอวิ๋นโจว แล้วถือโอกาสส่งหนังสือท้ารบให้สวี่ผิงเฟิงอย่างเป็นทางการ’
สวี่ชีอันที่ควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ส่งข้อความนี้ลงในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี
สวี่ชีอันมีความคิดว่า ก่อนทั้งสองฝ่ายจะเปิดสงครามจำเป็นต้องพบสวี่ผิงเฟิงเสียก่อน
ข้าต้องส่งหนังสือท้ารบ ต้องตบหน้าของโหรขั้นสองคนนี้ ต้องทำให้สวี่ผิงเฟิงรู้ว่า จากภาชนะที่มีพลังเท่ามดในตอนแรกเช่นเขาเติบโตมาเป็นนักหมากรุกที่เสมอภาคกันแล้ว
มิเช่นนั้น สวี่ชีอันก็มิอาจสงบใจลงได้!
ฮว๋ายชิ่งยังไม่ได้ตอบกลับ หลี่เมี่ยวเจินที่เห็นข้อความนี้ก่อนถามอย่างฉงน
หมายเลขสอง ‘เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าพิมพ์ผิดหรือไม่’
เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินที่ถูกปลุกให้ ‘รู้สึกใจสั่น’ ก็ทยอยหยิบหนังสือปฐพีออกมาอ่านข้อความ แล้วเห็นด้วยกับความคิดเห็นของหลี่เมี่ยวเจินอย่างเป็นเอกฉันท์
หมายเลขหนึ่ง ‘ตกลง ก่อนจะออกเดินทางก็มาที่วังเสียก่อน เจิ้น มีเรื่องที่จะทำให้เจ้าประหลาดใจ’
หมายเลขสาม ‘ทำให้ประหลาดใจหรือ เรื่องแบบใดกัน’
หมายเลขหนึ่ง ‘ประหลาดใจก็คือประหลาดใจ พูดไปก็ไม่มีความหมายสิ’
สมาชิกพรรคฟ้าดิน ‘? ? ?’
นอกเสียจากลี่น่าที่นอนหลับสบายปลุกไม่ตื่นง่ายๆ เมื่อสมาชิกคนอื่นเห็นเนื้อหาข้อความของทั้งสอง เครื่องหมายคำถามก็ปรากฏอยู่ในหัวอย่างต่อเนื่อง
ฝ่าบาทอะไร เจิ้นหมายความว่าอย่างไร
สวี่ชีอันชอบล้อเล่นอยู่แล้ว นิสัยก็เป็นเช่นนี้ แต่ฮว๋ายชิ่งไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นไปกับเขา
ฉู่หยวนเจิ่นในฐานะปัญญาชนอ่อนไหวกับคำว่า ‘ฝ่าบาท’ และ ‘เจิ้น’ สองคำนี้มาก จึงส่งข้อความหยั่งเชิงอย่างระแวดระวัง
หมายเลขสี่ ‘ท่านทั้งสอง นี่หมายความว่าอะไรกัน’
…………………………………………..
Comments