ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 762 ให้อภัย

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 762 ให้อภัย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 762 ให้อภัย

ล้อรถดังแอ๊ดๆ ในรถม้าที่หรูหราและกว้างขวาง หวังซือมู่นั่งบนเก้าอี้นุ่มที่ปูด้วยขนแกะด้วยท่าทางระวังตัวเล็กน้อย เพ่งพินิจอาสะใภ้ที่นั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยเป็นระยะๆ

‘นางดูมีอำนาจอย่างยิ่ง ทำให้ข้ารู้สึกกดดันเล็กน้อย…’ หวางซือมู่แอบคิดในใจ เนื่องจากแรงกดดันจากว่าที่แม่สามี นางจึงไม่กล้าขยับตัวเช่นกัน

‘ทำไมซือมู่จึงไม่ขยับตัวเลย สีหน้าก็ระวังตัวและเคร่งเครียดมาก การเข้าเฝ้าไทเฮามันน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ เจ้าพูดอะไรบ้างสิ ข้านั่งจนเจ็บก้นไปหมดแล้ว อยากจะขยับตัวสักหน่อย…’ อาสะใภ้ยังคงรักษาท่าทางสง่างาม แต่ในใจรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง

แต่นางไม่เคยเข้าวังเข้าเฝ้าไทเฮามาก่อน จึงคิดว่านี่เป็นแบบแผนที่จำเป็นต้องปฏิบัติ

หวางซือมู่ไม่ขยับ นางก็ไม่ขยับเช่นกัน

จวนสกุลสวี่อยู่ไม่ไกลจากเขตพระราชฐาน เวลาสองเค่อต่อมา รถม้าคันหรูก็เข้าสู่เขตพระราชฐาน เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มาถึงประตูพระราชวัง

หลังจากผ่านการสอบถามจากหน่วยองครักษ์ราชวัลลภแล้ว รถม้าก็วิ่งเข้ามาในพระราชวังอย่างสบายๆ และจอดที่ข้างเพิงสำหรับจอดรถม้า

หวางซือมู่เหยียบตั่งลงจากรถม้า โดยการประคองของสาวใช้ จากนั้นนางก็หันหลังไป ประคองอาสะใภ้ลงจากรถม้าเหมือนที่สาวใช้ประคองตัวเอง

ว่าที่แม่สามีและลูกสะใภ้นำบรรดาสาวใช้เดินไปทางตำหนักเฟิ่งชี อาสะใภ้มองไปข้างหน้า รักษากิริยาที่ฝึกอยู่ที่บ้านมาเป็นเวลานาน เจตนาเค้นน้ำเสียงราบเรียบ พูดว่า

“ซือมู่ ข้าเพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยคุ้นเคยกับจารีตประเพณีของในวังนี้ เจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังหน่อย”

อันที่จริงอาสะใภ้พอจะรู้บ้าง ว่าไทเฮาทรงเป็นคนรอบคอบ เมื่อทรงรู้ว่านายหญิงของบ้านสกุลสวี่เป็นคนที่ไม่เคยเข้าวังมาก่อน จึงทรงส่งหมัวมัวจากในวังไปสอนพิธีการที่เกี่ยวข้องที่จวนสกุลสวี่นานแล้ว

เพียงแต่อาสะใภ้ไม่ตั้งใจเรียน และมักจะง่วงเหงาหาวนอน เรียนกับหมัวมัวไม่กี่วัน ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เพราะว่าอาสะใภ้มีพรสวรรค์พิเศษ แต่เป็นอาสะใภ้ของฆ้องเงินสวี่ จะมีความผิดพลาดได้อย่างไร?

หวางซือมู่ตอบได้ทุกคำถาม อธิบายจารีตประเพณีของพระราชวังอย่างนุ่มนวล ทันทีที่อาสะใภ้ได้ยิน ในใจก็ร้องไอหยา มันไม่ค่อยเหมือนที่ข้าเรียนมาเลยนี่นา หมัวมัวที่น่ารังเกียจ บังอาจล้อเล่นกับข้าเชียวหรือ

นี่ถ้าอยู่ที่บ้าน อาสะใภ้ก็จะเท้าเอว เลิกคิ้วไปแล้ว

ขณะที่พูดคุยกันไปพลาง คนทั้งขบวนก็เข้าไปในตำหนักเฟิ่งชี โดยการนำของขันที

สภาพแวดล้อม และการตกแต่งของตำหนักเฟิ่งชี ทำให้อาสะใภ้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มันยากที่จะจินตนาการว่าเป็นสถานที่ที่ไทเฮาทรงประทับ มันเงียบเหงาเกินไป

ก้าวข้ามธรณีประตู ในห้องรับรองที่กว้างขวางและสว่างไสว กลิ่นไม้จันทน์หอมฟุ้ง อาสะใภ้ได้เข้าเฝ้าไทเฮา พระราชมารดาของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ผู้หญิงที่ทรงแต่งกายงดงาม ทรงพระสิริโฉมกว่าใคร

อาสะใภ้นั้นนับว่าเห็นสาวงามมามาก เนื่องจากหลานชายเป็นคนเจ้าชู้ ในบ้านจึงมีสาวงามเข้ามาอยู่บ่อยๆ

ประกอบกับตนเองและสวี่หลิงเยวี่ยบุตรสาวคนโต ก็เป็นคนที่มีความงามที่โดดเด่นมากเช่นกัน

แต่เวลานี้ได้เห็นไทเฮา ก็รู้ได้ทันทีว่า หากไทเฮาพระองค์นี้อ่อนวัยกว่านี้ยี่สิบปี คงจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เอ้อ ราชครูท่านนั้นต่างหากที่เป็น สาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง

ส่วนเทพดอกไม้คนนั้น อาสะใภ้ไม่รู้จักนาง จึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา หรือจดจำไว้ในใจ

ไทเฮาทรงเป็นคนเย็นชา จึงไม่ได้มีท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออาสะใภ้อันเพราะสาเหตุจากสวี่ชีอัน

ตอนนี้ไทเฮาทรงเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ตัว ก่อนหน้านี้พระราชธิดาที่เป็นจักรพรรดิแล้วมาเข้าเฝ้า บอกว่าจะยกเลิกการหมั้นหมายของหลินอันและสวี่ชีอัน แต่ไทเฮาทรงให้เหตุผลว่าเรื่องการแต่งงานได้กำหนดไว้แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงได้ทรงปฏิเสธกลับไป

ฮว๋ายชิ่งพยายามที่จะใช้อำนาจของตัวเองบีบบังคับให้พระมารดายอมศิโรราบ แต่เมื่อพบว่าพระมารดาไม่มีความทะยานอยาก ไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย จึงพ่ายแพ้คอตกกลับไป

หลังจากครั้งนั้น ฮว๋ายชิ่งก็ไม่เคยมาเยี่ยมไทเฮาอีกเลย ราวกับทรงพิโรธ

ไทเฮาก็ไม่สนพระทัยเช่นกัน

“ฆ้องเงินสวี่เป็นคนหนุ่มมีความรู้ความสามารถ เป็นคู่ครองที่เป็นที่หมายปองของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจำนวนนับไม่ถ้วน เรื่องราวของเขาก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง”

ไทเฮาทรงดื่มพระสุธารสชา แล้วทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่ไม่เร่งรีบ ราบเรียบ แสดงให้เห็นถึงความสง่างาม

“หลินอันเป็นองค์หญิงแห่งต้าฟ่ง จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีสามีคนเดียวกันกับหญิงอื่นอย่างเด็ดขาด ข้าได้ยินซือมู่พูดว่า เจ้าเป็นนายหญิงที่มีความคิด สามารถควบคุมเขาอยู่ได้หมัดได้ตั้งแต่เด็กๆ

“เรื่องนี้ ข้าต้องการให้เจ้าให้คำตอบยืนยันด้วย”

‘หม่อมฉันควบคุมเขาได้อยู่หมัดเสียที่ไหนกัน? คนสารเลวนั่น ยั่วโมโหหม่อมฉันเสมอ เหมือนหลิงอินที่เจตนาแกล้งหม่อมฉันทุกวัน…’ อาสะใภ้สีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับเริ่มแก้ตัว

คำถามนี้นางไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร จึงหันไปมองหวางซือมู่แวบหนึ่ง

‘นางมองข้าทำไม หรือไม่พอใจที่ข้ากราบทูลความลับแก่ไทเฮา? จะให้ข้าแก้ปัญหาที่ตัวนางเองก่อขึ้น? ’ หวางซือมู่ตกใจ พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

“ไทเฮาโปรดวางพระทัย ฆ้องเงินสวี่และองค์หญิงหลินอันต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี จะต้องไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังอย่างแน่นอนเพคะ”

‘เอ๋ ดูเหมือนว่าหลิงเยวี่ยกับซือมู่จะตกลงกันล่วงหน้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว…’ ตาของอาสะใภ้เป็ประกาย เมื่อเห็นไทเฮาทอดพระเนตรมา นางจึงพยักหน้า

ไทเฮาก็ทรงพยักพระพักตร์เช่นกัน

“เช่นนี้ก็ดีมาก”

ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มหารือเรื่องขั้นตอนการจัดงานอภิเษก และมีการคุยเล่นนอกเรื่องบ้างเป็นบางครั้ง

ทุกครั้งที่อาสะใภ้รู้สึกว่าเรื่องที่ไทเฮาทรงตรัสนั้นเข้าใจยากเกินไป ก็จะหันมามองหวางซือมู่

หวางซือมู่ก็จะรู้สึกว่าแม่สามีกำลังให้โอกาสตนเอง มองตัวเองเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ จึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที

หลังกินอาหารกลางวันแล้ว หวางซือมู่ก็กลับเข้าไปในรถม้า รู้สึกโล่งอก ความรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านการสู้รบมา เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ

‘ทั้งไทเฮาและว่าที่แม่สามีต่างไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ทำให้ข้าลำบากยิ่งนัก เอ้อร์หลาง เมื่อไหร่เจ้าจะกลับเมืองหลวงเสียที?’ หวางซือมู่รู้สึกคิดถึงคู่หมั้นขึ้นมาบ้างแล้ว

ในเวลาเดียวกัน นางก็รู้สึกเลื่อมใสว่าที่แม่สามีอย่างยิ่ง เพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก เข้าเฝ้าไทเฮาเป็นครั้งแรกแท้ๆ แต่กลับสามารถปั้นสีหน้า ทำท่าทางให้คนรู้สึกเหมือนนางต่างหากที่เป็นไทเฮา

ผู้หญิงโดยทั่วไป ถึงแม้ว่าครอบครัวจะร่ำรวยและมีเกียรติ ฐานะจะแตกต่างกันมาก แต่การอบรมเลี้ยงดูด้านสภาพจิตใจและอุปนิสัยใจคอนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ชั่วข้ามคืน

ว่าที่แม่สามีช่างเป็นคนที่หายากจริงๆ…

‘ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว หน้าตึงจนจะแข็งอยู่แล้ว สวี่หนิงเยี่ยน คนเฮงซวย แต่งงานยังทำให้ข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยอีก…’ อาสะใภ้อยากใช้มือนวดหน้าจะแย่แล้ว

ห้องทรงพระอักษร

ฮว๋ายชิ่งประทับอยู่ที่โต๊ะ ทรงอ่านสาส์นกราบทูลเสร็จ ก็กางกระดาษเซวียนจื่อออก หยิบพู่กันขึ้นเขียน

‘ปรมาจารย์เต๋า วิถีแห่งควันธูป หนังสือปฐพี โหร ท่านโหราจารย์ ผู้เฝ้าประตู…’

ในสมองของนางกำลังนำเบาะแสเหล่านี้เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

‘ในตอนนั้นปรมาจารย์เต๋าได้ทำลายวิถีแห่งควันธูป รวบรวมผนึกเทพแห่งฟ้าดิน วัตถุประสงค์นั้นไม่ชัดเจน แต่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เฝ้าประตู’

‘จุดนี้ ผ่านการคิดทบทวนอยู่หลายครั้งโดยระบบโหรที่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก่อตั้งขึ้น’

‘เห็นได้ชัดเจนว่าระบบโหรเป็นส่วนขยายหรือเป็นสาขาของวิถีแห่งควันธูป แต่โหรยุคปัจจุบันดูคล้ายกับผู้เฝ้าประตู นี่มันหมายความว่าอย่างไร?’

‘แสดงว่าวิถีแห่งควันธูปในเวลานั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้เฝ้าประตู และผู้เฝ้าประตูก็จะต้องเกิดจากวิถีแห่งควันธูป’

‘ดังนั้นพฤติกรรมของปรมาจารย์เต๋าก็สอดคล้องกับตรรกะ’

‘คำถามสามข้อสวี่ชีอันถามในหนังสือปฐพี ก็คือความสัมพันธ์อันเป็นเหตุเป็นผลของความจริงนี้’

‘จิตเดิมนิกายปฐพีของปรมาจารย์เต๋านั้น ได้กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋า รุ่นที่หนึ่งน่าจะเป็นเพราะความบังเอิญ ที่ได้รับการสืบทอดจากวิถีแห่งควันธูป ตอนนี้ดูเหมือนว่า แนวทางในการหลอมหนังสือปฐพีของปรมาจารย์เต๋าในเวลานั้น เป็นความผิดพลาด’

‘ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ลองผิดลองถูก เดินออกจากเส้นทางผู้เฝ้าประตูที่ถูกต้อง? ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ’

ฮว๋ายชิ่งใคร่ครวญอย่างเงียบๆ ใช้สมองอย่างกระตือรือร้น

แต่เพราะจนถึงวันนี้สมาชิกของพรรคฟ้าดินยังไม่รู้ว่า ‘ผู้รักษาประตู’ หมายถึงอะไรและเป็นสัญลักษณ์ของอะไร ดังนั้นจึงยากที่จะหาข้อสรุปได้อย่างสมเหตุสมผลได้

ฮว๋ายชิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้ รวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายไปกลับคืนมา กลับมาที่ตัวปัญหา…ปรมาจารย์เต๋า !

‘จากเบาะแสที่มีอยู่ทำให้คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าที่ผ่านมาปรมาจารย์เต๋ากำลังทดลองอะไรอยู่ สิ่งที่ร่างอวตารของนิกายปฐพีทดลองคือวิถีแห่งควันธูป สิ่งที่ร่างอวตารของนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์สองร่างทดลองคืออะไร?’

‘จริงสิ ตอนนั้นปรมาจารย์เต๋าท่านนั้นที่ทำการขับไล่ผู้สืบเชื้อสายเทพมารออกไปจากจิ่วโจวจนหมดสิ้น คือร่างนี้ หรือหนึ่งในสองร่างอวตารของนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์กันแน่?’

‘นอกจากนี้ เมื่อมีร่างอวตารของนิกายปฐพีร่างนี้ในการประกอบการพิจารณา เรื่องที่ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์หายตัวไปอย่างประหลาด ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ความจริงได้ปรากฏให้เห็นแล้ว’

‘นี่ก็เป็นการทดลองอย่างหนึ่งของปรมาจารย์เต๋า แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะมีปัญหาเกิดขึ้น’

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฮว๋ายชิ่งก็ทรงบีบหว่างคิ้ว ตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องนี่กับสวี่ชีอัน ปล่อยให้เขาปวดหัวแล้วกัน ข้าเหนื่อยแล้ว…

เวลานี้ ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พูดเสียงต่ำว่า

“ฝ่าบาท นายหญิงของสกุลสวี่เพิ่งไปเข้าเฝ้าไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

ฮว๋ายชิ่งรับสั่งอย่างเย็นชาว่า

“รู้แล้ว”

พระองค์ทรงชะงักครู่หนึ่ง แล้วรับสั่งว่า

“ไปที่สำนักโหราจารย์ นำตัวผู้หญิงที่สวี่ชีอันฝากไว้ที่นั่น ส่งไปที่จวนสกุลสวี่ให้หมด หลังจากนั้นส่งข่าวให้อารามรัตนะ บอกว่าฆ้องเงินสวี่กับหลินอันจะแต่งงานกันในเดือนหน้า”

ฮว๋ายชิ่งยังคงไม่สนใจเป้าหมายที่อ่อนหัดเช่นหลินอัน พระองค์แค่ต้องการสร้างแรงกดดันให้กับฆ้องเงินสวี่เล็กๆ น้อยๆ

ให้เขาตั้งใจต่อสู้ในยงโจว ไม่ต้องคิดเรื่องรักเรื่องใคร่

ตำหนักเสนาบดี ที่ทำการจือฝู่ เมืองสวินโจว

หยางกงเรียกนายทหารชั้นสูงทุกนายมาหารือที่นี่ ในจำนวนนี้รวมถึงเสาหลักอย่างสวี่ชีอันด้วย

สงครามปกป้องเมืองสวินโจวได้รับชัยชนะแล้ว แต่เป็นการชนะเฉพาะส่วน สถานการณ์ยังคงรุนแรง

ซุนเสวียนจีนำผู้พิทักษ์หยวนเข้าไปในตำหนักเสนาบดี หยางกงและนายทหารชั้นสูงทุกคนต่างพกันตกใจ มองผู้พิทักษ์หยวน แล้วคิดในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ผู้พิทักษ์หยวนสวมชุดนักโทษ สวมกุญแจมือและขื่อสวมคอ ท่าทางเหมือนกำลังถูกตัดคอที่ลานประหาร

ผู้พิทักษ์หยวนกวาดตามอง อ่านความในใจของพวกเขาออกอย่างง่ายดาย เข้าใจถึงความข้องใจของพวกเขา ผู้พิทักษ์หยวนอธิบายอย่างเศร้าโศกว่า

“นี่คือสิ่งที่ฆ้องเงินสวี่ให้ข้าสวม วัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าจำไว้ให้ดี จำให้แม่นว่าเคราะห์ร้ายมาจากปาก”

ทุกคนแอบดีใจ ขณะเดียวกันก็อดถามไม่ได้ว่า

“หากไม่จำเล่า?”

ผู้พิทักษ์หยวน พูดอย่างเศร้าโศกว่า

“ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว ขั้นต่อไปย่อมต้องลากออกไปตัดหัวอย่างแน่นอน”

หยางกงโบกมือไปมา

“ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึงขนาดนั้น”

สวี่เอ้อร์หลางโบกมือไปมา

“พี่ใหญ่ทำเกินไปแล้ว”

เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจแล้วพูดว่า

“ถึงอย่างไรผู้พิทักษ์หยวนก็เป็นพันธมิตร ฆ้องเงินสวี่ทำเกินไปจริงๆ”

ผู้พิทักษ์หยวนมองพวกเขาแวบหนึ่ง เศร้าโศกยิ่งกว่าเดิม

ความในใจที่แท้จริงของหยางกงคือ

‘เจ้าลิงตัวนี้ก็มีวันนี้ด้วย เวรกรรมมีอยู่จริง ทำชั่วได้ชั่ว ฆ้องเงินสวี่ได้กำจัดหายนะให้ประชาราษฎร์แล้ว’

ความในใจของสวี่เอ้อร์หลางคือ

‘พี่ใหญ่จะต้องพบกับเรื่องที่ยากแค้นแสนเข็ญอย่างแน่นอน วันหลังต้องสืบสาวเรื่องราวเสียหน่อยฮ่าๆ’

ความในใจของเหมียวโหย่วฟางคือ

‘หลังตัดหัวแล้วแบ่งสมองลิงให้ข้าคำหนึ่งได้หรือไม่’

แต่เพราะมีบทเรียนจากฆ้องเงินสวี่ ผู้พิทักษ์หยวนใจแข็ง ฝืนสัญชาตญาณด้วยความดื้อรั้น ระงับความวู่วามในการอ่านใจแล้วพูดออกมาตามที่ได้ยิน

หลี่มู่ไป๋พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า

“เจ้าลิง เจ้าทำอะไรให้สวี่หนิงเยี่ยนโกรธ?”

ผู้พิทักษ์หยวนกำลังจะพูด สวี่ชีอันก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ เดินมาจากด้านนอกตำหนัก

ทุกคนมองไปที่เขา ต่างตกตะลึง

ที่หัวของฆ้องเงินสวี่มีกระบี่เหล็กที่เป็นประกายปักอยู่ ตัวกระบี่ปักเข้าไปในกระโหลก มีเพียงด้ามกระบี่โผล่อออกมา

‘โหด โหดเหี้ยมเกินไป อนาถเกินไป…’ หยางกงและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง และมองไปทางผู้พิทักษ์หยวนพร้อมกัน คิดในใจว่าเจ้าก่อเวรก่อกรรมอะไรไว้

“พี่ พี่ใหญ่ ท่าน?”

มุมปากของสวี่เอ้อร์หลางแทบจะฉีกถึงใบหูแล้ว

“ล่วงเกินราชครูโดยไม่ทันระวัง ราชครูให้ข้าปักกระบี่เพื่อสำนึกผิด วันใดที่กระบี่ให้อภัยข้าแล้ว นางก็จะให้อภัยข้าเช่นกัน”

สวี่ชีอันหันไปมองผู้พิทักษ์หยวน

“นางให้อภัยข้าเมื่อใด ช้าก็จะให้อภัยเจ้าเมื่อนั้น!”

ผู้พิทักษ์หยวนถามอย่างร้อนใจว่า

“เมื่อไหร่กระบี่นั้นจะให้อภัยเจ้า”

สวี่ชีอันได้ยินดังนั้น ก็จ้องมองไปที่เจ้าลิงด้วยแววตา ‘ปล่อยวาง’

“นี่คือกระบี่เทพที่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์”

‘…’ ผู้พิทักษ์หยวนนิ่งอึ้งเหมือนลิงไม้

ซุนเสวียนจีตบไหล่ผู้พิทักษ์หยวน

‘ชาติหน้าเกิดมาเป็นใบ้เถิด’

สวี่ซินเหนียน ‘ไอ’ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า

“หยางกง ทุกคนมากันพร้อมแล้ว เริ่มต้นหารือกันเถิด”

เขากลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วจะหัวเราะเยาะพี่ใหญ่อย่างสุดกลั้น

นึกถึงเมื่อก่อนที่พี่ใหญ่มักจะคอยจับผิดความโง่ของเขา และเหยียดหยามเขาอย่างแรง

ตอนนี้ได้เวลาสำหรับการแก้แค้นแล้ว

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด