ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 764 หวนกลับซินเจียงตอนใต้
บทที่ 764 หวนกลับซินเจียงตอนใต้
เสินซูที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าวัดผุพังตะลึงงัน พนมมือพร้อมเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“อะไรทำให้ประสกเข้าใจผิดคิดว่าอาตมารู้วิธีเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง”
…สวี่ชีอันเงียบไปสักพักก่อนจะทอดถอนใจ
ขู่เอาคำตอบจากเศษวิญญาณ หรือจะบังคับมากเกินไป เขาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย
“ข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนแรกแล้ว รวบรวมร่างกายยกเว้นศีรษะแทนไต้ซือ หากไต้ซือยินยอม ข้าทำให้ท่านรวมร่างกับพวกมันได้”
เสินซูเผยรอยยิ้ม
“ขอบคุณประสก!”
ในบรรดาทุกส่วนของเสินซู ผู้นี้มีพุทธภาวะที่สุด…สวี่ชีอันพยักหน้า แล้วเริ่มออกจากโลกจิตสำนึกของเสินซูก่อน
เรื่องราวที่แขนขวาไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่ามือขวาไม่รู้ เมื่อทุกส่วนยกเว้นศีรษะรวมตัวกัน การเปลี่ยนแปลงทางปริมาณอาจจะบรรลุไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพก็ได้ ทำให้เสินซูนึกถึงสิ่งอื่นมากขึ้น
เสินซูอยู่ในครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ เส้นทางของจอมยุทธ์ภิกษุคล้ายกับจอมยุทธ์ ในโลกนี้หากจะมีใครสักคนที่กลายเป็นอาจารย์ของสวี่ชีอันได้ ก็มีแต่เสินซูเท่านั้น
นอกจากนี้จักรพรรดินีหมื่นปีศาจในตอนนั้นก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่ง จิ้งจอกเก้าหางย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งได้
ดังนั้นเป้าหมายถัดไปชัดเจนมาก…มุ่งสู่ซินเจียงตอนใต้!
…
เมืองหลวง อารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงก้าวขึ้นเมฆมงคล ร่อนอยู่กลางท้องฟ้าสีครามและลอยเข้าไปในอารามรัตนะ
เมื่อลูกศิษย์เห็นผู้นำเต๋ากลับมาก็มาคารวะที่นอกลานเล็กอันเงียบเหงาทันทีพร้อมกับเอ่ย
“ท่านผู้นำเต๋า พระราชวังส่งข่าวมาว่า งานเสกสมรสระหว่างฆ้องเงินสวี่กับองค์หญิงหลินอันในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ท่านจำเป็นต้องเข้าร่วมงานเสกสมรส”
จู่ๆ ก็นึกถึงอาวุธวิเศษที่ตกทอดจากบรรพบุรุษถูกนางเก็บไว้ในสมองสวี่ชีอัน ในสมองของไอ้สารเลวนั่นคิดแต่เรื่องไร้สาระ ต้องให้กระบี่เทพเก็บกวาดให้เกลี้ยง
‘งานเสกสมรสหนึ่งเดือนจากนี้’…ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วลังเลชั่วขณะ อดมองไปทางพระราชวังไม่ได้
‘ฮึ หญิงผู้นั้นคิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือทำลายงานแต่งงานอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่รีบ แล้วข้าจะรีบอะไร’
นางจะอดทนไม่โต้ตอบ
ทว่าเมื่อลองครุ่นคิด นางควรจะรีบจริงๆ จักรพรรดินีกับสวี่ชีอันกระทั่งตอนนี้ก็ยังบริสุทธิ์ไร้ราคี
นางบำเพ็ญคู่กับคนสกุลกสวี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงปากจะไม่ยอมรับ แต่ตัวนางเองก็รู้ว่าในใจมีเขาอยู่
คู่บำเพ็ญของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้สง่าจะแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไร
ดังนั้นลั่วอวี้เหิงจึงเอ่ย
“ไปสำนักโหราจารย์ ตามหาหญิงสาวที่สวี่ชีอันอยู่ด้วยที่นั่น แล้วบอกเรื่องงานเสกสมรสหนึ่งเดือนจากนี้ของสวี่ชีอันกับองค์หญิงหลินอัน”
แม้นางจะลงมือเองไม่ได้ ทว่าให้เทพดอกไม้ออกหน้าก็ได้นี่ เทพดอกไม้ทั้งทึ่มทั้งโง่ หลอกใช้ง่ายที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเทพดอกไม้หน้าตาสะสวย ไม่มีชายใดมองข้ามความไร้เหตุผลของนางได้
ลูกศิษย์อารามรัตนะไม่คลางแคลง จึงพยักหน้าพร้อมเอ่ย
“ศิษย์รับทราบ”
…
ผู้นำเต๋ามีคำสั่ง ลูกศิษย์จึงไม่กล้ารอช้า มุ่งตรงไปที่สำนักโหราจารย์ทันที ทว่าก็คว้าน้ำเหลว
อีกด้านหนึ่ง รถม้าธรรมดาคันหนึ่งหยุดลงที่จวนสกุลสวี่ หญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งถือชายกระโปรงกระโดดลงจากรถ แล้วเดินไปที่ประตูจวนอย่างเชื่องช้า
ทหารรักษาพระองค์อาวุธครบมือเฝ้าต้นทางอยู่นอกประตู
ฐานะปัจจุบันของจวนสกุลสวี่เปลี่ยนไปมาก เตรียมยอดฝีมือคุ้มกันทั้งในและนอกจวน ยังมีหน่วยรักษาการณ์ลับอย่างหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดักซุ่มอยู่ใกล้ๆ
มู่หนานจือเอ่ยกับทหารรักษาพระองค์ “เขาเชิญข้ามาพักที่จวนชั่วคราว”
รุ่งเช้าของวันนี้ในวังส่งคนมาบอก สวี่ชีอันไหว้วานให้จักรพรรดิฝากข้อความถึงนาง หวังว่านางจะย้ายออกมาจากสำนักโหราจารย์และไปพักอยู่ที่จวนสกุลสวี่ชั่วคราว
สำหรับมู่หนานจือ คนสกุลสวี่นี่กำลังเอาใจนางอยู่ก็ว่าได้ ถึงสำนักโหราจารย์จะดีเพียงใดก็เป็นเขตอิทธิพลของคนอื่น
แต่จวนสกุลสวี่เป็นบ้านของเขา
ทหารรักษาพระองค์ทั้งสองสบสายตา คนทางซ้ายเอ่ย
“ท่านโปรดรอสักครู่”
ก่อนจะรีบเข้าจวนแจ้งข่าว
แล้วกลับมาในเวลาอันสั้น เชิญมู่หนานจือเข้าไป
เมื่อตามทหารรักษาพระองค์ทะลุลานด้านนอก เดินผ่านระเบียงทางเดินอันคดเคี้ยว มู่หนานจือก็เห็นอาสะใภ้ในชุดกระโปรงสวยสดงดงาม รูปโฉมงามวิจิตรน่าประทับใจ
อาสะใภ้ก็เห็นหญิงสาวที่ทหารรักษาพระองค์พาเข้ามาเช่นกัน อาสะใภ้คิดว่ามันแปลก ‘หญิงสาวเช่นนี้ถูกตาต้องใจหลานชายของข้าได้อย่างไร’
หลังจากนางได้ยินว่ามีหญิงสาวมาบ้าน หลานชายที่อ้างตนว่าอาภัพเชิญมาเอง ความคิดแรกคือความเจ้าชู้ที่หลานชายไปก่อไว้ข้างนอกมาทวงถึงบ้าน ปฏิเสธไปคงจะไม่ดี จึงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในจวน
หลังจากมองหน้าตาของหญิงสาวชัดๆ อาสะใภ้ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ
ด้วยนิสัยเจ้าชู้และลามกของหลานชาย หญิงสาวที่เขาถูกใจจะต้องเป็นวัยแรกรุ่นและงดงามดุจดอกไม้
แต่หญิงสาวตรงหน้ารูปโฉมธรรมดา หน้าตาดาษดื่น นอกจากหน้าอกที่น่าภูมิใจและสะโพกผายที่ดูให้กำเนิดได้ดี นอกจากนั้นก็ไม่มีจุดเด่นอีก
อายุก็ดูไล่เลี่ยกับตน
ต้าหลางไม่ถูกใจผู้หญิงเช่นนี้แน่นอน
“เอ๋…”
อาสะใภ้มองสำรวจนางก่อนจะเอ่ย “ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือคนที่นั่งรถม้าของบ้านข้าไปดูพิธีต้าวฮวดที่สำนักโหราจารย์ด้วยกันในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธเมื่อตอนนั้น”
‘ยังใส่ร้ายหลิงอินว่าเป็นเด็กสาวของบ้านญาติอีกด้วย…’ อาสะใภ้พึมพำในใจอย่างเคียดแค้น
“เจ้ายังจำข้าได้สินะ!”
มู่หนานจือพยักหน้า ประหลาดใจกับความจำของอาสะใภ้เล็กน้อย นางมองห้องโถงด้านในไปรอบๆ ไม่นานนักก็ถูกกล้วยไม้เก้าดาราบนชั้นวางดึงดูด
อาสะใภ้พิจารณานางก่อนจะเอ่ยถาม
“หนิงเยี่ยนให้เจ้ามาหรือ”
“ข้ามาเองกระมัง”
พระชายานิสัยเสียเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด “หากไม่ใช่คำเชิญหน้าด้านของเขา ข้าคงไม่มาหรอก”
ไม่คิดว่าอาสะใภ้จะเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ เมื่อได้ยินก็ไม่มีความสุข
“เจ้าเลี้ยงดอกกล้วยไม้ไม่ดีเอาเสียเลย มันกระหายต้องการน้ำ มันดูแห้งเหี่ยว” มู่หนานจือเดินไปที่หน้าชั้นวางและลูบไล้กล้วยไม้เก้าดารา
“เอ๊ะ ใครให้เจ้าแตะมัน!” อาสะใภ้ขมวดคิ้วสวยทันที
กล้วยไม้เก้าดารากระถางนี้เป็นของรักของหวงของนาง ดอกไม้นี้ทนความหนาวได้ดี ดอกไม้จะบานเฉพาะในฤดูหนาวทั้งหมดเก้าดอก แต่ละดอกสีสันแตกต่างกัน สวยสดน่าประทับใจ อดีตถูกเรียกว่ากล้วยไม้เก้าดารา
ดอกไม้ชนิดนี้มีความเป็นไม้ประดับสูง เป็นสิ่งที่เหล่าขุนนางเรืองอำนาจรักมาก กล่าวกันว่าเริ่มแรกเผยแพร่ออกมาจากจวนของอ๋องสยบแดนเหนือ
นอกจากนี้ความล้ำค่าที่สุดของดอกไม้นี่คือมันปลูกยากทำให้มีจำนวนน้อย
กล้วยไม้เก้าดาราเป็นสิ่งที่หวางซือมู่บุตรสาวของอดีตสมุหราชเลขาธิการมอบให้อาสะใภ้เพื่อประจบว่าที่แม่สามี
อย่าว่าแต่มู่หนานจือเลย คนในบ้านก็ไม่ให้แตะ แม้แต่สวี่หลิงอินเด็กน้อยที่อาสะใภ้รักมากที่สุด แตะกี่ครั้งก็ฟาดเท่านั้น
อาสะใภ้ดูแลมันดีเป็นทุนเดิม ทว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้จู่ๆ ดอกไม้ก็เหี่ยวเฉา แล้วมันก็ไม่เคยบานอีก
“มันกระหายน้ำ”
มู่หนานจือย้ำอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่ามันกระหายน้ำ มันบอกเจ้าหรือ” อาสะใภ้เอ่ยฮึดฮัด
“กล้วยไม้เก้าดาราทนความหนาว ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย ห้าวันรดสักครั้งก็พอ”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงแห้งเหี่ยวล่ะ” มู่หนานจือชี้นิ้ววิจารณ์
อาสะใภ้เป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก่อนจะอธิบาย
“เพราะมันบอบบางน่ะสิ”
มู่หนานจือชี้เตาถ่านหัวสัตว์ในห้องโถง แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าเผาถ่านทุกวัน ภายในห้องก็ร้อน มันย่อมกระหายน้ำ แถมยังปลูกมันด้วยวิธีเดียวกับที่ปลูกนอกบ้านอีก ดอกไม้ดีๆ จึงถูกเจ้าเลี้ยงกลายเป็นเช่นนี้”
อาสะใภ้บันดาลโทสะ รู้สึกว่าตนถูกหักหน้าในศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ จึงเอ่ยอย่างเดือดดาล
“เจ้าจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับดอกไม้ เจ้าจะไปรู้อะไร!”
“รู้มากกว่าเจ้าแล้วกัน!” มู่หนานจือหนามยอกเอาหนามบ่ง
“ข้าทำให้มันบานตรงนี้ก็ยังได้”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำให้มันบานสินะ” อาสะใภ้เท้าเอวเอ่ยเย้ยหยัน
มู่หนานจือกลอกตาพร้อมเอ่ย
“หากข้าทำให้มันบานได้ เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สาว”
อาสะใภ้ฮึดฮัด “คำไหนคำนั้น!”
มู่หนานจือเป่าลมหายใจอันแผ่วเบาใส่กล้วยไม้เก้าดารา ปาฏิหาริย์บังเกิด กล้วยไม้เก้าดาราออกดอกตูมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บานสะพรั่งอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเขียวขจีประดับด้วยดอกไม้หลากสีสันทั้งเก้าดอก ช่างงดงามยิ่งนัก
ปากเล็กของอาสะใภ้อ้าเป็นทรงกลม สีหน้าแข็งทื่อ
มู่หนานจือเอ่ยอย่างแผ่วเบา
‘จากนี้ไปข้าก็กลายเป็นผู้อาวุโสของสวี่หนิงเยี่ยนแล้ว หากเขายังกล้าแตะต้องข้าอีกก็เนรคุณแล้ว’
…
ซินเจียงตอนใต้ วัดหนานฝ่า
แสงสว่างวาบบนลานจัตุรัสนอกเจดีย์ที่ปิดผนึก วานรขาวในชุดดำและชุดขาว พร้อมสวมขื่อคาและกุญแจมือโซ่ตรวนปรากฏตัวขึ้น
“ใครน่ะ”
ทหารปีศาจที่ลาดตระเวนบนลานจัตุรัสพบตัวพวกเขาแล้ว มือถืออาวุธ ตะโกนพร้อมเข้ามาใกล้
หลังจากเข้าไปใกล้จึงมองเห็นหน้าตาของผู้มาเยือนชัดเจน เหล่าทหารปีศาจพากันโค้งคำนับ ท่าทางเปลี่ยนไปอย่างมาก
“พบกับอีกแล้ว ฆ้องเงินสวี่”
สวี่ชีอันพยักหน้าน้อยๆ หลังจากพ่นลมหายใจไม่กี่ครั้ง จิ้งจอกเก้าหางก็เหาะเหินมาและปรากฏตัวบนลานจัตุรัส
นางมีผมสีเงินเส้นสวยและหูจิ้งจอกขนปุกปุยบนศีรษะ สวมผ้าคลุมหน้าบดบังใบหน้าอันงามล่มเมืองเอาไว้
ครึ่งบนเป็นชุดเกาะอกพอดีตัว ครึ่งล่างเป็นกระโปรงสั้นหนังสัตว์ รวมถึงเสื้อขนสัตว์บนรอบเอว ดูคล้ายกับกระโปรงผ่าหน้า
หางจิ้งจอกทั้งเก้าด้านหลังราวกับมีชีวิต คล้ายกับนกยูงรำแพนในบางครั้ง สะบัดไปคนละทิศทางในบางครา งดงามไร้ที่ติ
“เกิดอะไรขึ้นกับกระบี่บนศีรษะเจ้า”
ทันทีที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพบหน้า สายตาก็จับจ้องด้ามกระบี่บนกะโหลกศีรษะของสวี่ชีอัน
“ความรุนแรงในครอบครัวน่ะ…”
เขาโบกมือปัด บ่งบอกว่าไม่อยากพูดอะไรมาก
“เจ้ามาเพื่อเคลื่อนย้ายกำลังเสริมใช่หรือไม่ ข้าไม่มีเรี่ยวแรงวิ่งไปที่ราบกลางเพื่อทะเลาะแทนเจ้าหรอก”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกะพริบตาสวย แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยถาม
เสียงอ่อนหวานน่าดึงดูดพร้อมด้วยเสน่ห์แรงที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด
“ท่านตกข่าวไปมาก ข้าเพิ่งจะเลื่อนเป็นขั้นสองและทะเลาะกับสวี่ผิงเฟิงมาแล้ว” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางชะงัก จับจ้องสวี่ชีอันอยู่นาน ก่อนจะหัวเราะคิกคัก
“ทำได้ดี”
สีหน้าราบเรียบเหลือเกิน นี่จะให้ข้าโอ้อวดต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร…สวี่ชีอันแขวะพร้อมเอ่ย
“ข้ามาส่งแขนขวาของเสินซู…เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เพิ่งจะทะเลาะกับกว่างเสียนและหลิวหลีมา จึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โชคดีที่หลิวหลีถูกท่านโหราจารย์ทำร้ายจนสาหัส ทำลายบ่อเกิด มิอาจแสดงพลังทั้งหมดได้ มิเช่นนั้นข้าคงบาดเจ็บสาหัสกว่านี้”
ดูเหมือนคลื่นลมทางฝั่งซินเจียงตอนใต้ก็ไม่ได้สงบ…สายตาของสวี่ชีอันตกไปอยู่บนเจดีย์ที่ปิดผนึก
“ไต้ซือเสินซูไม่มีปัญหาสินะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเบ้ปากและมองบนใส่เขา
“ขั้นสุดยอดไม่ออกมา แล้วใครจะทำร้ายเขาได้เล่า เจ้ามาพอดี ความคิดชั่วร้ายและความชอบสงครามที่ฝังอยู่ในกระดูกของเสินซูควบคุมได้ยากจริงๆ แขนขวาเป็นพุทธภาวะของเขา หลังจากผสานรวมกับวิญญาณในแขนขวา เสินซูก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม”
ขณะที่กำลังกล่าว ประตูใหญ่ของเจดีย์ที่ปิดผนึกก็เปิดออกดัง ‘โครมคราม’ เสินซูที่สวมเพียงกางเกงขายาวสีดำและเปลือยท่อนบนเดินออกมา
ทั่วร่างของเขาดำสนิท กล้ามเนื้อเป็นมัดราวกับรูปแกะสลัก บริเวณคอว่างเปล่า
ทันทีที่ร่างกายของเสินซูปรากฏตัว แขนขวาภายในร่างของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนไปทันใด โครงร่างของแขนขวายื่นออกมาจากหน้าอกของเขา โครงร่างนูนขึ้นเล็กน้อย แยกจากเลือดเนื้อทีละน้อย หมายจะเจาะออกมาจากในร่างของสวี่ชีอัน
รู้สึกเจ็บแฮะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความเจ็บปวดคล้ายกับร่างกายจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
แขนขวาของเสินซูเก็บตัวอยู่ภายในร่างมานานแรมปี แล้วผสานเข้ากับเลือดเนื้อของเขานานแล้ว บัดนี้เมื่อหลุดออกมาทำให้สวี่ชีอันรู้สึกคล้ายกับมือเท้าถูกฉีกโดยไม่ตั้งตัว
แขนขวาสีดำสนิท ‘ทำลายร่างออกมา’ ในช่วงเวลาอันสั้น แล้วลอยไปที่ร่างของเสินซู
“ไม่ ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าคนจอมปลอมเช่นนี้”
พลังปราณระเบิดดัง ‘ตูม’ แขนขวาลอยออกไปไกลลับสายตา
สวี่ชีอันตะลึงอยู่กับที่ คิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันทีที่ความคิดปรากฏ ลำแสงก็ทะยานเข้ามา แขนขวาลอยกลับมา ประทัดจรวดพุ่งใส่มือซ้าย พร้อมเสียงของวิญญาณแขนขวา
“เรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!”
บัดนี้ขาซ้ายของเสินซูลอยขึ้นและโจมตีแขนขวาที่ลอยมาอย่างแม่นยำ แล้วเตะมันลอยไปอีกครั้ง
“ข้าก็เกลียดเจ้าคนจอมปลอมเช่นนี้” ขาซ้ายเอ่ยเสียงดัง
“เจ้าทั้งสองไม่รู้จักคุณค่าผู้อื่นเอาเสียเลย”
ลำตัวของเสินซูแยกออกจากแขนซ้ายและขาทั้งสองข้างเอง พลังปราณเกาะตัวกันเป็นแขนขาทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นนั้นก็สู้กันเถอะ”
ลำตัวมีนิสัยอ่อนโยนเหมือนกับแขนขวา แต่แขนซ้ายเต็มไปด้วยเจตนาร้าย ขาทั้งสองก็ดื้อรั้นและชอบทำสงคราม
ดังนั้นลำตัว มือขวา มือซ้าย และขาทั้งสองจึงเริ่มสู้กัน ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเม้มปากเล็กสีสดอันอวบอิ่ม ไม่ให้มันกระตุก สูดหายใจลึก จักรพรรดินีหมื่นปีศาจผู้นี้เอ่ยอย่างไร้อารมณ์
“ให้พวกมันสู้เถอะ สู้เสร็จจะได้สามัคคีกัน ฮึ ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่คิดเห็นไม่เหมือนกัน พวกเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่คิดเห็นไม่เหมือนกัน เหมือนข้าทุกครั้งเวลาที่ไร้ความปรารถนาก็จะเกลียดตัวเองที่ก่อนหน้านี้มากตัณหาไม่ถนอมร่างกาย…สวี่ชีอันพยักหน้า พอเข้าใจสภาพของเสินซูในตอนนี้แล้ว
“มีเรื่องต้องถามองค์หญิงอยู่พอดี”
พวกเขาออกจากเจดีย์ที่ปิดผนึกและมาที่ตำหนักอันโออ่าทางทิศใต้ของวัดหนานฝ่า
แสงไฟภายในตำหนักสว่างไสว ปูด้วยพรมที่ปักอย่างประณีต จัดวางไม้กระถางและเครื่องหยกเงินทอง เสาที่พยุงหลังคาโดมห่อหุ้มด้วยเปลวทองและชิ้นหยก
ปีศาจจิ้งจอกคนงามในชุดตัวบางยืนรับใช้อยู่ในตำหนัก แต่ละคนรูปโฉมงดงาม กลิ่นหอมหวนมากชีวิตชีวา
สวี่ชีอันยังมองเห็นชิงจีที่บุคลิกเยือกเย็นราวกับบุตรสาวจากตระกูลใหญ่ นางกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เปิดฎีกาอ่านเพื่อจัดการกิจการของอาณาจักรหมื่นปีศาจ
ชิงจีเงยหน้าเหลือบมองสวี่ชีอัน ซุนเสวียนจี และผู้พิทักษ์หยวนด้านในก็ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
สุดทางของพรมแดงเป็นเตียงกว้างของคนงาม จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน หางจิ้งจอกอันงดงามปุกปุยทั้งเก้าสะบัดอย่างช้าๆ
“ใครเป็นคนถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายบนร่างเจ้า”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถามคำถามที่อยากรู้มานาน เมื่อครู่ก็อดใจไม่ถาม
“พี่ชายของท่านอย่างไรล่ะ” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าเทพธิดาอันไร้ที่ติของจิ้งจอกเก้าหางชะงัก ก่อนจะถามกลับอย่างงุนงง
“อาซูหลัวหรือ”
นางเป็นจิ้งจอกที่ปราดเปรื่อง ใคร่ครวญในใจเล็กน้อย ก่อนจะคิดไปถึงเรื่องที่อาซูหลัวอ่อนข้อให้ครั้งก่อน
ทว่านางไม่รู้จุดประสงค์ที่อาซูหลัวทำเช่นนี้
“เพราะอาซูหลัวเป็นหมายเลขแปดของพรรคฟ้าดิน” สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาชู
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มลับนี้มาบ้าง รู้ว่าเป็นกลุ่มที่นักพรตนิกายปฐพีสร้างขึ้น กลุ่มที่ใช้หนังสือปฐพีเป็นสัญลักษณ์
สวี่ชีอันอธิบายเหตุผลง่ายๆ เมื่อจิ้งจอกเก้าหางพยักหน้าเล็กน้อยบ่งบอกว่าเข้าใจ เขาก็ถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“วันนี้มาที่นี่นอกจากส่งแขนขวาของไต้ซือเสินซูให้ตามสัญญา ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง!”
“วิธีเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งหรือ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเลิกคิ้ว
“องค์หญิงช่างปราดเปรื่องจริงๆ” สวี่ชีอันยกยิ้มเยินยอ
“นี่ไม่ได้คาดเดายากอะไร หากเจ้าคิดจะพยายามพลิกสถานการณ์กอบกู้ต้าฟ่ง พลังบำเพ็ญขั้นสองไม่เพียงพอจริงๆ เจียหลัวซู่เป็นคนโดดเด่นในบรรดาขั้นหนึ่ง ไป๋ตี้แสดงพลังของขั้นหนึ่งออกมาแล้ว ลำพังเพียงสองคนนี้ก็พอที่จะทำให้เจ้าปวดหัวแล้ว ยิ่งกว่านั้นร่างแท้ของไป๋ตี้เป็นทายาทเทพมารบรรพกาล…ต้าฮวง! มันลอบวางแผนอะไรอยู่ พวกเรายากจะหยั่งรู้ สรุปพลังขั้นสองของเจ้าในตอนนี้มิอาจต่อต้านอวิ๋นโจวได้ การเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า”
จิ้งจอกเก้าหางถอนหายใจ
“ทว่าข้าแนะนำอะไรเจ้าไม่ได้”
สวี่ชีอันได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยอย่างสับสน
“องค์หญิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เขาไม่เชื่อว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่รู้วิธีเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง อย่าว่าแต่อดีตเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจเป็นขั้นหนึ่งเลย
จิ้งจอกเก้าหางตรงหน้าก็เป็นระดับกลางหรือจุดสูงสุดของขั้นสอง ก้าวต่อไปคือเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง
แสวงหาการเลื่อนขั้นเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต จิ้งจอกเก้าหางจะต้องรู้คุณสมบัติที่ถูกต้องในการเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งแน่นอน
“ระบบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและจอมยุทธ์ใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่คนหนึ่งฝึกพลังเหนือธรรมชาติจากพรสวรรค์ อีกคนหนึ่งฝึก ‘จิต’ นอกจากนี้แทบจะไม่ต่างกัน ทว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจบริสุทธิ์”
ปีศาจสาวผมสีเงินถอนหายใจ
“พวกเราเป็นทายาทของเทพมาร เทพมารต่างจากระบบขั้นสูงในปัจจุบัน เอาแบบนี้ดีกว่า จิตวิญญาณเป็นรากฐานของทายาทเทพมาร สำหรับข้าขอเพียงจิตวิญญาณฟื้นตัวสมบูรณ์ ผสานรวมกายเนื้อของข้ากับจิตเดิม ข้าก็จะก้าวสู่ขั้นหนึ่งได้ ดังนั้นหากเจ้าจะถามว่าข้าก้าวสู่ขั้นหนึ่งได้อย่างไร ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า ตราบใดที่มีจิตวิญญาณของเทพมารก็พอแล้ว”
นะ นี่ก็เหมือนกับมู่หนานจือ นางไม่ต้องบำเพ็ญเพียร ตราบใดที่จิตวิญญาณฟื้นตัวก็ย่อมหวนกลับสู่จุดสูงสุดได้เป็นธรรมดา…สวี่ชีอันผิดหวังชั่วขณะ
“เช่นนั้น ไต้ซือเสินซูรู้วิธีเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งหรือไม่”
สวี่ชีอันถามอย่างไม่เต็มใจ
“อาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมเอ่ย
“หลังจากพวกเขาสู้เสร็จ เจ้าค่อยถามก็แล้วกัน”
ภายในตำหนักเงียบสงัดในทันใด
ผู้พิทักษ์หยวนปรายตามองสวี่ชีอันและชำเลืองมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางด้วยใบหน้าผิดหวัง
เพราะพวกเขาจงใจปิดความคิด พลังเหนือธรรมชาติจากพรสวรรค์ของผู้พิทักษ์หยวนก็มิอาจฝืนสอดแนมความคิดของเหนือมนุษย์ได้
‘ดูเหมือนจากนี้จะสอดแนมความในใจของฆ้องเงินสวี่ไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว…’ ผู้พิทักษ์หยวนคิดด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
ปีศาจสาวผมสีเงินจ้องมองวานรขาว ก่อนจะเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เอ๋ วานรตัวนี้ยังไม่ตาย เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าช่างใจกว้างเสียจริง”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ความตายอยู่ไม่ไกลแล้ว”
ผู้พิทักษ์หยวนยกขื่อที่สวมอยู่บนคออันเป็นสัญลักษณ์
หลังจากครึ่งชั่วยาม พลังปราณแปรปรวนอันบ้าคลั่งด้านนอกก็หยุดลง ทุกอย่างเงียบสงบ
ทุกคนพากันออกจากตำหนักและมาที่นอกเจดีย์ที่ปิดผนึก
เสินซูไร้ศีรษะยืนทะนงอยู่บนลานจัตุรัส มือเท้าครบสมบูรณ์ ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาแล้ว พวกมันเลือกประนีประนอมกับตนเอง
สวี่ชีอันรีบรุดหน้าเข้ามา คารวะพร้อมเอ่ย
“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยมีเรื่องขอคำแนะนำ”
เสินซูเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยอย่างหดหู่
“จิ่วโจวไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งนานเพียงใดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอะไร ก่อนที่ข้าจะตอบ อยากให้เจ้าพิจารณาคำถามข้อหนึ่งเสียก่อน ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างข้ากับจอมยุทธ์คนอื่นคืออะไร”
………………………………………
Comments