ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 770 รบเดี่ยวกับขั้นหนึ่ง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 770 รบเดี่ยวกับขั้นหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 770 รบเดี่ยวกับขั้นหนึ่ง

Ink Stone_Fantasy

ถือโอกาสที่เจียหลัวซู่ถูกลูกระเบิดอัสนีวารีของไป๋ตี้โจมตีจนร่นถอยนั้น อาซูหลัวอ้าปากพ่นกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง ‘ฟู่’ กระดาษเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน

ขณะที่เจียหลัวซู่กำลังซวนเซอยู่นั้น เกิดเสียงดัง ‘ตู้ม’ ตรงหน้าอก มีรอยเว้าลึกลงไปแต่ไม่สามารถฉีกทำลายกายาจิตเทพอารักษ์ได้

วิชาสาปสังหารของพ่อมด!

อาซูหลัวส่งคืนส่วนเสียหายให้กับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งผู้นี้ น่าเสียดายวิชาที่ลัทธิขงจื๊อบันทึกไว้นี้แตกต่างจากดั้งเดิม อีกทั้งวิชาสาปสังหารที่ใช้วิธีการส่งคืนความเสียหายนั้น มีอานุภาพห่างชั้นจากใช้กายเนื้อของศัตรูเป็นสื่อนำมาก

สองรูปแบบของวิชาสาปสังหารคือ

ใช้สิ่งของส่วนตัวของศัตรูเป็นสื่อนำ และส่งคืนบาดแผลของตัวเองเป็นค่าตอบแทน

แบบที่สองคล้ายกับหยกสลายของสวี่ชีอันเล็กน้อย แต่ก็แตกต่างกัน ประการแรกคืออานุภาพของมันไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ประการที่สอง วิธีส่งคืนของวิชาสาปสังหารค่อนข้างพุ่งเป้าโจมตีไปที่หัวใจกับจิตดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว

แต่หยกสลายของสวี่ชีอันใช้วิธีแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

หลังจากใช้วิธีสาปสังหารเพื่อยืดเวลาอีกครั้ง แขนทั้งสองของอาซูหลัวที่ขาดไปก็บินกลับมาประสานกันที่รอยขาดเอง นี่มันใช้พลังน้อยกว่าการงอกแขนใหม่มาก

พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามที่ยืดเยื้อในสงครามชายแดนตอนเหนือ

เจียหลัวซู่ก้มมองรอยเว้าตรงหน้าอกอย่างไม่ใส่ใจมากนัก เมื่อเทียบกันแล้ว อาการบาดเจ็บภายนอกนี้ไม่นับเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ อาการบาดเจ็บที่เกิดจากลูกระเบิดอัสนีวารีกลับสาหัสยิ่งกว่า ซึ่งทำให้เขาแสบร้อนด้วยความเจ็บปวด

ไป๋ตี้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งเหมือนกัน พอโจมตีด้วยพลังสะสม แม้ไม่ได้ทำลายการป้องกันของร่างธรรมวชิระ แต่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่รุนแรงได้

เจียหลัวซู่มีประสบการณ์ต่อสู้มาเป็นร้อย แม้ไม่เคยแลกมือกับนักพรตนิกายปฐพีมาก่อน ทั้งยังไม่เคยได้รับการชี้แนะจากอานุภาพแห่งพลังบุญกุศลของนิกายปฐพี แต่ก็ไม่ปิดกั้นการรับรู้ว่าเกิดปัญหากับ ‘ดวงชะตา’ เขาเล็กน้อย

สำนักพุทธไม่มีร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมที่ร้อยภูตผีปีศาจไม่กล้ำกรายอย่างลัทธิขงจื๊อ และก็ไม่มี ‘ทองอุไรทะลวงนับหมื่นวรยุทธ์’ ด้วย ต้นกำเนิดของวิชาฉานคือร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีซึ่งสามารถป้องกันโชคร้ายได้

แต่หากแสดงร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีล่ะก็ ร่างเดิมของเขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้

หลังจากใคร่ครวญระยะเวลาสั้นๆ แล้ว การตัดสินใจของเจียหลัวซู่คือไม่สนใจแล้ว

ถึงแม้โชคร้ายรัดพันตัวจะเป็นเรื่องลำบาก แต่ก็มีขีดจำกัด ด้วยพลังกดอัดของขั้นหนึ่งที่มีต่อขั้นสอง อย่างมากโชคร้ายก็นำพาความลำบากมาเล็กน้อย ในเมื่อไม่มีวิธีการกำจัดออกไปก็ไม่ต้องสนใจมัน

เข่าทั้งคู่ของเจียหลัวซู่จมลงเล็กน้อย จากนั้นเกิดเสียงดัง ‘โครมคราม’ พื้นที่ราบใต้เท้าทรุดลงฉับพลัน เขากลายเป็นแสงสีทองพุ่งใส่อาซูหลัว

อาซูหลัวพ่นดาบยาวสีทองเข้มออกมาเล่มหนึ่ง และกุมมันไว้ในมือ

ดาบไท่ผิง!

ของวิเศษครึ่งขั้นของสวี่ชีอันชิ้นนี้ เขาให้อาซูหลัวยืม

ด้วยความแหลมคมของดาบไท่ผิงในตอนนี้ สามารถผ่ากายเนื้อของจอมยุทธ์ขั้นสองได้ แม้จะบอกว่าเมื่อใช้กับพลังเทพวชิระของเจียหลัวซู่ ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันได้ภายในดาบเดียว แต่แข็งแกร่งกว่าการใช้กำปั้นของอาซูหลัว

ความแตกต่างของระดับขั้นไม่อาจเสริมกันได้ แต่สามารถใช้ของวิเศษ วรยุทธ์ และสิ่งของภายนอกอื่นๆ มาชดเชยได้อย่างเต็มที่

กงล้อแสงสว่างพร่างพรายอ่อนแสงลง มันพุ่งผ่านแขนไปยังปลายดาบ และเพิ่มแสงเจิดจ้าให้ดาบไท่ผิงอีกครั้ง

พอเห็นแสงสีทองปะทะเข้ามาตรงหน้า อาซูหลัวก็ย่อขาแล้วหันไปด้านข้าง ดาบไท่ผิงในมือเปล่งแสงเจิดจ้าลงบนตัวฝ่ายตรงข้าม

เจียหลัวซู่ขมวดคิ้วทันที เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อน

แม้ดาบเล่มนี้จะทำลายร่างธรรมวชิระของเขาไม่ได้ แต่ก็ทำให้เขารับรู้ถึงการคุกคามของอาวุธที่เข้ามาในร่าง

จู่ๆ แสงสีทองที่เจียหลัวซู่กลายร่างมาก็หยุดลง มือขวาจับข้อมือของอาซูหลัวไว้พยายามจะแย่งดาบไท่ผิงไป

อาซูหลัวคลายฝ่ามือลง ยื่นดาบไปที่มือซ้าย ปลายดาบที่สว่างพร่างพรายชี้ไปที่ดวงตาทั้งคู่ของเจียหลัวซู่

เจียหลัวซู่เอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลบคมดาบ เข่ากระแทกไปที่ท้องน้อยของอาซูหลัวอย่างรุนแรง

พลังปราณทะลุผ่านแผ่นหลังอาซูหลัว เกิดเสียงระเบิดดังตู้ม

เดิมทีครั้งนี้สามารถกระแทกอาซูหลัวกระเด็นออกไปได้ แต่พรของจ้าวโส่วที่ว่า ‘หนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิอาจกรายผ่าน’ ยังคงอยู่ ทำให้อาซูหลัวองอาจห้าวหาญกว่าที่ผ่านมา

เจียหลัวซู่หัวเราะเยือกเย็น พอดีดเอว ร่างที่เอนไปด้านหลังก็ถูกดึงกลับมา ศีรษะกระแทกใส่หน้าอาซูหลัวอย่างโหดเหี้ยม

พลังปราณในรูปแบบระลอกคลื่นระเบิดตัวฉับพลัน อาซูหลัวสูญเสียสติสัมปชัญญะในพริบตา และกระเด็นออกไปราวกับถุงกระสอบทราย

นักบวชเต๋าจินเหลียนออกแรงพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจก่อตัวเป็น ‘ร่างวายุ’ ที่ด้านหลังอาซูหลัว และห่อหุ้มอาซูหลัวก่อนทำการเคลื่อนย้ายเพื่อหลบหลีกการไล่สังหารของเจียหลัวซู่

คนทั้งสี่คนจากทั้งสองฝ่ายต่างแสดงพลังพิเศษ เปิดการสู้รบอย่างดุเดือดรุนแรง โดยที่อาซูหลัวเผชิญหน้ากับเจียหลัวซู่โดยตรง ต้านทานพลังกดดันไว้ จ้าวโส่วกับนักบวชเต๋าจินเหลียนคอยช่วยเหลือ

เจียหลัวซู่มีพรของร่างธรรมวชิระ ลักษณะท่าทางดุดัน ไล่ล่าและต่อสู้อย่างฮึกเหิม พวกอาซูหลัวทั้งสามก็รับมืออย่างระมัดระวัง ไม่กล้าทำผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย

คนแรกสามารถทำผิดได้อย่างเต็มที่ ส่วนคนหลังมีอัตราความผิดพลาดเป็นศูนย์

เจียหลัวซู่ต่อยอาซูหลัวกระเด็นในกำปั้นเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้สะสมพลัง เขากลายเป็นแสงสีทองพุ่งใส่นักบวชเต๋าจินเหลียนที่อยู่อีกด้าน

เป้าหมายของเจียหลัวซู่ชัดเจน อาซูหลัวแข็งแกร่งกว่าสุดยอดจอมยุทธ์ขั้นสองทั่วไป มูลเหตุมาจากระบบการบำเพ็ญ การป้องกันแข็งแกร่ง พลังชีวิตเต็มเปี่ยม แม้แต่เขาก็ไม่อาจสังหารคนทรยศผู้นี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้

และจ้าวโส่วคือระบบของลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อสามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้ตามใจ ซึ่งจัดการได้ยากสุด อีกทั้งยังมีของวิเศษสองชิ้นอย่างมงกุฎแห่งปราชญ์เอกและดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือ ระดับของจ้าวโส่วอาจไม่ด้อยไปกว่าอาซูหลัว

ดังนั้นทั้งสามคนนี้ นักพรตเฒ่าจากนิกายปฐพีสามารถจัดการได้ง่ายสุด

พื้นดินใต้เท้านักบวชเต๋าจินเหลียนโป่งขึ้นมา มันก่อตัวเป็นมนุษย์ยักษ์สวมเกราะศิลาที่สูงสามจั้ง แขนทั้งสองวางไขว้ไว้กลางอก เพื่อทำท่าป้องกัน

ร่างปฐพี!

‘ปฐพี วายุ วารี อัคคี’ สี่ยอดร่างธรรมสำนักเต๋านั้น ร่างปฐพีมีชื่อเสียงในเรื่องการป้องกัน นักบวชเต๋าจินเหลียนมีสุดยอดบุคลิกขั้นสอง พลังป้องกันของร่างปฐพีที่แสดงออกมาต้องแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสาม ซึ่งเปรียบเสมือนขั้นสองได้

‘เพล้ง!’

ร่างปฐพีระเบิดตัวภายใต้กำปั้นเหล็กของเจียหลัวซู่ หน้าอกของนักบวชเต๋าจินเหลียนเหมือนถูกกระแทก เลือดสดๆ ทะลักออกมา ลำตัวโค้งงอราวกับกุ้งและกระเด็นออกไป

เจียหลัวซู่ถือโอกาสรุกไล่ไปติดๆ ในขณะที่ชนะ สำหรับขั้นสูงที่ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์แล้ว นี่เท่ากับการประกาศความตาย (ของกายเนื้อ)

จ้าวโส่วระบัดแขนเสื้ออย่างแรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“ถอยออกไปสองร้อยจั้ง!”

นักบวชเต๋าจินเหลียนหายตัวในทันที ตอนนี้อยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง ซึ่งหลบเลี่ยงจุดจบของการถูกทำลายกายเนื้อได้อย่างหวุดหวิด

จ้าวโส่วไม่ได้เลือกให้เจียหลัวซู่ถอยออกไปสองร้อยจั้ง แต่กลับส่งนักบวชเต๋าจินเหลียนไปยังสถานที่ปลอดภัยที่อยู่ตรงกันข้าม ข้อดีคือของการทำเช่นนี้คือ การแว้งกัดของลั่นประกาศิตจะเบาลงมาก

และบรรลุผลลัพธ์ได้เหมือนกัน

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่คนหนึ่ง ควรรู้ว่าจะโอ้อวดได้อย่างไร

หลังจากส่งนักบวชเต๋าจินเหลียนไปแล้ว จ้าวโส่วก็หยิบมงกุฎขงจื๊อออกมาและกล่าวเสียงทุ้ม

“ดาบนี้ต้องโดน!”

เขายื่นดาบสลักในมือออกไปเบาๆ ในระหว่างนั้น สีน้ำมันสีทองก็เปล่งประกายระหว่างหน้าผาก และปกคลุมทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ทำให้กายาจิตของเขาบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ขั้นสามชั่วคราว

ดาบในมือของจ้าวโส่วทะลวงขีดจำกัดของมิติ ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แทงไปที่หน้าอกเจียหลัวซู่

เจียหลัวซู่รู้ดีว่าของวิเศษชิ้นนี้น่ากลัวมาก มือทั้งคู่ทำสัญลักษณ์มืออย่างรวดเร็ว ตั้งแต่แลกมือกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี

แต่ช่วงเวลานี้พลันมีเมฆดำพวยพุ่งบนท้องฟ้า แท่งสายฟ้าขนาดเท่าถังน้ำฟาดใส่เจียหลัวซู่พอดี

ฟาดจนร่างของเขาเกิดอาการชาและแข็งทื่อ

สัญลักษณ์มือยังทำไม่สำเร็จ

นี่ไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา นี่คือเคราะห์สวรรค์ของลั่วอวี้เหิง

แต่ไม่รู้ทำไมถึงผ่าผิดคนได้

“ฟู่!”

เกราะป้องกันร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรียังไม่ได้สำแดงออกมา ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ก็แทงเข้าหน้าอกเจียหลัวซู่ ทำลายกายาจิตเทพอารักษ์ เลือดสดๆ สีทองเข้มไหลทะลัก

หลังจากสำเร็จไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว จ้าวโส่วเก็บดาบทันที ดูเหมือนไม่กล้าทำร้ายเจียหลัวซู่อีก

ครู่ต่อมา ช่องว่างระหว่างคิ้วของเขาแตกร้าว เลือดไหลราวกับถูกกรอก มงกุฎขงจื๊อและดาบสลักที่มีแสงแจ่มชัดมืดลงไปมาก

การแว้งกัดของลั่นประกาศิตนั้น ตามผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ความแรงของการแว้งกัดก็แตกต่างกันไปด้วย

อย่าดูที่ว่าปกติจ้าวโส่วเป็นคนปากเก่ง อยู่ดีๆ ก็ร่นถอยไปหลายจั้ง หรือเพิ่มบัฟให้เพื่อนร่วมทีมอย่างบ้าคลั่ง แต่ทั้งหมดนี้ถ้าไม่ใช่ส่งผลกระทบทางอ้อม ก็สร้างปัญหาที่จัดการได้ยาก แต่ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้โดยตรง

ดังนั้นการแว้งกัดจึงเบา

แต่ครั้งนี้แตกต่างกัน ครั้งนี้เขาใช้พลังของลั่นประกาศิตโดยตรง ใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แทงทำร้ายเจียหลัวซู่

หากไม่มีมงกุฎขงจื๊อกับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยต้านทานไว้ ตอนนี้จ้าวโส่วจะถูกแว้งกัดรุนแรงมากขึ้น

ห่างออกไปไม่ไกล นักบวชเต๋าจินเหลียนกลืนโอสถรักษาบาดแผลลงไป กระดูกหน้าอกที่แตกหักกับอวัยวะภายในที่เสียหายค่อยๆ สมานกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อาตมาเป็นผู้มีโชควาสนา ทำร้ายอาตมาจะถูกสวรรค์ประณาม”

เจียหลัวซู่ก้มหน้ากดบาดแผลที่ทะลุถึงหัวใจไว้ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดมาก

แม้อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่อาจคุกคามชีวิตเขาได้ แต่พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจดึงออกในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้บาดแผลสมานกันไม่ได้

นี่หมายความว่ากายาจิตเทพอารักษ์ของเขาจะมีจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิต ไม่มีช่องโหว่ที่จะโจมตีได้อีก

พลังและการป้องกันคือต้นทุนที่ภาคภูมิใจของเจียหลัวซู่ในจิ่วโจว การป้องกันเกิดช่องโหว่จะส่งผลให้พลังต่อสู้ลดลง

ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ที่อยู่ทางต้าฟ่งจะยิ้มอยู่ในใจ

เคราะห์อัสนีเมื่อครู่ไม่ได้ผ่าผิดคน ที่ต้องการผ่าก็คือเจียหลัวซู่

ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนที่วางไว้

ตอนที่อยู่ยงโจวในวันนั้น ระดับเหนือมนุษย์รบกันนัวเนีย สวี่ชีอัน โค่วหยางโจวและอาซูหลัว จอมยุทธ์ขั้นสองสามคนถึงพอฝืนต้านทานเจียหลัวซู่ได้

หลังจากเสร็จเรื่องนี้ สวี่ชีอันก็ทำการวิเคราะห์ ค้นพบว่ามูลเหตุคือทั้งสามต่างก็เป็นระบบเดียวกัน หรือระบบที่ใกล้เคียงกัน และคู่ต่อสู้ก็มาจากอาณาจักรเดียวกัน

พูดง่ายๆ ก็คือพวกสวี่ชีอันทั้งสามเชี่ยวชาญพลังปราณ ประจัญบาน และป้องกัน แต่ต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ไหนเลยจะแข็งแกร่งเท่าขั้นหนึ่งอย่างเจียหลัวซู่

นี่เลยก่อให้เกิดการกดอัดของช่องว่างในระดับขั้นของระบบเดียวกัน

ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ในต้าฟ่งยิ่งคิดยิ่งปวดร้าวใจ และรวมตัวเรียงอันดับกันใหม่ ค้นพบว่าหากเปลี่ยนระบบของคนสามคนในกลุ่ม โดยให้จอมยุทธ์ขั้นสองชั้นยอดเป็นผู้นำการต่อสู้ ให้ขั้นสองอีกสองคนของระบบอื่นเป็นตัวช่วย

ผลลัพธ์จะแข็งแกร่งกว่าการร่วมมือของขั้นสองในระบบเดียวกันมาก

เพราะในระหว่างระบบจะมีการควบคุมกัน อีกทั้งแต่ละระบบต่างก็มีข้อได้เปรียบของตัวเอง วิธีการควบคุมศัตรูก็จะมีมากขึ้น อัตราการชนะก็จะสูงยิ่งขึ้น

ก็เหมือนกับการทำการตัดดวงของนิกายปฐพี เจียหลัวซู่ไม่มีวิธีการใดๆ เลย

และข้อบัญญัติของสำนักพุทธก็ถูกร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมและแก่นปราณของลัทธิขงจื๊อควบคุม

นี่คือสิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นสองสามคนไม่สามารถทำได้เลย

แน่นอนว่าอาซูหลัว นักบวชเต๋าจินเหลียน และจ้าวโส่วยังคงเอาชนะพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้ยาก แต่แค่พวกเขาสามารถรัดพันเอาไว้ได้ สามารถถ่วงเวลาไว้ได้ มีการตอบโต้ไปมา ไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามแขวนตีอยู่ฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว

“ยุทธวิธีรบของพวกเจ้าชุดนี้ หากอยากสำเร็จล่ะก็ ที่สำคัญสุดคือเจ้าสามารถต้านทานการบุกโจมตีของข้าได้หรือไม่”

ไป๋ตี้กวาดสายตาดูคนทั้งสี่ที่โรมรันพันตูอยู่ไกลๆ และมองดูลั่วอวี้เหิงที่อยู่ท่ามกลางเคราะห์อัสนีทีหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่บนตัวสวี่ชีอันที่มีคราบเลือดเต็มตัว

“จนถึงตอนนี้ ข้าใช้พลังไปแค่ห้าส่วน เจ้าก็ไม่ไหวแล้ว”

มันรู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ผู้นี้มีความฉลาดเล็กน้อย

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่สัมบูรณ์ เรื่องสติปัญญาไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรแก่การกล่าวถึง

ก็เหมือนกับที่มันพูด หากอยากให้ยุทธวิธีรบชุดนี้สำเร็จ สำคัญสุดคือสวี่ชีอันมีสิทธิ์ช่วงชิงกับทายาทเทพมารขั้นหนึ่งหรือไม่

ไป๋ตี้ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ ไม่มีพลังของลางสังหรณ์วิกฤต ไม่มีพลังสลายแรง แต่ทายาทเทพมารมีกายเนื้อแข็งแกร่งแต่กำเนิด ความเร็วและพลังไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ระดับขั้นเดียวกัน

อีกทั้งพรสวรรค์ในการสังหารของพลังพิเศษนั้นมีอานุภาพยิ่งใหญ่มาก

มันแค่ใช้ลูกระเบิดอัสนีวารีสามลูก ก็ทำให้กายเนื้อของชายหนุ่มตรงหน้าแหลกสลายได้

พอสวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ บาดแผลไหม้เกรียมที่ปกคลุมเต็มร่างก็หายเป็นปกติ เขางอนิ้วดีดกระบี่คุ้มเมืองเบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มท่ามกลางเสียงกระบี่ที่ดังแผ่วโผย

“ตอนนี้สามารถใช้หกส่วนได้แล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะสนองให้ตามที่เจ้าต้องการ”

ระหว่างเขาของไป๋ตี้ มีลูกพลังงานสีดำบริสุทธิ์ที่ยุบเข้าไปด้านในก่อตัวขึ้นมา เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ประกายสายฟ้าสั่นไหวและห่อหุ้มชั้นนอกไว้

หลังจากสะสมพลังในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว ลูกระเบิดอัสนีวารีก็พุ่งยิงออกไป มีประกายสายฟ้ากะพริบผ่านระหว่างทาง

เป้าหมายของมันกลับไม่ใช่สวี่ชีอัน แต่เป็นลั่วอวี้เหิงที่ลอบโจมตีอย่างไร้คุณธรรม

‘ตู้ม!’

สวี่ชีอันหายวับมาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างลั่วอวี้เหิงกับลูกระเบิดอัสนีวารี เขายกคมกระบี่ฟันลงบนลูกระเบิดอัสนีวารี

ลูกระเบิดอัสนีวารีระเบิดตัวทันที ทำให้อากาศถูกปกคลุมไปด้วยประจุไฟฟ้าในพริบตา ประกายสายไฟแต่ละสายเปล่งประกายและดับลงกลางอากาศ

กายาจิตเทพอารักษ์ของสวี่ชีอันถูกระเบิดจนฉีกขาดอีกครั้ง แต่ในช่วงเวลานี้ แม้จะทำให้กายเนื้อแตกร้าว แต่กลับไม่เผยให้เห็นถึงกระดูก

‘เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เหมือนกับที่ระบุในข่าวกรอง…’ น้ำเสียงของไป๋ตี้ไท่เปลี่ยน มันพูดยิ้มเยาะ

“วิธีการระเบิดศักยภาพหรือ ความมั่นใจของเจ้าก็คือสิ่งนี้หรือ”

ขณะที่พูดมันก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ กีบทั้งสี่ราวกับบินได้ ระหว่างที่หลังของมันยืดเหยียดนั้น ก็เหมือนกับเสือดาวที่กระโจนล่าเหยื่ออย่างปราดเปรียว

ทายาทเทพมารไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด แม้กระทั่งสิ่งนี้ยังเป็นหนึ่งในวิธีสังหารศัตรูของพวกมัน

อาศัยโอกาสในขณะที่ลูกระเบิดอัสนีวารียังทำให้เกิดอาการชาอยู่ มันเตรียมสังหารสวี่ชีอันในเวลาที่สั้นที่สุดเพื่อเผด็จศึก

เคราะห์อัสนีสิบเจ็ดสายแล้ว…ร่างของสวี่ชีอันยุบลงอย่างไร้สุ้มเสียงและละลายเข้าสู่เงามืดก่อนจะสลายไป

“หนีหรือ”

ไป๋ตี้หัวเราะเยาะ ปากของมันก็พ่นศรแหลมคมสีดำออกมาสองดอก และยิงใส่ลั่วอวี้เหิง

เทียบกับเจียหลัวซู่ที่ถูกรัดพันแน่นแล้ว ศัตรูที่มันเผชิญหน้ามีแค่สวี่ชีอันเท่านั้น และสวี่ชีอันไม่อาจใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียวรัดพันเขาได้

ดังนั้นมันจึงเจียดเวลาไปจัดการลั่วอวี้เหิง

ลั่วอวี้เหิงที่ฝ่าด่านเคราะห์อยู่แบ่งกำลังออกมาส่วนหนึ่ง มือขวาชูดัชนีกระบี่ควบคุมกระบี่บินไปฟันศรแหลมคมสีดำทั้งสอง

‘ตู้ม! ตู้ม!’

ศรแหลมคมที่ก่อตัวจากกระบี่จิตวารีระเบิดกระจาย ร่างของลั่วอวี้เหิงโงนเงนไปมา สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย

สวี่ชีอันพุ่งออกจากเงาดำที่อยู่ใต้ร่างไป๋ตี้ มือถือกระบี่คุ้มเมือง แสงสีเหลืองเสียดแทงไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ของมันราวกับระเบิด

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด